หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่าการเข้ามาในถ้ำ หยิบอาวุธชิ้นหนึ่งขึ้นมาจะทำให้ชีวิตของนางเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ การบังเอิญครั้งนี้เป็นประโยชน์กับนางอย่างมหาศาลเรื่องราวภายนอกมิติมายานั้นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นางเพ่งจิตออกไปข้างนอกสำรวจดูก็พบว่าตนเองอยู่บนตัวของวิหคเพลิงที่กำลังบินว่อนอยู่กลางอากาศ โดยมีโม่จื่อหลิงโอบกอดนางไว้ หลี่หลิงเฟิ่งที่สลบไสลไปนานไม่อาจรู้เลยว่าค่ายกลกักกันสลายไปตั้งแต่ตอนไหน อาจจะตั้งแต่ที่นางหยิบดาบแห่งจิตวิญญาณเล่มนั้นขึ้นมาก็เป็นได้หลี่หลิงเฟิ่งสังเกตตนเอง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ข้าเลื่อนขั้นอีกแล้วหรือ”ยอมรับว่านางตกใจเล็กน้อย เพียงฝึกพลังยุทธ์ไม่กี่เดือนแต่นางกลับคืบหน้ากว่าคนอื่นที่ฝึกมาเป็นสิบปีเสียอีก แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีสำหรับตัวหลี่หลิงเฟิ่ง การฝึกพลังยุทธ์เป็นสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด แข็งแกร่งขึ้นใคร ๆ ก็ชอบทั้งนั้นแหละหลังจากที่หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการพักผ่อนมาหลายชั่วยามในมิติมายา นางจึงสามารถวางเรื่องต่าง ๆ ที่น่าปวดหัวในอนาคตไว้ก่อนได้ หันไปยิ้มน้อย ๆ ให้เสี่ยวมู่ หยิกแก้มนุ่มนิ่มนั่นอย่างอดใจไม่ไหว “ข้าอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว สมควรแก่เ
อีกทางด้านหนึ่ง ในห้องใต้ดินเย็นเยียบและชื้นแฉะ รอบด้านมืดมิด ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม้เขรอะฝุ่นหลังหนึ่ง มือขาวซีดยื่นออกไปทางประตู บุรุษผู้หนึ่งพยายามดิ้นรนลงจากเตียง เขาค่อย ๆ คลานไปยังแสงสว่างหนึ่งเดียวในห้องอันมืดมิดแห่งนี้ ฉับพลันแสงสว่างจากด้านนอกที่เล็ดลอดเข้ามาพลันหายไป เงาดำทะมึนสายหนึ่งบดบังแสงนั้นโดยสิ้นเชิงถงลี่พบว่าทั่วทั้งร่างของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวหนืดเข้มข้น ตามมาด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้ง ความเจ็บปวดไม่กี่เค่อที่ผ่านมากลายเป็นความชาหนึบไปทั้งตัว ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแรงลงตามลำดับ“หวาดกลัวใช่หรือไม่” เสียงหัวเราะแว่วมาให้ได้ยินเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าจะส่งลูกเมียของเจ้าติดตามไปด้วย”หัวใจของถงลี่จมดิ่งลงไม่หยุด “ขอร้องท่าน ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ทุกอย่างเป็นความผิดพลาดของข้าเอง”“เจ้าไปรอพวกเขาที่ปรโลกก่อนก้าวหนึ่ง อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ไม่แยกจากกันแน่นอน” คนผู้นั้นแสยะยิ้มทีหนึ่ง เหลือบมองถงลี่ที่นอนจมกองเลือดครั้งหนึ่งก่อนหันหลังเดินออกไปปึง!เมื่อประตูปิดลง ความมืดมิดเข้าครอบคลุมทั่วทั้งห้องอีกครั้ง พร้อมกับพรากลมหายใจสุดท้ายของถงลี่ไป หลังจากนั้นไม่
