อีกทางด้านหนึ่ง ในห้องใต้ดินเย็นเยียบและชื้นแฉะ รอบด้านมืดมิด ร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงไม้เขรอะฝุ่นหลังหนึ่ง มือขาวซีดยื่นออกไปทางประตู บุรุษผู้หนึ่งพยายามดิ้นรนลงจากเตียง เขาค่อย ๆ คลานไปยังแสงสว่างหนึ่งเดียวในห้องอันมืดมิดแห่งนี้ ฉับพลันแสงสว่างจากด้านนอกที่เล็ดลอดเข้ามาพลันหายไป เงาดำทะมึนสายหนึ่งบดบังแสงนั้นโดยสิ้นเชิงถงลี่พบว่าทั่วทั้งร่างของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวหนืดเข้มข้น ตามมาด้วยกลิ่นคาวคละคลุ้ง ความเจ็บปวดไม่กี่เค่อที่ผ่านมากลายเป็นความชาหนึบไปทั้งตัว ร่างกายของเขาเริ่มอ่อนแรงลงตามลำดับ“หวาดกลัวใช่หรือไม่” เสียงหัวเราะแว่วมาให้ได้ยินเบา ๆ “ไม่ต้องห่วง หลังจากเจ้าไปแล้ว ข้าจะส่งลูกเมียของเจ้าติดตามไปด้วย”หัวใจของถงลี่จมดิ่งลงไม่หยุด “ขอร้องท่าน ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ทุกอย่างเป็นความผิดพลาดของข้าเอง”“เจ้าไปรอพวกเขาที่ปรโลกก่อนก้าวหนึ่ง อย่างไรเสียพวกเจ้าก็ไม่แยกจากกันแน่นอน” คนผู้นั้นแสยะยิ้มทีหนึ่ง เหลือบมองถงลี่ที่นอนจมกองเลือดครั้งหนึ่งก่อนหันหลังเดินออกไปปึง!เมื่อประตูปิดลง ความมืดมิดเข้าครอบคลุมทั่วทั้งห้องอีกครั้ง พร้อมกับพรากลมหายใจสุดท้ายของถงลี่ไป หลังจากนั้นไม่
“เร็ว รีบไปแจ้งผู้อาวุโสสามให้มาที่นี่โดยเร็ว” ศิษย์สำนักแพทย์โอสถที่เห็นเหตุการณ์รีบไปแจ้งทันที ไม่นานนักพลังยุทธ์อันแข็งแกร่งขุมหนึ่งหยุดยั้งฝ่ามือหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังจะทำร้ายคนอีกรอบ“องค์ชายรองโม่ แม่นางท่านนี้โปรดยั้งมือ ทำเช่นนี้ไม่ดีต่อแคว้นหลิวอวิ๋นเอาเสียเลย ท่านคงไม่อยากเป็นศัตรูกับสำนักแพทย์โอสถของเรากระมัง”“แต่คนของท่านคิดจะทำร้ายใครก็ได้อย่างนั้นหรือ ตลกสิ้นดี” หลี่หลิงเฟิ่งโมโหจนหัวเราะออกมาแล้ว“พวกเจ้าต่างหากที่ลงมือกับข้าก่อน อึก!” ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งลอยเข้าปากจวินโหยวหนาน แม่นยำราวกับจับวาง รอบด้านพลันเงียบสงบ“เจ้าหุบปาก ถึงคราวให้เจ้าพูดได้แล้วรึ” หลี่หลิงเฟิ่งไม่เคยยั้งมือกับศัตรูอยู่แล้ว ต่อให้ตรงหน้าของนางจะมีท่านเทพองค์ใดขวางอยู่ก็ตาม “เป็นองค์ชายเหมือนกัน แต่สมองและความสามารถต่างกันเกินไป”คราวนี้โม่จื่อหลิงยิ้มแล้ว สายตาที่เคยมืดครึ้มพลันเปลี่ยนมาเจ้าเล่ห์ดังเดิม “นางมารน้อย อย่าโมโหไปเลย ไม่ดีต่อสุขภาพ”“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นสำนักแพทย์โอสถอยู่ในสายตา ถึงกับกล้าลงมือทำร้ายคนต่อหน้าข้า” พลังขุมหนึ่งก่อตัวขึ้นรอบตัวของผู้อาวุโสสาม ทว่าโม่จื่อหลิงกับหลี่หลิงเฟิ
