"เจ้าอยากทำอะไรอีก?" เย่จิ่งหานถาม"สำนักบัณฑิตหลวงกำลังจะเปิดงานประชุมสวินหลง ข้าก็อยากเข้าร่วมด้วย""ไม่ได้ การประชุมสวินหลงอันตรายมาก การที่จะหาของวิเศษได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน แค่ค่ายกลและอสูรร้ายข้างในก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้"กู้ชูหน่วนมองเขาอย่างน่าสงสารเย่จิ่งหานหันหน้าไปอีกทาง ไม่อยากมองสายตาของกู้ชูหน่วน เขากลัวว่าหากใจอ่อนอีกครั้งก็จะตอบตกลงอีก"เจ้าอยากได้สมบัติอะไร ข้าจะมอบให้เจ้าเอง ไม่จำเป็นต้องไปผจญภัย""ท่านอ๋อง ท่านไม่เข้าใจ ข้าไปเข้าร่วมงานประชุมสวินหลงไม่ใช่เพื่อแย่งชิงสมบัติ แต่เพื่อเพิ่มศักรภาพกลางแจ้งให้กับลูกของเรา ท่านลองคิดดูสิว่าการอยู่ในบ้านทั้งวันมันน่าเบื่อแค่ไหน ผู้ใหญ่ยังต้องเบื่อตาย นับประสาอะไรกับเด็ก การออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างก็เป็นเรื่องดี""……""อีกอย่าง ท่านก็คงไม่อยากให้ลูกของเราเกิดมาเหมือนเยี่ยเฟิงที่ขี้อายใช่หรือไม่ อยากให้ลูกไม่ขี้อาย ก็ต้องออกไปเดินเล่นข้างนอกมากๆ ลูกในท้องก็ต้องเข้าสังคมเหมือนกัน ข้าพาลูกของเราออกไปเพิ่มพูนประสบการณ์""……"เย่จิ่งหานไม่รู้ว่าในสมองเล็กๆ ของกู้ชูหน่วนนั้นมีอะไรอยู่ ทำไมถึงพ
กู้ชูหน่วนหลับอย่างมีความสุข ในขณะที่เย่จิ่งหานไม่ได้นอนทั้งคืนแสงเทียนสีแดงสั่นไหว เย่จิ่งหานมองดูใบหน้าที่หลับใหลของนาง ขยับรถเข็นเข้าไปหานาง และช่วยนางห่มผ้าให้ดีผ่านไปนาน เขาถอนหายใจอย่างจนใจ ผลักประตูออก ปล่อยให้ลมหนาวปะทะหน้าของเขา"นายท่าน"ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยรีบทำความเคารพในวันแต่งงาน พระชายาทิ้งท่าน นอนหลับอย่างสบาย และไม่ยอมให้ท่านนอนบนเตียง ใครๆ ก็คงไม่อยากเชื่อเย่จิ่งหานยกมือขวาขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณให้พวกเขาทำเสียงเบาลง อย่ารบกวนการนอนของกู้ชูหน่วนจากนั้นเขาก็ปล่อยให้ชิงเฟิงพาเขาไปที่ห้องหนังสือในห้องหนังสือ ชิงเฟิงรออยู่ข้างๆ เจี้ยงเสวี่ยรายงานว่า "นายท่าน ข้อมูลของพระชายาถูกตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ ข้อมูลของอี้เฉินเฟยนั้นลึกลับมาก มีคนพยายามซ่อนมันเอาไว้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ลูกน้องตรวจสอบอะไรบางอย่างได้ ก็จะมีคนมาขัดขวางกลางคัน แต่เขามีแนวโน้มสูงมากที่จะเกี่ยวข้องกับสำนักซิวหลัว""ส่วนเจ้าสำนักซิวหลัว นางได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหัวหน้าเผ่าหมอขณะที่นางแย่งชิงลูกแก้วมังกรลูกที่สี่ และกระโดดลงไปในหน้าผาสูงชันโดยเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย หน