“เร็ว รีบไปแจ้งผู้อาวุโสสามให้มาที่นี่โดยเร็ว” ศิษย์สำนักแพทย์โอสถที่เห็นเหตุการณ์รีบไปแจ้งทันที ไม่นานนักพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งขุมหนึ่งหยุดยั้งฝ่ามือหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังจะทำร้ายคนอีกรอบ“องค์ชายรองโม่ แม่นางท่านนี้โปรดยั้งมือ ทำเช่นนี้ไม่ดีต่อแคว้นหลิวอวิ๋นเอาเสียเลย ท่านคงไม่อยากเป็นศัตรูกับสำนักแพทย์โอสถของเรากระมัง”“แต่คนของท่านคิดจะทำร้ายใครก็ได้อย่างนั้นหรือ ตลกสิ้นดี” หลี่หลิงเฟิ่งโมโหจนหัวเราะออกมาแล้ว“พวกเจ้าต่างหากที่ลงมือกับข้าก่อน อึก!” ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งลอยเข้าปากจวินโหยวหนาน แม่นยำราวกับจับวาง รอบด้านพลันเงียบสงบ“เจ้าหุบปาก ถึงคราวให้เจ้าพูดได้แล้วรึ” หลี่หลิงเฟิ่งไม่เคยยั้งมือกับศัตรูอยู่แล้ว ต่อให้ตรงหน้าของนางจะมีท่านเทพองค์ใดขวางอยู่ก็ตาม “เป็นองค์ชายเหมือนกัน แต่สมองและความสามารถต่างกันเกินไป”คราวนี้โม่จื่อหลิงยิ้มแล้ว สายตาที่เคยมืดครึ้มพลันเปลี่ยนมาเจ้าเล่ห์ดังเดิม “นางมารน้อย อย่าโมโหไปเลย ไม่ดีต่อสุขภาพ”“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นสำนักแพทย์โอสถอยู่ในสายตา ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคนต่อหน้าข้า” พลังขุมหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบตัวของผู้อาวุโสสาม ทว่าโม่จื่อหลิงกับหลี่หลิงเฟิ
“เริ่มเลยเถิด” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อคนของสำนักแพทย์โอสถไม่ยอมทำตามคำท้าของผู้อาวุโสสาม ผู้ดูแลสวินเห็นว่าเรื่องบานปลายจนมาถึงขั้นนี้แล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีอำนาจควบคุมอันใดได้อีก ถอนหายใจหนักหน่วงครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับศิษย์สำนักคนหนึ่งอย่างสงบ “เจ้าไปเชิญรองเจ้าสำนักมาเป็นสักขีพยานให้แก่พวกเขาเสีย”“แม่นางอย่าได้เข้าใจผิด ที่ข้าเชิญรองเจ้าสำนักมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้น ซ้ำยังเป็นผลดีกับตัวเจ้าเองด้วย” ผู้ดูแลสวินกล่าวเสียงขรึม หากผู้อาวุโสสามก่อเรื่องเกินขอบเขต ชายข้าง ๆ นางคงไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ สำนักแพทย์โอสถไม่อยากผิดใจกับชายหนุ่มผู้มากยุทธ์คนนี้เพราะเรื่องของสตรีหรอก“ข้าไม่ขัดข้อง” หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ นางเพียงอยากสั่งสอนคนเท่านั้น ดีเหมือนกันหากผู้มาใหม่ยังไม่ต้อนรับนางอีก นางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยคนเช่นกัน พึงรู้ไว้ว่านางไม่ใช่แม่พระ ความเป็นตายของผู้อื่นไม่เคยอยู่ในสายตา เพียงแต่ท่านผู้นั้นเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับพวกหูซาน ฝืนนับเขาเป็นพวกพ้องได้บ้าง“แต่ขอยืมเตาหลอมได้หรือไม่ บังเอิญว่าข้าไม่มีน่ะ” ผู้ดูแลสวินมุมปากกระตุก มั่นใจแล้วว่าน
ยาลูกกลอนที่เพิ่งหลอมเสร็จหอมกลุ่นกระทบจมูกของทุกคน ผู้คนต่างลุ้นว่าโอสถในมือของผู้อาวุโสสามคือยาลูกกลอนอะไรผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างภาคภูมิ ค่อย ๆ คลายมือออก สีขาวขุ่นปรากฏบนสายตา “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะ!”“อืม ยาลูกกลอนอายุวัฒนะสิบเม็ด ใช้ได้เจ็ดเม็ด ขั้นสามสี่เม็ด ขั้นเจ็ดอีกสามเม็ด” รองเจ้าสำนักตรวจสอบยาลูกกลอนในมือของผู้อาวุโสสามอย่างถี่ถ้วน ผงกหัวชื่นชม “ไม่เลยเลย”ในเวลาอันสั้น ภายใต้ขอบเขตสมุนไพรที่มีจำกัด เขาสามารถหลอมออกมาได้ถึงหกในสิบส่วนเลยหรือ ผู้อาวุโสสามเก่งกาจโดยแท้ “นางหนู เสียใจแล้วหรือไม่ ท้าอะไรไม่ท้า มาท้าในสิ่งที่ข้าถนัดที่สุด หึ”เมื่อผู้ชมมองยาลูกกลอนที่อยู่ในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ต่างก็มีหลากหลายอารมณ์ บ้างทอดถอนใจเสียดาย บ้างดูถูกดูแคลน บ้างเฉยเมยราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ทว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีใครยินดีหรือให้กำลังใจกับนางสักคนผู้คนต่างส่ายหน้า ซุบซิบทันทีที่เห็นก้อนกลมสีดำสองสามก้อนในมือนาง “ฝีมือเท่าหางอึ่ง นางยังกล้ารับคำท้าประลอง”“ตัวยาไหม้เกรียมขนาดนี้ นางพ่ายแพ้ยับเยินเลยทีเดียว”“ไม่คิดว่าองค์ชายรองโม่ สมองจะมีปัญหา ดันคว้าสตรีโอ้อวดมาอยู่ข้างกาย”“สตรีผู้นี้เป็นตัวล
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
แม้การค้าขายทาสจะไม่ผิดกฎหมายเหมือนยุคปัจจุบัน แต่แคว้นต่างๆ ก็ไม่กล้าเปิดหน้าทำลายภาพลักษณ์ของตน หากอยากซื้อทาสก็ไปตลาดขายทาสใต้ดิน เพราะว่าเป็นนักรบเกราะดำ หออวี้หลิ่วถึงขั้นเอาชื่อเสียงมาแลกหรือว่ามีอะไรมากกว่านั้นที่นางไม่รู้นางเคยเป็นเด็กกำพร้า ถูกทอดทิ้ง ทนกับความหิว เอาชีวิตรอดสารพัดรูปแบบ แต่ละวันคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรถึงจะมีข้าวกิน ชาติก่อนเมื่อเห็นเด็กไร้บ้านข้างถนนนางจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษ หญิงสาวมองสีหน้าของแต่ละคนดูไม่แปลกใจกับเหตุการณ์นี้ ก็เข้าใจทันทีว่าเรื่องอย่างนี้คงเกิดขึ้นบ่อยครั้งนางรู้สึกเสียใจที่คนใกล้ตัวทำเรื่องแบบนี้ได้ลงเพียงเพราะเงินอย่างเดียวหลี่หลิงเฟิ่งรับไม่ได้!