“เริ่มเลยเถิด” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ เมื่อคนของสำนักแพทย์โอสถไม่ยอมทำตามคำท้าของผู้อาวุโสสาม ผู้ดูแลสวินเห็นว่าเรื่องบานปลายจนมาถึงขั้นนี้แล้ว ตัวเขาเองก็ไม่มีอำนาจควบคุมอันใดได้อีก ถอนหายใจหนักหน่วงครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับศิษย์สำนักคนหนึ่งอย่างสงบ “เจ้าไปเชิญรองเจ้าสำนักมาเป็นสักขีพยานให้แก่พวกเขาเสีย”“แม่นางอย่าได้เข้าใจผิด ที่ข้าเชิญรองเจ้าสำนักมาก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้น ซ้ำยังเป็นผลดีกับตัวเจ้าเองด้วย” ผู้ดูแลสวินกล่าวเสียงขรึม หากผู้อาวุโสสามก่อเรื่องเกินขอบเขต ชายข้าง ๆ นางคงไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ สำนักแพทย์โอสถไม่อยากผิดใจกับชายหนุ่มผู้มากยุทธ์คนนี้เพราะเรื่องของสตรีหรอก“ข้าไม่ขัดข้อง” หลี่หลิงเฟิ่งยักไหล่ นางเพียงอยากสั่งสอนคนเท่านั้น ดีเหมือนกันหากผู้มาใหม่ยังไม่ต้อนรับนางอีก นางก็ไม่จำเป็นต้องช่วยคนเช่นกัน พึงรู้ไว้ว่านางไม่ใช่แม่พระ ความเป็นตายของผู้อื่นไม่เคยอยู่ในสายตา เพียงแต่ท่านผู้นั้นเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับพวกหูซาน ฝืนนับเขาเป็นพวกพ้องได้บ้าง“แต่ขอยืมเตาหลอมได้หรือไม่ บังเอิญว่าข้าไม่มีน่ะ” ผู้ดูแลสวินมุมปากกระตุก มั่นใจแล้วว่าน
ยาลูกกลอนที่เพิ่งหลอมเสร็จหอมกลุ่นกระทบจมูกของทุกคน ผู้คนต่างลุ้นว่าโอสถในมือของผู้อาวุโสสามคือยาลูกกลอนอะไรผู้อาวุโสสามยิ้มอย่างภาคภูมิ ค่อย ๆ คลายมือออก สีขาวขุ่นปรากฏบนสายตา “ยาลูกกลอนอายุวัฒนะ!”“อืม ยาลูกกลอนอายุวัฒนะสิบเม็ด ใช้ได้เจ็ดเม็ด ขั้นสามสี่เม็ด ขั้นเจ็ดอีกสามเม็ด” รองเจ้าสำนักตรวจสอบยาลูกกลอนในมือของผู้อาวุโสสามอย่างถี่ถ้วน ผงกหัวชื่นชม “ไม่เลยเลย”ในเวลาอันสั้น ภายใต้ขอบเขตสมุนไพรที่มีจำกัด เขาสามารถหลอมออกมาได้ถึงหกในสิบส่วนเลยหรือ ผู้อาวุโสสามเก่งกาจโดยแท้ “นางหนู เสียใจแล้วหรือไม่ ท้าอะไรไม่ท้า มาท้าในสิ่งที่ข้าถนัดที่สุด หึ”เมื่อผู้ชมมองยาลูกกลอนที่อยู่ในมือหลี่หลิงเฟิ่ง ต่างก็มีหลากหลายอารมณ์ บ้างทอดถอนใจเสียดาย บ้างดูถูกดูแคลน บ้างเฉยเมยราวกับคาดการณ์ไว้แล้ว ทว่าทุกคนในที่นี้ไม่มีใครยินดีหรือให้กำลังใจกับนางสักคนผู้คนต่างส่ายหน้า ซุบซิบทันทีที่เห็นก้อนกลมสีดำสองสามก้อนในมือนาง “ฝีมือเท่าหางอึ่ง นางยังกล้ารับคำท้าประลอง”“ตัวยาไหม้เกรียมขนาดนี้ นางพ่ายแพ้ยับเยินเลยทีเดียว”“ไม่คิดว่าองค์ชายรองโม่ สมองจะมีปัญหา ดันคว้าสตรีโอ้อวดมาอยู่ข้างกาย”“สตรีผู้นี้เป็นตัวล