ตามกฎของแคว้นเย่ ในวันที่สองของการแต่งงานระหว่างเย่จิ่งหานกับกู้ชูหน่วน พวกเขาควรเข้าไปในวังน้อมคารวะฮ่องเต้และไทเฮา แต่ฮ่องเต้มักเกรงกลัวเทพสงครามอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น กู้ชูหน่วนไม่ใช่แค่หญิงอัปลักษณ์ผู้ไร้ความสามารถ แต่ยังเป็นหญิงงามที่มีความสามารถรอบด้าน ทำให้ฮ่องเต้โกรธมาก ฉะนั้นจึงมีพระราชโองการให้พวกเขาไม่ต้องเข้าไปในวังเพื่อน้อมคารวะกู้ชูหน่วนดีใจที่ไม่ต้องเข้าไปน้อมคารวะในวังณ หอจิ่วเฟิงแห่งเมืองหลวงกู้ชูหน่วนสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนสลับขาว ดวงตาสุกใส ฟันขาวสวยงาม มีรูปลักษณ์ที่งดงามจนแทบหยุดหายใจ ในขณะนี้นางนั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านอยู่ริมหน้าต่างผู้คนจำนวนมากในหอจิ่วเฟิงต่างมองด้วยความตกตะลึงและพูดคุยกันว่านางเป็นใครข้างกายกู้ชูหน่วนยังปรากฎเด็กหนุ่มนั่งอยู่บนรถเข็นสวมหน้ากากผีหน้ากากของเด็กหนุ่มปิดบังใบหน้าส่วนใหญ่เอาไว้ มองไม่เห็นรูปลักษณ์ แต่ชุดผ้าไหมดูหรูหราและสง่างาม เพียงแค่ได้เห็นแวบแรก ก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาข้างกายเด็กหนุ่ม ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างหน้าตาคมคาย"พวกเจ้าได้ยินกันหรือไม่ว่า ลูกชายคนเล็กของแม่ทัพใหญ่เซียว
พวกเขาคาดเดาไว้นั้นถูกต้องจริงๆ ผู้หญิงที่สวยงามขนาดนี้จะเป็นภรรยาของชายพิการที่แม้แต่หน้าตาก็ไม่กล้าเปิดเผยได้อย่างไร?ที่แท้เป็นชายผู้นี้จริงๆ ที่ชิงตัวนางมาอีกด้านหนึ่งที่ริมหน้าต่าง คุณชายสูงศักดิ์นำลูกน้องมาพร้อมท่าทีองอาจ พวกเขาเข้ามาล้อมพวกเขาไว้คุณชายผู้นี้อายุน้อยราวสิบกว่า สวมเสื้อผ้าไหมสีม่วงเข้ม ห้อยจี้หยกขาวที่เอว หน้าตาดูดี แต่ดวงตาคู่นั้นจ้องมองกู้ชูหน่วนอย่างเจ้าเล่ห์ และปรากฎความโลภทันทีที่เขามาถึงแล้วเขาก็จ้องมองไปที่พวกเย่จิ่งหานอย่างโกรธเคือง ตำหนิว่า "พวกพิการมาจากที่ไหนกัน กล้ากักขังอิสรภาพของผู้อื่นเวลากลางวันแสกๆ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นหานอ๋องเทพสงครามหรืออย่างไร อยากทำอะไรก็ทำ"บรรยากาศเย็นเยือกลงทันทีชิงเฟิงขยับเท้าเพื่อจะจัดการกับพวกเขาเย่จิ่งหานยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ยิ้ม "อ่อ......หากข้าคือเทพสงครามจริงๆ ล่ะ""เจ้าคือเทพสงคราม? ฮ่าๆ ๆ...เจ้าเนี่ยนะ? เจ้าคิดว่าใส่หน้ากาก นั่งรถเข็นแล้วจะเป็นเทพสงครามได้หรือ? หากเจ้าเป็นเทพสงคราม ข้าก็คงเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ไปแล้ว แม่นางไม่ต้องกลัว ข้าเป็นหลานของอัครมหาเสนาบดีในราชวงศ์ พ่อของข้าก็เป็นเสนาบดีกรมธรร