“ร้อยล้านตำลึงทอง” มีคนเริ่มเสนอราคากันแล้ว ค่าตัวทาสนักรบคนนี้สูงมากอย่างที่คาดคิด“เจ็ดร้อยล้าน...”“สามหมื่นล้าน...”“หนึ่งแสนล้าน...”เพียงไม่กี่อึดใจทั่วทั้งโถงประมูลร้อนระอุ ผู้คนทุกระดับชั้นต่างแย่งกันปั่นราคาจนพุ่งสูงถึงหลักแสนล้าน คู่แข่งจึงลดลงไปมาก ตอนนี้จึงเหลือเพียงเหล่าตระกูลเก่าแก่ที่ยังเอ่ยปากเสนอราคาไม่หยุด“หนึ่งล้านล้านตำลึงทอง!” ตระกูลกวนพูดขึ้น“สองล้านล้านตำลึงทอง” ตามด้วยตระ
“ห้าหมื่นตำลึงทอง!” ปัญหาเรื่องตั๋วเงินหมดไป การประมูลคึกคักทันที มีคนเสนอราคาเริ่มต้นกันแล้วเสี่ยวเซียงโห่ร้องตะลึงพรึงเพริด เขย่าตัวเหลียงเฉินที่อยู่ด้านข้างจนตัวโยน หยิกแขนแกร่งเต็มแรง “ข้าฟังผิดไปหรือไม่ ห้าหมื่นตำลึงทองไม่ใช่ตำลึงเงิน ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่ นี่ๆๆๆ”“โอ๊ย ทำไมไม่หยิกแขนตัวเอง มาหยิกข้าทำไม” ความเจ็บปวดที่แขนปลุกเหลียงเฉินขณะกำลังตื่นเต้น เขยิบออกห่างเสี่ยวเซียงที่กำลังยิ้มยินดีอย่างโง่งมหลี่หลิงเฟิ่งมองทั้งสองพลางยิ้มบาง ผลไม้เพิ่มพลังยุทธ์ปรากฏอยู่แค่ในตำรา วันนี้มีคนนำออกมา ใครบ้างจะไม่อยากจับจอง“ห้าแสนตำลึงทอง”“หนึ่งล้านตำลึงทอง...”“สิบล้าน...”“ยี่สิบล้าน...”ราคาประมูลเพิ่มขึ้นรวดเร็วจนน่ากลัว ไม่มีทีท่าว่าจะไปหยุดที่จำนวนเท่าใด ตาของนายบ่าวทั้งสามล้วนกลายเป็นสัญลักษณ์รูปเงินหมดแล้ว“ร้อยล้านตำลึงทอง” เสียงจากชั้นหนึ่งดังลอดออกมา ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้ารายใหญ่ทั่วสารทิศจับจองชั้นนี้ ทั้งโถงเงียบลงชั่วขณะ“สามร้อยล้านตำลึงทอง” สำนักแพทย์โอสถร่วมวงแล้ว“สามร้อยสามสิบล้านตำลึงทอง” ชุนเหล่ากวน พ่อค้าแคว้นตงเยว่เสนอต่อ“ห้าร้อยล้านตำลึงทอง” เหลียนกงฉือเพิ่มราคา ใก
“ตีก็ตีไปแล้ว ท่านจะทำไม” หลี่หลิงเฟิ่งใช้ผ้าต่างแส้ ยิ่งใช้ยิ่งคล่อง ฟาดใส่คุณหนูเปียวไม่ยั้ง ความเร็วในการหลบของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวมขั้นต้นยังอ่อนด้อย ในสายตาของนางฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนไหวช้ามาก ช่องโหว่เต็มไปหมด อีกฝั่งอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ตีเพียงไม่กี่ครั้งก็ลายพร้อยทั้งตัวเสียแล้วเป็นภาพที่สวยไม่หยอก หลี่หลิงเฟิ่งมองผลงานชิ้นเอกอย่างพึงพอใจนางเพิ่งฝึกได้สองวันจึงทำสำเร็จแค่สร้างอาวุธจากพลังยุทธ์เท่านั้น ยังไม่เริ่มฝึกกระบวนท่าเริ่มต้นเลย แต่นางชอบมันมาก เหมาะมือสุดๆ“อ่อนหัด” หลี่หลิงเฟิ่งแค่นเสียงเหอะ เก็บผ้าแดงกลับ เสี่ยวไป๋ที่ซบอยู่บนบ่าเปิดเปลือกตาขึ้นครึ่งหนึ่งก่อนปิดลงดังเดิม นางจึงอุ้มมันส่งให้เหลียงเฉิน จากนั้นโจมตีกระบวนท่าถัดไปอัคคีสังหาร!พลังยุทธ์สีแดงเคลื่อนที่พุ่งตรง รวดเร็ว แม่นยำ เก่งแค่ไหนก็สู้ความเร็วระดับนี้ไม่ได้ เลือดสดๆ กระอักออกมาหลายคำ ร่างของคุณหนูเปียวทรุดลง หมดสภาพ น้ำหูน้ำตาไหล “อะไรกัน กระบวนท่าเดียวถึงกับจอดแล้ว สู้ไม่ได้ยังจะปากเก่ง” เรื่องอย่างรังแกคน ใครทำไม่เป็นบ้าง“เปียวเมี่ยว! เจ็บมากหรือไม่” หนึ่งในคนสำนักศึกษาหลวงรุดเข้ามาดูอาการ ป้อนยาลู
พวกหลี่หลิงเฟิ่งเลือกนั่งพักตรงเพิงน้ำชาข้างหออวี้หลิ่ว ระหว่างจิบชาทานขนมก็สังเกตคนที่มางานประมูลคืนนี้ไปด้วย เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามงานประมูลจะเริ่มอย่างเป็นทางการ บรรดาสำนักชื่อดังและตระกูลที่มีชื่อเสียงเริ่มทยอยมากันบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาหลวง ตระกูลกวน ตระกูลจวง ตระกูลเปียว ตระกูลซ่ง ตระกูลหลี่สำนักแพทย์โอสถก็ไม่พลาด และแม้กระทั่งเชื้อพระวงศ์บางพระองค์ก็เดินทางมาเข้าร่วมเช่นกัน หลี่หลิงเฟิ่งคิดมองทางไหนก็เห็นแต่เงินที่จะเข้ากระเป๋าไปเสียหมดเมื่อเห็นว่ากลุ่มคนด้านหน้าทางเข้าหออวี้หลิ่วบางตาลง หลี่หลิงเฟิ่งวางเงินค่าน้ำชาลงบนโต๊ะ มุ่งหน้ามาหยุดหน้าประตูทางเข้า เหลียงเฉินหยิบเทียบเชิญจากอกเสื้อส่งให้เจ้าหน้าที่ด้านหน้าสุด เมื่อตรวจสอบเสร็จก็มีเจ้าหน้าที่เดินนำไปยังห้องรับรอง“ว้าว ล้ำมาก” เมื่อเข้ามาด้านในพวกหลี่หลิงเฟิ่งถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ โดยเฉพาะเหลียงเฉินและเสี่ยวเซียงที่เพิ่งเคยเหยียบย่างเข้ามาครั้งแรก งานนี้ต้องชมอวิ๋นหลิ่ว แสง สี เสียงมีครบ เหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ตในชาติก่อน เลือดในกายของหญิงสาวเดือดพล่านขึ้นมาเสียแล้วสิ นางถูมือเป่าปากคลายความตื่นเต้นผลั่ก!“
“ท่านทำอันใดกับข้า!” หวาหยุนตื่นตระหนก ร่างกายแข็งทื่อทุกสัดส่วน“น้าหยุนอย่ากังวล ข้าไม่ทำท่านเจ็บตัวแน่นอน แต่ท่านคงไม่มีโอกาสใช้ของพวกนี้ทำร้ายข้าแล้วล่ะ” หลี่หลิงเฟิ่งสบเข้ากับสายตาเคียดแค้นของหญิงกลางคน ชี้ไปยังจุดที่นางซ่อนอาวุธและยาพิษไว้นังโง่นี่รู้ได้ยังไงยิ่งน้ำเสียงหญิงสาวเย็นชาเท่าไหร่ หวาหยุนยิ่งกลัวมากเท่านั้น อยู่มาครึ่งชีวิตกลับพลาดท่าง่ายๆ ให้กับเด็กสาวที่นางคิดว่าไร้พิษสง นางงูพิษ!“ไหนพูดอีกทีซิ เรื่องราวความรักของบิดามารดาข้าเป็นมาอย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบพัดบนโต๊ะมาคลี่เล่น โบกสะบัดคลายความร้อนหวาหยุนไม่อยากพูด แต่นางควบคุมปากที่กำลังขยับไม่ได้ “ความรักอะไรเหลวไหลทั้งเพ นังจิ้งจอกชิงหลัวก็แค่อยากจับท่านเจ้าเมืองเท่านั้นแหละ ท่านเจ้าเมืองเป็นคนฉลาดจะดูแผนการต่ำช้าของนางไม่ออกหรืออย่างไร คิดว่ามาเปลื้องผ้าเล่นงิ้วให้คนอื่นดูงั้นรึ ก็ไม่รู้ว่านังนั่นทำอีท่าไหนท่านเจ้าเมืองถึงยอมรับนางเข้าจวน คงจะยั่วยวนจนนายท่านหลงมันนั่นล่ะ แพศยา!”ควา