ภายในห้องพำนักเจ้าสำนักแพทย์โอสถปรากฏหูซานและชายชราอีกสองคน รวมทั้งลูกศิษย์บางคน ทำหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าอ่อนล้าเพราะอดนอนมาหลายวัน บนเตียงไม้สลักมีร่างผ่ายผอมดำคล้ำของชายชราผู้หนึ่ง นอนสลบไสลราวกับคนใกล้หมดสิ้นอายุขัย “ศิษย์น้องสี่ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพอมีทางช่วยศิษย์พี่ใหญ่บ้างหรือไม่”“ข้าเองก็อับจนหนทางเหมือนกัน ยาขวดนั้นเพียงแค่ยื้อลมหายใจศิษย์พี่ใหญ่เท่านั้น ต่อให้เป็นท่านเทพมาตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะช่วยได้ พิษลุกลามไปทั่วร่างกายศิษย์พี่ใหญ่ตั้งนานแล้ว” หูซานส่ายหน้า สองตาแดงก่ำไม่อาจทำใจได้ หลายวันมานี้พวกเขาค้นคว้าหายาถอนพิษ ทว่าก็ล้มเหลวจนกระทั่งหวังซีมาพร้อมยาขวดหนึ่ง พวกเขาถึงได้มีความหวังขึ้นมา เพียงแต่ดีใจได้ไม่กี่วัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใดอาการของศิษย์พี่ใหญ่ถึงทรุดลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่เขาที่เป็นอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจหาต้นตอของอาการเหล่านี้ได้ หูซานพบว่าไม่มีหนทางที่ศิษย์พี่ใหญ่จะรอดแล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกหวังข่ายที่สภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น ๆ ในห้อง เดินออกมาเปิดประตู พอเห็นว่าเป็นรองเจ้าสำนักเขาก็เบี่ยงตัวหลบอย่างเคยชิน แต่เมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินตามหลังรองเจ้า
หลายวันมานี้หลี่หลิงเฟิ่งอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา นอกจากรักษาเจ้าสำนักทุกเช้า นางใช้เวลาทั้งวันไปกับฝึกหลอมโอสถที่ห้องหลอมโอสถ ใช้สมุนไพรของสำนักแพทย์โอสถราวกับน้ำ เรียกได้ว่าละลายทรัพย์ของแท้ เหตุเพราะเกิดกระทบกระทั่งกันวันนั้นจึงไม่มีใครกล้าออกมาตำหนิ กลับกันทุกคนคอยเอาใจนางทุกอย่าง วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากกลับมาจากรักษาเจ้าสำนัก นางก็ตรงไปที่ห้องหลอมโอสถ หยิบเตาหลอมออกมาจากกำไลสำริดอย่างคล่องแคล่วส่วนที่ว่านางได้ของพวกนี้มาได้ยังไงน่ะหรือ ต้องเท้าความไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ศิษย์พี่รองมาหานางที่ที่พำนัก กล่าวขอโทษที่สบประมาทนางวันนั้น พร้อมทั้งอยากให้นางยกโทษให้ หลี่หลิงเฟิ่งรู้ตัวว่านางนั้นเป็นคนดี ไม่ถือสาความเรื่องเล็กน้อยกับคนกันเองอยู่แล้วเพียงแค่ศิษย์พี่รองมอบของปลอบใจให้นาง นางอายุน้อยต้องเคารพผู้ใหญ่ย่อมไม่เรียกร้องมากมายอันใด ถึงแม้ศิษย์พี่รองจะดูเสียดายไปบ้าง ยามยื่นให้รู้สึกถึงความมือไม้สั่นเล็กน้อย ทว่าจนแล้วจนรอดกำไลสำริดและเตาหลอมโอสถชั้นเลิศก็อยู่ในมือนางอยู่ดีหลี่หลิงเฟิ่งพลันรู้สึกว่าการมีศิษย์พี่ก็ไม่ได้แย่อันใดแต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกเปล่าเปลี่ยว โม่จื่อหลิงขอแยกต