"แม่นาง เหตุใดเจ้าถึงได้ทุบตีข้าอีกแล้ว""เขาไม่ได้พิการ" กู้ชูหน่วนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังประการแรก นางสามารถข่มเหงรังแกเย่จิ่งหานได้ สามารถด่าเขาว่าพิการได้ แต่ไม่ชอบให้ผู้ใดมาเหยียดหยามรังแกเขาประการที่สอง นางกำลังช่วยเขาอยู่ เพียงประโยคเดียวที่ดูถูกเย่จิ่งหาน เท่ากับว่าเท้าข้างหนึ่งของเขาได้ก้าวเข้ายมโลกไปแล้ว เย่จิ่งหานแค่โบกมือเบาๆ ก็สามารถทำให้ทั้งตระกูลของเขาหายสาบสูญไปจากเมืองหลวง หรือถึงขั้นหายไปจากโลกใบนี้เลยก็เป็นได้"เจ้า...เจ้ากับเขาเป็นอะไรกัน" ต่อให้เสิ่นอวิ๋นลี่จะโง่เพียงใดก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาเขาเป็นเด็กที่ถูกประคมประหงมตามใจที่สุดในบ้าน ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ท่านพ่อท่านแม่จะคิดทำทุกวิถีทาง เพื่อนำมามอบให้เขาถึงตรงหน้าตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยถูกตี แต่ยามนี้กลับถูกหญิงแปลกหน้าต่อยเสียได้เสิ่นอวิ๋นลี่บ้วนเลือดในปาก จากสีหน้าเอาอกเอาใจเมื่อครู่ กลายเป็นตักเตือนด้วยสีหน้าเย็นชา "เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด""รู้สิ ร้านอาหาร""ที่นี่เป็นถิ่นของข้า ถนนทั้งเส้นในเมืองหลวงล้วนเป็นถิ่นของข้า ขอเพียงข้าต้องการให้เจ้าตาย แม้จะเป็นเทพสง
"ประมูลหรือ ?"กู้ชูหน่วนชักจะสนใจขึ้นมาแล้วหลังจากที่ข้ามมิติมาที่นี่ นางยังไม่เคยไปงานประมูลมาก่อนนางย่อตัวลงในท่ากึ่งคุกเข่า กะพริบตาที่ใสเป็นประกาย ยิ้มกว้างเป็นพระจันทร์เสี้ยว "ท่านอ๋อง ไม่เช่นนั้นท่านพาข้าไปเปิดหูเปิดตาหน่อยดีหรือไม่""งานประมูลเฟิงเซียง ข้าก็ยังไม่เคยไป"เอิ่ม......งานประมูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เขาไม่เคยไปมาก่อนหรือนี่"เช่นนั้นพวกเราก็ไปเปิดหูเปิดตาด้วยกันสักหน่อยเถอะ"กู้ชูหน่วนพูดพลางเข็นรถเข็นไปทางลานประมูลเฟิงเซียงด้วยตนเองผู้คนที่งานประมูลล้นหลาม ทว่ากลับไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปได้ ผู้ที่อยากเข้าไป จะต้องจ่ายเงินหนึ่งพันตำลึงเสียก่อนกู้ชูหน่วนและพวกจ่ายเงินแล้วเข้าไปในงานประมูล ทว่ากลับไม่มีสิทธิ์เข้าห้องพิเศษชิงเฟิงคิดจะเปิดเผยตัว ทว่ากู้ชูหน่วนรั้งเอาไว้"หากจะต้องพึ่งฐานะไปเสียทุกเรื่องก็ไม่สนุกสิ ที่นั่งธรรมดาก็ไม่เลว คนเยอะ คึกคักดี"ชิงเฟิงไม่กล้าตอบโต้ นายท่านไม่ชอบสถานที่ที่คนแออัดมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นแม้นายท่านจะเป็นถึงเทพสงครามผู้เลื่องชื่อ แต่คนที่เคยได้พบเห็นเขากลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่นั่งธรรมดาของงานประมูล
"หอเลิศหล้า ?"นี่คือกลุ่มองค์กรอะไรกันอีก ทำไมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ความทรงจำในสมองก็ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับหอเลิศหล้าเลย"ผู้คนต่างกล่าวขานเล่าลือถึงหนึ่งหอหนึ่งเรือนที่แม้แต่ปีศาจและเทพต่างก็หวั่นเกรง หมายถึงเรือนชาลฟ้าและหอเลิศหล้า ข้อมูลที่พวกเขามี ล้วนแต่เหนือกว่าผู้ใดทั้งใต้หล้า สามารถพูดได้ว่า ขอเพียงแค่พวกเขาต้องการสืบ ไม่มีเรื่องใดที่สืบไม่เจอ"ชิงเฟิงไม่ได้บอกกู้ชูหน่วนว่านายท่านก็คือหัวหน้าของเรือนชาลฟ้าเขาไม่กล้าจะบอกว่า