“แม่นางน้อยหากไม่สบายก็ไปหาหมอ อยากจับโจรก็ไปที่ว่าการ ที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนหรอกนะ” สาวงามหน้าประตูสองสามนางรายล้อมสามนายบ่าว หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“ดูท่าหลายปีมานี้กิจการของหอซุนเซียงไม่เลวเลย” ทั้งสามชะเง้อคอดูความคึกคักด้านใน ขนาดหัววันผู้คนยังแน่นขนาดนี้ ตึกดึกคงไม่มีที่ยืนเลยกระมัง“แน่นอน หอซุนเซียงของเราเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งที่แม้แต่เมืองหลวงยังต้องยอมแพ้” สาวงามนางหนึ่งจีบปากจีบคอ ยิ้มมองสาวน้อยหน้าสวย สงสัยมาจับว่าที่สามีกลับจวนกระมังสาวงามอีกนางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กับบุรุษหนึ่งเดียวในกลุ่ม “คุณชายอย่าเสียเวลาอยู่นี้เลย พวกเราเข้าไปสนุกกันข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ”เหลียงเฉินถึงกับตัวสั่น ถอยกรูดหลบหลังสองสตรีโดยไว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งนั่นเอง หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง “ข้ามาพบเถ้าแก่ของพวกเจ้า”“เถ้าแก่เนี้ยยุ่งทั้งวันไม่ว่างมาสนใจคนไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าใครก็เข้าพบได้โดยง่าย หากแม่นางอยากเปิดหูเปิดตาก็ไ
หลี่หลิงเฟิ่งนอนขดอยู่บนเตียง มือขวากำกำไลบนข้อมือซ้ายแน่นโดยไม่รู้ตัว กำไลวงนั้นเรืองแสงสีแดงผสมสีขาวซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของนาง หญิงสาวหอบหายใจแรง เหงื่อผุดพลายเต็มใบหน้า สีหน้าเปลี่ยนเกือบทุกวินาที บ้างหัวเราะ บ้างร้องไห้ บ้างโกรธเคือง เป็นแบบนี้อยู่หนึ่งชั่วยามก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งขนตางอนขยับสองสามทีก่อนจะเปิดขึ้นพบกับดวงตาเมล็ดซิ่งที่ฉายแววหนักใจ มือเรียวถอดกำไลเจ้าปัญหาออกมาจ้องมอง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างทันใด“ลวดลายพวกนี้มากไหน” ลวดลายมังกรปรากฏบนกำไลสีม่วงเรียบง่าย ทั้งยังมียันต์ใบหนึ่งแปะอยู่ก่อนจะร่วงหล่นลงบนเตียง หัวใจของหลี่หลิงเฟิ่งเต้นตึกตัก นี่ไม่ใช่ว่ากำไลวงนั้นที่นางตามหาหรอกหรือ ที่แท้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!“เสี่ยวมู่!” หลี่หลิงเฟิ่งร้องเรียกกูรูรู้ทุกเรื่องอย่างร้อนใจ“วันนี้ข้าใช้แรงไปมาก ท่านจะรบกวนพักผ่อนของข้าไม่ได้นะ” เสี่ยวมู่หน้ายู่ แคะหูเพราะเสียงทรงพลังของนาง เจ้านายไม่สงสารเด็กกำลังโตอย่างมันบ้างเลยหลี่หลิงเฟิ่งไม่สนใจ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าดูก่อน สิ่งนี้ใช่กำไล