“อ่ะแฮ่ม...ไม่ว่าการประลองครั้งไหนก็ตัดสินที่ความสามารถเสมอ สำนักแพทย์โอสถเรายังไม่ถึงต้องให้ผู้อื่นมาตัดสินแทนหรอก” ผู้คนโดยรอบไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักคน หรงอู่ซาบซึ้งใจน้ำตาแทบไหล เวลานี้เทิดทูนหลี่หลิงเฟิ่งยิ่งกว่าเจ้าสำนักเสียอีก ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มบนใบหน้าหุบไม่ลงอีกต่อไปครบหนึ่งชั่วยาม ผู้ชนะผ่านเกณฑ์ตัดสินมีเพียงห้าคนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นรองเจ้าสำนักจึงใจดีเปิดเขตลับให้คนทั้งห้าเสียเลย ทั้งหมดมุ่งไปยังเขตลับที่อยู่ในส่วนลึกสุดของสำนักแพทย์โอสถ โดยมีรองเจ้าสำนักและหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้นำในครั้งนี้“พวกเจ้าทุกคนสามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ในเขตลับได้หนึ่งอย่าง และห้ามเข้าไปในเขตหวงห้ามเด็ดขาด บอกไว้ก่อนหากฝ่าฝืนข้าไม่รับรองความปลอดภัยของใครทั้งนั้น เพราะฉะนั้นอย่าริอ่านทำผิดกฎ” รองเจ้าสำนักกล่าวเสียงแข็ง จากนั้นเปิดเขตลับให้ทั้งหมดเข้าไปอย่างเปิดเผย“มีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่งั้นหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล นางรู้สึกกลาย ๆ เหมือนว่าไม่ได้มีแค่พวกนางเท่านั้นที่อยู่ในนี้ จึงถามออกไปด้วยความสงสัยใคร่รู้“เรื่องนี้…” หรงอู่อึกอัก หน้าตาเหยเก “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด ว่ากันว่าท
เจ้านาย ทางนี้!เสียงนี้อีกแล้ว เรียกหาตั้งแต่นางเดินเข้ามาในอุโมงค์นี้เสียงก็ดังก้องในหูนางไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง นางเดินออกมาห่างไกลจากคนในกลุ่มเรื่อย ๆ สมบัติตรงนี้น้อยกว่าที่อื่นมาก ชั้นวางสมบัติเป็นเพียงหินที่ทำเป็นชั้น ๆ เรียงกันขึ้นมาเท่านั้น แตกต่างจากก่อนหน้าที่ทำขึ้นด้วยทองคำและหยก คนเข้าละโมบและลุ่มหลงได้ง่ายหลี่หลิงเฟิ่งหยิบเศษผ้าขาวที่เขรอะไปด้วยฝุ่นที่อยู่ท่ามกลางบรรดาสมบัติชิ้นอื่นขึ้นมา นางพินิจถึงความพิเศษที่ควรจะมี ทว่ากลับเป็นเพียงผ้าธรรมดาเท่านั้น นางตัดสินใจวางลงที่เดิม เพียงแต่มือของนางกลับหนักอึ้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อนางหยิบขึ้นมาอีกรอบความรู้สึกหนักอึ้งที่มือกลับหายไปฟุบ!“อ๊ะ” ลมที่ไม่รู้มาจากที่ใดปะทะเข้ากับหน้าของนางอย่างจัง เศษผ้าปลิวมาติดที่ตาทั้งสองข้างปิดกั้นการมองเห็นไปชั่วขณะ จากนั้นก็ผสานเข้ากับนางเป็นหนึ่งเดียว หลี่หลิงเฟิ่งตกใจไม่น้อยเมื่อรู้สึกตัว แค่เพียงแวบเดียวเท่านั้น ผ้าผืนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนรนอยู่บ้าง นางรีบปรับตัวให้เป็นปกติ ด้วยกลัวคนทั้งหมดในนี้จะเห็นการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ของนางหญิงสาวลองทดสอบพลังยุทธ์และ