ช่วงนี้เขากำลังสืบหาเรื่องตัวตนของพระชายาและอี้เฉินเฟย แต่พบเจออุปสรรค ราวกับมีผู้มีอำนาจบางคนที่มองไม่เห็นคอยตัดเบาะแสของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขาไม่มีความคืบหน้าใดๆ นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกู้ชูหน่วนหักนิ้ว "พูดเช่นนี้ก็หมายความว่า ลานประมูลเฟิงเซียงมีความสามารถแข็งเกร่งเลยทีเดียว""ตอนนี้สามารถพูดเช่นนี้ได้ ไม่เคยมีผู้ใดกล้าก่อกวนที่ลานประมูลเฟิงเซียง ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์หรือลูกหลานตระกูลขุนนางล้วนแต่ต้องให้เกียรติพวกเขา เพราะไม่ว่าผู้ใดต่างก็มีเรื่องสกปรกโสมมกันบ้างทั้งนั้น หากล่วงเกินลานประมูลเฟิงเซียง เป็นไปได้ว่าเรื่องน่าอ
ภายในห้องพิเศษชั้นสอง สีหน้าเจ๋ออ๋องดูลึกลับมีเลศนัยวิทยายุทธของเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็ใกล้จะเข้าขั้นหนึ่งแล้ว ขาดก็เพียงแค่ยาล้างไขกระดูกที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้สภาพร่างกายได้ หญ้าจื่อเยียนนี้เขาจำเป็นจะต้องเอามาให้ได้ เพราะเขาอยากจะแซงหน้าเทพสงครามให้ได้ทว่ายามนี้...มีคนแย่งหญ้าจื่อเยียนกับเขา อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นกู้ชูหน่วนแววตาริษยาคู่นั้นของเจ๋ออ๋อง จ้องมองไปยังเย่จิ่งหานที่อยู่ข้างกายกู้ชูหน่วน เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวภายในห้องพิเศษอีกห้องหนึ่งที่ชั้นสอง องค์หญิงตังตังกำลังเดือดดาลเหตุใดถึงเป็นกู้ชูหน่วนอีกแล้ว นางผู้นี้มีวิชาแยกร่างหรืออย่างไร ไม่ว่าจะไปที่ใดก็เจอนางตลอดเพราะเปิดผ้าคลุมหน้าของนาง จึงทำให้ถูกเสด็จอาลงโทษอย่างหนัก ถึงขั้นถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิตหลวงแล้วนางเป็นถึงองค์หญิง ทว่ากลับถูกไล่ออกจากสำนักบัณฑิตหลวง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ชื่อเสียงของนางสูญสิ้นจนหมดเสี่ยวลวี่ข้ารับใช้สาวขององค์หญิงตังตังเอ่ย "องค์หญิง นังกู้ชูหน่วนไม่เอาไหนผู้นั้นไม่มีวิทยายุทธเสียหน่อย นางออกมาแย่งหญ้าจื่อเยียนเช่นนี้ คงรู้ว่าองค์หญิงกำลังรีบร้อนจะ
เดิมทีคนของเผ่าเทียนเฝินก็สงสัยในตัวนายท่านหลันอยู่แล้ว เมื่อกู้ชูหน่วนพูดเช่นนี้ คนของเผ่าเทียนเฝินก็อดไม่ได้ที่จะมองนายท่านหลันเป็นศัตรูยิ่งกว่าเดิม กู้ชูหน่วนเอ่ยออกมาเบาๆ อีกประโยค "อีกอย่างหินก้อนใหญ่จากยอดเขากลับร่วงมาบนหัวผู้อาวุโสทุกท่านของเผ่าเทียนเฝิน ทว่าพวกเจ้าทั้งหมดกลับอยู่ริม และหลบได้อย่างง่ายดาย" "กู้ชูหน่วน เจ้าหมายความเช่นไร หรือเจ้าสงสัยว่าเป็นแผนของข้ารึ" "ข้าไม่มีความกล้าที่จะพูดเช่นนั้นหรอก ชีวิตน้อยๆ ของข้ายังอยู่ในมือเจ้า" "เช่นนั้นหินก็ไม่ได้ร่วงใส่เจ้าไม่ใช่หรือ" "ข้าไม่โดนหินทับตาย เพราะข้าดวงแข็ง ใครจะรู้ว่าอีกเดี๋ยวทางที่เจ้าพาไป