เสี่ยวมู่หน้าดำคล้ำ ยิ่งเห็นหลี่หลิงเฟิ่งคลึงผลบนไม้สีทองเล่นบนมือ หัวใจดวงน้อย ๆ ยิ่งเจ็บปวด ปิดหน้าร้องไห้กระซิกราวกับอนุภรรยาที่โดนรังแก บั้นท้ายงอนงามเจ็บร้าวระบมฮือ ท่านอยากหาเงิน ทำไมต้องบังคับให้ข้าเบ่งพวกมันออกมาด้วย“เอาล่ะๆ ไว้ข้าจะชดเชยเจ้าทีหลัง” หลี่หลิงเฟิ่งลูบศีรษะปลอบประโลม“ฮึก ท่านลำเอียง! ขนาดเจ้านั่นทำร้ายร่างกายข้าท่านยังไม่ห้ามปรามเลย” ยิ่งพูดยิ่งน้ำตาไหล เบ้ปากน้อยใจ มือเล็กป้อมจับผมที่เหลืออยู่น้อยนิดบนศีรษะ แหกปากร้องอีกครา“เสี่ยวไป๋ ต่อไปห้ามรังแกเสี่ยวมู่เป็นอันขาด เสี่ยวมู่มาก่อนเป็นพี่ชาย เจ้าเด็กกว่าต้องเชื่อฟัง เข้าใจหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงดุอ๊าวเสี่ยวไป๋ก้มหน้าสลด น้ำตาคลอเบ้า ผงกศีรษะอยู่หลายที“เจ้าก็เหมือนกัน ถึงแม้เจ้าจะมีพละกำลังมาก แต่เสี่ยวมู่มีส่วนช่วยหาอาหารมาให้เจ้า นับว่าเป็นผู้มีพระคุณ วันหน้าต้องกตัญญูต่อพี่ชายให้มาก” เสี่ยวจูจูตอบรับอย่างรู้ความ เชื่อฟังคำพูดหลี่หลิงเฟิ่งทุกคำ“สำหรับข้าพวกเจ้าไม่ใช่แค่ส
“คุณหนูสำรับอาหารพร้อมแล้ว ท่านจะทานเลยหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเซียงเดินเข้ามาในห้อง ยอบกายคำนับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อืม ยกเข้ามาเถิด” หลี่หลิงเฟิ่งวางคัมภีร์โอสถที่อยู่ในมือลง ลุกจากเตียงเดินไปยังโต๊ะที่เสี่ยวเซียงกำลังจัดสำรับอาหารกลางวันอยู่"ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง เจ้าออกไปก่อน"หลี่หลิงเฟิ่งโบกมือให้นางถอยออกไป ก่อนจะนั่งลงและลงมือเริ่มทานอาหารตั้งแต่กลับมาสาวใช้ของนางก็ไม่เคยอยู่ห่างนางแม้แต่ก้าวเดียว วันนี้เริ่มดีขึ้นมาหน่อย ไม่เคยจับตามองตอนนางทานข้าวอีกแล้ว นางยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความอารมณ์ดี ดังนั้นระหว่างคีบอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า สมองจึงแล่นไม่หยุดหย่อนด้วยเหมือนกัน หวนนึกถึงเรื่องราวไม่กี่วันที่ผ่านมาจากเหตุการณ์ของปรมาจารย์หม่าเจิ้ง เจ้าสำนักทำการจัดระเบียบสำนักแพทย์โอสถขึ้นมาใหม่ กฎการรับศิษย์เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า พร้อมกันนั้นยังตรวจสอบพื้นเพย้อนหลังของศิษย์สายในของสำนักทุกคน คนไหนมีที่มาที่ไปน่าสงสัยจะถูกขับออกจากสำนักทันที นับเป็นการเก็บกวาดสิ่งสกปรกของสำนักครั้งใหญ่หลี่หลิงเฟิ่งวา