“ท่านทำอันใดกับข้า!” หวาหยุนตื่นตระหนก ร่างกายแข็งทื่อทุกสัดส่วน“น้าหยุนอย่ากังวล ข้าไม่ทำท่านเจ็บตัวแน่นอน แต่ท่านคงไม่มีโอกาสใช้ของพวกนี้ทำร้ายข้าแล้วล่ะ” หลี่หลิงเฟิ่งสบเข้ากับสายตาเคียดแค้นของหญิงกลางคน ชี้ไปยังจุดที่นางซ่อนอาวุธและยาพิษไว้นังโง่นี่รู้ได้ยังไงยิ่งน้ำเสียงหญิงสาวเย็นชาเท่าไหร่ หวาหยุนยิ่งกลัวมากเท่านั้น อยู่มาครึ่งชีวิตกลับพลาดท่าง่ายๆ ให้กับเด็กสาวที่นางคิดว่าไร้พิษสง นางงูพิษ!“ไหนพูดอีกทีซิ เรื่องราวความรักของบิดามารดาข้าเป็นมาอย่างไร” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบพัดบนโต๊ะมาคลี่เล่น โบกสะบัดคลายความร้อนหวาหยุนไม่อยากพูด แต่นางควบคุมปากที่กำลังขยับไม่ได้ “ความรักอะไรเหลวไหลทั้งเพ นังจิ้งจอกชิงหลัวก็แค่อยากจับท่านเจ้าเมืองเท่านั้นแหละ ท่านเจ้าเมืองเป็นคนฉลาดจะดูแผนการต่ำช้าของนางไม่ออกหรืออย่างไร คิดว่ามาเปลื้องผ้าเล่นงิ้วให้คนอื่นดูงั้นรึ ก็ไม่รู้ว่านังนั่นทำอีท่าไหนท่านเจ้าเมืองถึงยอมรับนางเข้าจวน คงจะยั่วยวนจนนายท่านหลงมันนั่นล่ะ แพศยา!”ควา
“แม่นางน้อยหากไม่สบายก็ไปหาหมอ อยากจับโจรก็ไปที่ว่าการ ที่แห่งนี้ไม่ต้อนรับสาวน้อยที่ยังไม่ออกเรือนหรอกนะ” สาวงามหน้าประตูสองสามนางรายล้อมสามนายบ่าว หัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน“ดูท่าหลายปีมานี้กิจการของหอซุนเซียงไม่เลวเลย” ทั้งสามชะเง้อคอดูความคึกคักด้านใน ขนาดหัววันผู้คนยังแน่นขนาดนี้ ตึกดึกคงไม่มีที่ยืนเลยกระมัง“แน่นอน หอซุนเซียงของเราเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งที่แม้แต่เมืองหลวงยังต้องยอมแพ้” สาวงามนางหนึ่งจีบปากจีบคอ ยิ้มมองสาวน้อยหน้าสวย สงสัยมาจับว่าที่สามีกลับจวนกระมังสาวงามอีกนางส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กับบุรุษหนึ่งเดียวในกลุ่ม “คุณชายอย่าเสียเวลาอยู่นี้เลย พวกเราเข้าไปสนุกกันข้างในดีกว่าเจ้าค่ะ”เหลียงเฉินถึงกับตัวสั่น ถอยกรูดหลบหลังสองสตรีโดยไว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่งนั่นเอง หลี่หลิงเฟิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง “ข้ามาพบเถ้าแก่ของพวกเจ้า”“เถ้าแก่เนี้ยยุ่งทั้งวันไม่ว่างมาสนใจคนไม่สำคัญหรอก ใช่ว่าใครก็เข้าพบได้โดยง่าย หากแม่นางอยากเปิดหูเปิดตาก็ไ
หลี่หลิงเฟิ่งนอนขดอยู่บนเตียง มือขวากำกำไลบนข้อมือซ้ายแน่นโดยไม่รู้ตัว กำไลวงนั้นเรืองแสงสีแดงผสมสีขาวซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของนาง หญิงสาวหอบหายใจแรง เหงื่อผุดพลายเต็มใบหน้า สีหน้าเปลี่ยนเกือบทุกวินาที บ้างหัวเราะ บ้างร้องไห้ บ้างโกรธเคือง เป็นแบบนี้อยู่หนึ่งชั่วยามก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้งขนตางอนขยับสองสามทีก่อนจะเปิดขึ้นพบกับดวงตาเมล็ดซิ่งที่ฉายแววหนักใจ มือเรียวถอดกำไลเจ้าปัญหาออกมาจ้องมอง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างทันใด“ลวดลายพวกนี้มากไหน” ลวดลายมังกรปรากฏบนกำไลสีม่วงเรียบง่าย ทั้งยังมียันต์ใบหนึ่งแปะอยู่ก่อนจะร่วงหล่นลงบนเตียง หัวใจของหลี่หลิงเฟิ่งเต้นตึกตัก นี่ไม่ใช่ว่ากำไลวงนั้นที่นางตามหาหรอกหรือ ที่แท้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม!“เสี่ยวมู่!” หลี่หลิงเฟิ่งร้องเรียกกูรูรู้ทุกเรื่องอย่างร้อนใจ“วันนี้ข้าใช้แรงไปมาก ท่านจะรบกวนพักผ่อนของข้าไม่ได้นะ” เสี่ยวมู่หน้ายู่ แคะหูเพราะเสียงทรงพลังของนาง เจ้านายไม่สงสารเด็กกำลังโตอย่างมันบ้างเลยหลี่หลิงเฟิ่งไม่สนใจ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าดูก่อน สิ่งนี้ใช่กำไล
เสี่ยวมู่หน้าดำคล้ำ ยิ่งเห็นหลี่หลิงเฟิ่งคลึงผลบนไม้สีทองเล่นบนมือ หัวใจดวงน้อย ๆ ยิ่งเจ็บปวด ปิดหน้าร้องไห้กระซิกราวกับอนุภรรยาที่โดนรังแก บั้นท้ายงอนงามเจ็บร้าวระบมฮือ ท่านอยากหาเงิน ทำไมต้องบังคับให้ข้าเบ่งพวกมันออกมาด้วย“เอาล่ะๆ ไว้ข้าจะชดเชยเจ้าทีหลัง” หลี่หลิงเฟิ่งลูบศีรษะปลอบประโลม“ฮึก ท่านลำเอียง! ขนาดเจ้านั่นทำร้ายร่างกายข้าท่านยังไม่ห้ามปรามเลย” ยิ่งพูดยิ่งน้ำตาไหล เบ้ปากน้อยใจ มือเล็กป้อมจับผมที่เหลืออยู่น้อยนิดบนศีรษะ แหกปากร้องอีกครา“เสี่ยวไป๋ ต่อไปห้ามรังแกเสี่ยวมู่เป็นอันขาด เสี่ยวมู่มาก่อนเป็นพี่ชาย เจ้าเด็กกว่าต้องเชื่อฟัง เข้าใจหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงดุอ๊าวเสี่ยวไป๋ก้มหน้าสลด น้ำตาคลอเบ้า ผงกศีรษะอยู่หลายที“เจ้าก็เหมือนกัน ถึงแม้เจ้าจะมีพละกำลังมาก แต่เสี่ยวมู่มีส่วนช่วยหาอาหารมาให้เจ้า นับว่าเป็นผู้มีพระคุณ วันหน้าต้องกตัญญูต่อพี่ชายให้มาก” เสี่ยวจูจูตอบรับอย่างรู้ความ เชื่อฟังคำพูดหลี่หลิงเฟิ่งทุกคำ“สำหรับข้าพวกเจ้าไม่ใช่แค่ส
“คุณหนูสำรับอาหารพร้อมแล้ว ท่านจะทานเลยหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเซียงเดินเข้ามาในห้อง ยอบกายคำนับและกล่าวด้วยรอยยิ้ม“อืม ยกเข้ามาเถิด” หลี่หลิงเฟิ่งวางคัมภีร์โอสถที่อยู่ในมือลง ลุกจากเตียงเดินไปยังโต๊ะที่เสี่ยวเซียงกำลังจัดสำรับอาหารกลางวันอยู่"ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง เจ้าออกไปก่อน"หลี่หลิงเฟิ่งโบกมือให้นางถอยออกไป ก่อนจะนั่งลงและลงมือเริ่มทานอาหารตั้งแต่กลับมาสาวใช้ของนางก็ไม่เคยอยู่ห่างนางแม้แต่ก้าวเดียว วันนี้เริ่มดีขึ้นมาหน่อย ไม่เคยจับตามองตอนนางทานข้าวอีกแล้ว นางยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความอารมณ์ดี ดังนั้นระหว่างคีบอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า สมองจึงแล่นไม่หยุดหย่อนด้วยเหมือนกัน หวนนึกถึงเรื่องราวไม่กี่วันที่ผ่านมาจากเหตุการณ์ของปรมาจารย์หม่าเจิ้ง เจ้าสำนักทำการจัดระเบียบสำนักแพทย์โอสถขึ้นมาใหม่ กฎการรับศิษย์เข้มงวดขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า พร้อมกันนั้นยังตรวจสอบพื้นเพย้อนหลังของศิษย์สายในของสำนักทุกคน คนไหนมีที่มาที่ไปน่าสงสัยจะถูกขับออกจากสำนักทันที นับเป็นการเก็บกวาดสิ่งสกปรกของสำนักครั้งใหญ่หลี่หลิงเฟิ่งวา