จะหลอกข้าไปตายหรือไม่" "หากวันนี้ข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่ใช่นายท่านหลันแห่งกองธงทั้งสิบสองของเผ่าหมออีก" นายท่านหลันเดือดดาล ไม่ลังเลที่จะลงมืออีกต่อไป ทุกกระบวนท่าล้วนแต่ต้องการจะสังหารกู้ชูหน่วนให้ถึงแก่ชีวิต ผู้อาวุโสเผ่าเทียนเฝินก็มีน้ำโหด้วยเช่นกัน บวกกับกู้ชูหน่วนคอยยุแยงทุกประโยค คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอจึงแตกหักกันโดยสิ้นเชิง หันมาฆ่าฟันกันเอง ผู้อาวุโสจวินพูดด้วยความฉุนเฉียว "พวกหัวขโมยอ
ไฟโทสะในใจของนายท่านหลันสุมเป็นกองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา เขาคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “กู้ชูหน่วน เจ้าวกไปวนมา จะวนไปถึงไหนกัน” “พวกเจ้าให้ข้าพาพวกเจ้าไปสุดยอดเขาเพื่อตามหาแก้วมังกรไม่ใช่รึ ข้ากำลังหาทางอยู่นี่อย่างไร” นายท่านหลันโกรธจนอยากจะฟาดฝ่ามือใส่นางให้ตาย กู้ชูหน่วนพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ “ที่แห่งนี้มีทางแยกมากมาย ข้าพยายามหาเส้นทางเต็มที่แล้ว อีกอย่างทุกเส้นทางที่ไป ล้วนแต่ผ่านความเห็นชอบของพวกเจ้าแล้ว นายท่านหลัน เจ้าจะใส่ร้ายว่าข้าจงใจพาพวกเจ้าวกไปวนมาได้อย่างไร” นายท่านหลันหงุดหงิด ทั้งๆ ที่กู้ชูหน่วนจงใจหลอกพวกเขา ทว่านางกลับเอาเหตุผลมาอ้างทุกประโยค แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ ทำให้เขาหาข้อกังขาไม่ได้ ทุกครั้งที่นางจะวนอยู่ที่ทางแยก นางถามพวกเขาก่อนแล้ว แต่นางแทบไม่ให้เวลาเขาดูแผนที่ก็มุ่งหน้าเดินต่อไปแล้ว ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเริ่มจะหมดความอดทน พวกเขาวนอยู่ในถ้ำมาครึ่งวันแล้ว ขืนวนต่อไป เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่น้อยนิดของพวกเขาก็จะถูกใช้จนหมด ต้องไปถึงยอดเขาให้ได้โดยเร็ว เขาเอ่ยเสียงขรึม พยายามข่มความเหลืออดไว้ในใจ “ยังต้องเดินอีกไกลเพียงใด” “เ
ครั้งนี้ เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าเทียนเฝินเองก็ไม่ใจเย็นอีกต่อไปแล้ว อยากจะแทงกู้ชูหน่วนให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น ทว่ากู้ชูหน่วนกลับชิงร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลออกมาเสียก่อน พลางสะอึกสะอื้น "เหล่าสหายทั้งหลาย เป็นข้าเองที่ทำร้ายพวกเจ้า หากรู้แต่แรกว่าที่นี่อันตรายถึงเพียงนี้ หากรู้แต่แรกว่าถ้าบุกเข้ามาจะทำให้พวกเจ้าตายอย่างทรมานที่นี่ ข้ายอมถูกพวกเจ้าตีตายไปเสีย แต่จะไม่ยอมยกกระดิ่งภินวิญญาณให้เด็ดขาด ข้าผิดต่อพวกเจ้า" "ข้าสมควรตาย ข้าทำผิดต่อพวกเจ้า พวกเจ้าฆ่าข้าเสียเถอะ ชีวิตคนมากมายเช่นนี้ คุณพระช่วย...