“เจ้าโกหก!” ถงหนิงซีตะโกน มองหน้าหลี่หลิงเฟิ่งเขม็งหลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว หัวเราะทีหนึ่ง เป่าน้ำชาร้อนในถ้วย ไม่สนใจถงหนิงซีอีกต่อไปนางไม่อยากคุยกับคนสมองหมู“บัดซบ! เป็นเจ้านั่นล่ะไม่ยอมรับความจริง” หรงอู่คำรามอย่างเหลืออด “ผู้อาวุโสสามถูกขังอยู่ในคุกตั้งแต่ก่อนงานประลองจะเริ่มแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปทำตัวมีพิรุธให้เจ้าจับได้กัน เจ้าคิดว่าคนในสำนักแพทย์โอสถโง่เง่าขนาดนั้นรึ! โดนหลอกใช้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก”“ไม่จริง ก็คนผู้นั้นบอกว่า...” ถงหนิงซีอึกอักอยู่นาน สุดท้ายก็หุบปากไม่กล่าวอันใด“บอกอะไร เจ้าพูดออกมาสักทีสิ” ผู้อาวุโสแปดฟังอยู่นานก็ยังจับคนร้ายไม่ได้ เมื่อเห็นถงหนิงซีมัวแต่อ้ำอึ้งก็ร้อนใจขึ้นมาอีกรอบ“รู้อะไรมั้ย เพื่อพวกเจ้าแล้ว ถงลี่เลือกทรยศสำนักที่เขารับใช้มาหลายสิบปี เพราะพวกเขาเอาชีวิตของคนในครอบครัวมาข่มขู่ น่าเสียดายที่เขาเลือกเจ้านายผิดคน สุดท้ายเมื่อทำงานล้มเหลวถึงได้โดยฆ่าปิดปาก คนใกล้ชิดก็ไม่เหลือทางรอดเช่นเดียวกัน” สวีคุนเอ่ยขึ้นเบาๆ เขา
ภายในคุกใต้ดินของสำนักแพทย์โอสถแฝงไปด้วยบรรยากาศอันน่ากลัว เสียงน้ำหยดจากผนังดังเป็นจังหวะในความเงียบสงัด ร่องรอยความมืดเกือบจะครอบคลุมทุกพื้นที่ มีเพียงเงาของคนกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในเงามืดนั่นคือกลุ่มของหลี่หลิงเฟิ่ง ซึ่งกำลังเดินเข้าไปยังห้องขังที่กักขังผู้อาวุโสสามเอาไว้พวกเขาเดินไปตามทางเดินหินที่แคบและมืด อากาศเยือกเย็นที่ออกมาจากหินในร่องทางเดินทำให้ทั้งกลุ่มรู้สึกหนาวเหน็บอยู่บ้าง แม้แต่ลมหายใจยังคงเป็นไอเย็นกรุ่นออกมาเสียงฝีเท้าของทั้งกลุ่มค่อยๆ ดังขึ้นขณะที่เดินผ่านห้องขังหลายห้อง จนกระทั่งถึงประตูไม้เก่าแก่บานหนึ่ง ประตูนี้มีรอยขีดข่วนและความเสื่อมโทรมของมัน เห็นได้ชัดว่าถูกเปิดและปิดบ่อยครั้งสวีคุนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะหันไปมองหลี่หลิงเฟิ่ง “คนร้ายคงต้องการฆ่าตัดตอนเพื่อปกปิดความจริงกระมัง ทุกครั้งที่พวกเราเข้าใกล้ความจริง มักจะมีเท้าคู่หนึ่งก้าวนำหน้าพวกเราไปก่อนเสมอ ถ้าผู้อาวุโสสามยังมีชีวิตอยู่ เราคงจะรู้คำตอบในไม่ช้า”“พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ศัตรูอยู่ในที่มืด เรื่องมันไม่ง่ายดายอย