ข้าควรชดใช้เช่นไร" นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล ปวดใจเป็นที่สุด คนของเผ่าเทียนเฝินพลันใจอ่อนฮวบในทันที คนของเผ่าหมอก็คลายความโกรธลงไปไม่น้อย มีเพียงแค่นายท่านกองธงที่กัดฟันกรอด เส้นเลือดสีเขียวปูดจนจะระเบิดออกมา "ในเมื่อเจ้าอยากตายถึงเพียงนี้ เช่นนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง" หัวหน้ากองธงพูดพลางฟาดฝ่ามือไปที่กะโหลกของนาง คนของเผ่าเทียนเฝินมองดูหน้าตาเฉย อยากเห็นว่ากู้ชูหน่วนคิดจะเล่นพิเรนทร์อะไร คิดไม่ถึงว่ากู้ชูหน่วนเพียงแค่ร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อน อีกทั้งยังไม่ตอบโต้ ท่าทางรอคว
เหล่าผู้อาวุโสระดับสูงเป็นกังวล ยามนี้พวกเขาต่างก็เจ็บหนัก หากฝืนตามไป ใช่ว่าจะเป็นประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรอาการของแต่ละคนก็สาหัสปางตายกันทั้งสิ้น แต่หากไม่ไปแล้วแก้วมังกรถูกชิงไป คิดจะแย่งกลับมา เช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้ว พวกเขาออกตามหามาหลายปี ใช้คนไปตั้งมากมาย จนมาพบที่ตั้งของแก้วมังกรในที่สุด ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรยอมแพ้ กู้ชูหน่วนพิงอยู่ข้างโขดหิน มองดูท่าทีลังเลของพวกเขาอยู่เงียบๆ มุมปากยกยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็น แก้วมังกรล่อตาล่อใจเสียขนาดนั้น มีหรือที่พวกเขาจะไม่ติดกับ เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ คนเหล่านี้กัดฟันเค้นออกมาหนึ่งประโยค "ไป ขึ้นเขาไปดูเสียหน่อย เจ้าก็ไปกับพวกข้าด้วย" กู้ชูหน่วนแสร้งทำเป็นตกใจ "เมื่อครู่พวกท่านเพิ่งรับปากว่าจะให้ข้าออกไปอย่างปลอดภัยไม่ใช่หรือ หรือท่านจะกลับคำพูด" "แผนที่ที่เจ้าให้มามีเพียงครึ่งเดียว นอกเสียจากเจ้าช่วยพวกข้าตามหาอีกครึ่งหรือหาแก้วมังกรพบ ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าจะได้ไปไหน" "ท่านไม่รักษาคำพูดนี่" "เช่นนั้นเจ้าอยากถูกฝังอยู่ที่นี่หรือไม่" คนของเผ่าเทียนเฝินผลักนางไปด้านหน้า กู้ชูหน่วนทำได้เพียงแค่มุ่งหน้า
ทุกคนต่างก็จ้องไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความโกรธ กู้ชูหน่วนผงะถอยหลังไปหลายก้าว พูดด้วยความระวัง "อีกครึ่งถูกชาวเขาตานหุยชิงไป พวกเจ้าจ้องข้าก็ไม่มีประโยชน์ หากข้ามีแผนที่อีกครึ่ง อย่างไรก็ต้องส่งให้พวกเจ้าอยู่ดี" "ชาวเขาตานหุย ?" นายท่านหลันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง "ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าคิดว่า เหตุใดชาวเขาตานหุยถึงใจเย็นได้ขนาดนั้น รอพวกเจ้าต่อสู้อยู่ด้านนอกตั้งนาน เว้นเสียแต่นอกจากทางลงเขาเส้นนี้ บริเวณปากเขาน้ำเต้ายังมีทางอีกเส้นที่สามารถออกไปจากเขาน้ำเต้าแห่งนี้ได้ หากพวกเขาได้แก้วมังกรแล้ว ก็น่าจะลงเขาไปทางนั้นเลย" นายท่านหลันสงสัยเคลือบแคลงในคำพูดของนางเป็นอย่างยิ่ง"ทุกท่าน สตรีนางนี้ไม่เคยมีความจริงออกจากปากนาง พวกเจ้าอย่าไปเชื่อนางเด็ดขาด" ผู้อาวุโสอวิ๋นสองจิตสองใจ "คนของพวกเราเข้ามาในเขาน้ำเต้า บาดเจ็บเสียหายอย่างหนัก แต่ชาวเขาตานหุยดูเหมือนจะราบรื่นตลอดทาง อีกทั้งยังไม่พบเจออุปสรรคใดๆ เลย" เมื่อผู้อาวุโสอวิ๋นกล่าวเช่นนี้ ผู้อาวุโสจวินก็คิดขึ้นมาได้ "เป็นจริงอย่างที่พูด ตอนนั้นข้ายังสงสัยว่าเหตุใดชาวเขาตานหุยถึงได้โชคดีเพียงนี้ ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ยามนี้มาคิด
"เยี่ยเฟิงออกไปจากเขาน้ำเต้าแล้ว" "เจ้าซ่อนสิ่งใดเอาไว้" สีหน้าของกู้ชูหน่วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว นางวางมือทั้งสองข้างลง แสร้งทำเป็นพูดด้วยท่าทางสบายๆ ไม่ใส่ใจ "ข้าสตรีอ่อนแอตัวคนเดียว จะมีสิ่งใดในครอบครองได้ ก็แค่กลัวว่าชายฉกรรจ์อย่างพวกเจ้าจะเสียมารยาทกับข้าก็เท่านั้น" คำพูดนี้ของนี้ ไม่มีผู้ใดเชื่อ เพราะสีหน้าที่แสดงออกมาเล็กๆ น้อยๆ ของนางได้หักหลังนางหมดแล้ว ต่อให้นางจะนิ่งเพียงใด ทุกคนก็จับได้อยู่ดี คนของเผ่าหมอพากันเข้ามาล้อมนางเอาไว้ คนของเผ่าเทียนเฝินแม้จะนิ่งดูดาย แต่ก็ไม่ได้คิดจะปล่อยกู้ชูหน่วนไป "นังหนู ข้าขอเตือนเจ้าให้ส่งของมาดีๆ ไม่เช่นนั้น...เหอะ..." คำพูดของนายท่านหลันเต็มไปด้วยความตักเตือน นายท่านหมู่ตานกลับพูดจีบปากจีบคอ "นังเด็กคนนี้แม้จะสกปรกมอมแมมไปบ้าง แต่รูปร่างดีใช้ได้ เอามาใช้อุ่นเตียงแก้ขัดก็น่าจะไม่เลว" "เจ้า...พวกเจ้าคิดจะทำอะไร..." "ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน ข้าเป็นถึงหานอ๋องเฟย ขืนพวกเจ้ากล้าทำอะไรข้า หานอ๋องไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่" "ว่าอย่างไรนะ...เจ้าคือภรรยาของเย่จิ่งหาน เช่นนั้นพวกเราเผ่าเทียนเฝินยิ่
ด้านล่างตีนเขาของเขาน้ำเต้า คนของเผ่าเทียนเฝินและเผ่าหมอลงจากเขาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส และกองทัพที่แพ้จนหมดสภาพ สีหน้าของพวกเขาต่างก็ไม่สู้ดีนัก ข่มความฉุนเฉียวเอาไว้ เลือดสีแดงสดไหลคดเคี้ยวลงมาจากร่างของพวกเขา ผู้อาวุโสจวินแห่งเผ่าเทียนเฝินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ "หากคนเผ่าหมอของพวกเจ้าลงมือตั้งแต่แรก พวกเราก็คงไม่ต้องพ่ายแพ้จนมีสภาพเช่นนี้ แล้วปล่อยให้พวกชาวเขาตานหุยได้ประโยชน์ไป" นายท่านหลันยิ้มเยาะ "พวกเจ้าเผ่าเทียนเฝินยังเหลือยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยไว้ระวังพวกข้า หากร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมต่อสู้ด้วยกัน มังกรอสูรขั้นเจ็ดก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกข้าลงมือ พวกเจ้าจัดการเองก็ได้แล้ว สุดท้ายแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ไว้ใจพวกข้า" ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟยเย่มีนิสัยใจร้อนมาแต่ไหนแต่ไร เขาเดือดดาลขึ้นมาทันที "หากพวกข้าเข้าไปพร้อมกัน ทุกคนต่างก็เจ็บหนักกันหมด หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ไปได้ง่ายๆ น่ะสิ" ผู้อาวุโสหวงหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงติเตียน "พอได้แล้ว แทนที่จะมัวมาพูดมากอยู่ตรงนี้ ไม่สู้คิดหาหนทางว่าจะชิงแก้วมังกรมาจากชาวเขาตานหุยอย่างไรจะดีกว่า" ผู้อาวุโสระดับสูงหวงเอ่ย ก