ท้องฟ้านอกหน้าต่างอาบแสงแดดจางๆ ผสมกับสายหมอกยามเช้าที่ยังปกคลุมยอดเขา ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปเมื่อตะวันเริ่มตั้งสูงขึ้น สถานที่เงียบสงัดภายในห้องนอนของเจ้าสำนักมีเพียงสามชีวิตที่กำลังนั่งจิบชาหันหน้าเข้าหากัน อารมณ์ตึงเครียดของแต่ละคนลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง ยกเว้นหลี่หลิงเฟิ่งที่นั่งเอนตัวพิงกับเก้าอี้ดื่มด่ำกับชาชั้นยอดอยู่ในห้วงฝันส่วนตัวความเงียบดำเนินไปหลายชั่วยาม คนในห้องต่างรอคอยศิษย์ในสำนักบางส่วนที่ออกไปทำภารกิจของค่ำคืนที่ผ่านมา เนื่องจากเมื่อคืนนี้มีผู้บุกรุกเข้าไปในเขตหวงห้ามของสำนัก เจ้าสำนักและอาจารย์อาเล็กจับสิ่งผิดสังเกตได้จึงสั่งให้พวกเขาออกไปค้นหาคนร้ายอย่างลับๆเจ้าสำนักที่ตอนนี้กลับมาเป็นชายหนุ่มรูปงามดังเดิมนั่งนิ่ง แผ่นหลังเหยียดตรงทว่ากลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แฝงความเย็นชา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเพราะรู้ดีว่ามีผู้ไม่ประสงค์ดีแฝงตัวอยู่ในสำนัก อย่าว่าแต่จับคนร้ายเลย ตัวเขาก็เกือบตายด้วยน้ำมือของคนผู้นั้นด้วยซ้ำต่างจากหรงอู่ที่ภายในใจคิดอย่างไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าทั้งหมด หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มสองขยับ เขายกมือขึ้นปาดมันอ
สวีคุนเริ่มสำรวจภายในห้องโถงอย่างตื่นเต้นโดยมีหลี่หลิงเฟิ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง เนื่องจากนางเข้าออกโถงแห่งนี้เป็นประจำ จึงรู้สึกเฉยชาอยู่มาก แต่เมื่อเดินเข้ามายังใจกลางห้อง สีหน้าของนางกลับแปรเปลี่ยนจากปกติโดยสิ้นเชิง หันไปมอบรอบ ๆ อย่างน่าประหลาดใจหลี่หลิงเฟิ่งเริ่มสำรวจอีกรอบ จากที่เคยเป็นโถงไม้ธรรมดา เวลานี้กลับแวววาวระยิบระยับดั่งประสาททอง สะท้อนเข้าสู่ดวงตาจนปวดแสบ“โดยปกติแล้วสำนักของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ก่อตั้งจะเป็นบุคคลร่ำรวยผู้หนึ่ง ขนาดที่พำนักยังสร้างมาจากทองคำ!” สวีคุนเก็บอาการไม่ไหวอุทานออกมา ท่ามกลางของมีค่ามากมายเรียงรายอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาตาลายอย่างช่วยไม่ได้เมื่อมองไปรอบตัวนอกจากจะเห็นทองคำและเพชรนิลจินดาแล้ว บนผนังห้องยังมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งแขวนไว้หลายรูป ช่างน่าเหลือเชื่อ หรือคนผู้นี้ชอบชื่นชมรูปโฉมของตัวเอง ท่วงท่าแต่ละภาพออกจะพิสดารอยู่บ้าง แต่ไม่อาจบดบังความงามของนางได้ปัง! ขณะที่ทั้งสองตกอยู่ในภวังค์ความคิด ประตูที่เคยเปิดอยู่กลับปิดกะทันหัน ตัวอักษรสีแดงตัวโตแสดงอยู่บนผนังห้อง‘บทเพลงเพลิงพิรุณลืมเลือนสยบใต้หล้า ’“ที่แท้ก็ไม่ใช่ภาพวา