"โฮ่ว..." "โฮก..." "เฮือก..." นายท่านกองธงเผ่าหมอและมังกรอสูรต่างก็เจ็บหนัก ครั้งนี้ล้วนแต่บาดเจ็บเสียหายกันทั้งคู่ "นายหญิง นายท่านสองคนนั้นเป็นนายท่านจากอีกสองกองธง หนึ่งในนั้นนายท่านเถาฮวาถูกมังกรอสูรโจมตีบาดเจ็บสาหัส อาการปางตาย เกรงว่าคงไม่อาจรอดไปได้แล้ว มังกรอสูรก็เจ็บไม่เบาเช่นกัน กรงเล็บหักไปเล็บหนึ่งแล้ว นายหญิง พวกเราเข้าไปตอนนี้เลยดีหรือไม่" "เจ้าจะรีบไปเกิดใหม่หรืออย่างไร จะร้อนรนกระวนกระวายไปไหน" "แต่ขืนพวกเรายังไม่ไป แล้วแก้วมังกร..." "หากแก้วมังกรชิงไปได้ง่ายเพียงนั้น พวกเจ้าคงได้ไปนานแล้ว ต้องรอถึงตอนนี้อีกรึ เสี่ยวฝูกวง ข้าเห็นปกติเจ้าก็ฉลาดดีอยู่หรอก เหตุใดพอเกี่ยวกับแก้วมังกร เจ้าถึงได้กลายเป็นคนโง่แบบนี้ไปได้" แน่นอนว่าต้องโง่อยู่แล้ว เขาจะไม่กระวนกระวายได้อย่างไร คนทั้งเผ่าต่างก็ตั้งตารอแก้วมังกรเพื่อจะได้ถอนคำสาปเลือด นั่นคือชีวิตนับพันนับหมื่นชีวิต "เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวพวกเขาก็จะเริ่มการโจมตีครั้งต่อไปแล้ว" ไม่ผิดไปจากที่กู้ชูหน่วนคาดการณ์ไว้ คนของเผ่าหมอและเผ่าเทียนเฝินลงมือโจมตีอีกครั้ง สู้กันสนั่นหวั่นไหว มืดฟ้ามัวดิน
ฮองเฮาฉู่และเยี่ยเฟิงไม่ยอมแยกจากัน กู้ชูหน่วนเปลืองแรงไปมากมายกว่าจะส่งพวกเขาสองคนกลับไปได้ บนฟ้ามีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังไม่หยุด ลมฝนโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่องราวกับพายุรุนแรง ยอดเขาโลหิตน้ำเต้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น เพราะความสั่นไหวอย่างแรงของยอดเขาทำให้ลาวาประทุขึ้นมา ซัดกระเซ็นไปบนโขดหิน ดอกไม้ใบหญ้าบนโขดหินที่แสนน่าสงสารจมอยู่ใต้ลาวา นี่คือศึกใหญ่ที่มีเพียงแค่ยอดฝีมืออันดับต้นๆ เท่านั้นที่จะก่อได้ กู้ชูหน่วนเงยหน้าไปมอง กลับพบว่ากลางอากาศมีมังกรไฟตัวสีทองที่ทั้งตัวโชกไปด้วยเลือดกำลังทะยานโลดแล่นพลางกรีดร้องไม่หยุด มังกรตัวใหญ่ยักษ์เพียงแค่สะบัดปลายหาง ยอดเขาลูกเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงก็ราบเป็นหน้ากอง ที่น่าตกตะลึงไปกว่านั้นคือ ลูกไฟที่มันพ่นออกมา มีพื้นที่แผ่ขยายไปถึงครึ่งหนึ่งของเขาโลหิตน้ำเต้า คล้ายจะแผดเผาทำลายเขาโลหิตน้ำเต้าทั้งหมดให้สิ้นซาก นอกจากมังกรไฟ ยังมีผู้อาวุโสผมขาวอีกสี่คน ฝูกวงเอ่ย "นายหญิง สี่สุดยอดผู้อาวุโสระดับสูงแห่งเผาเทียนเฝินวิทยายุทธแก่กล้านัก พวกเขาปลีกวิเวกมานานหลายปี น้อยครั้งที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวทางโลก คิดไม่ถึงว่าคราวนี้เผ่าเทียนเฝิน