สามวันให้หลังทุกอย่างถูกจัดเตรียมพร้อมสรรพ ทัพใหญ่สามสิบหมื่นนำโดยเจิ้งกั๋วกงพร้อมด้วยแม่ทัพซ้ายขวาและรองแม่ทัพผู้ติดตาม เคลื่อนพลออกจากเมืองผิงอานในยามซื่อที่ท้องฟ้าแจ่มใส แต่กลับสร้างความหม่นหมองให้กับใครหลายๆ คนโดยเฉพาะญาติมิตรของพลทหารรวมถึงคนตระกูลจ้าวด้วย
“หยางหยาง ท่านพ่อจะกลับมาหาชีชีใช่หรือไม่” จ้าวลี่หมิงถามเสียงเครือ มองส่งจ้าวมู่ในอ้อมแขนของเฉินซือหยางบนกำแพงเมืองหลวงไกลจนลับตา
“เจิ้งกั๋วกงแค่ไปปฏิบัติหน้าที่ อีกไม่นานจะต้องกลับมาแน่ เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” เฉินซือหยางกอดปลอบคนในอ้อมแขน มือหนากำตราพยัคฆ์ที่ได้รับมาจากจ้าวมู่แน่น ความเย็นเฉียบของมันช่วยปัดเป่าความหนักอึ้งซึ่งทับถมอยู่ในใจให้เบาบางลง
“องค์รัชทายาทจะเสด็จกลับเลยหรือไม่เพคะ” กู้ฟางเหนียงถามเสียงเบา ดวงตายังคงแดงระเรื่อจากการที่ต้องลาจากสามี
“เราคงต้องกลับเลย ยังมีเรื่องที่เราต้องทำอีกมากไท่เว่ยฮูหยินมีอะไรอย่างนั้นหรือ”
บรรยากาศในวังหลวงหนักอึ้งกดทับผู้คน จนนางกำนัลและขันทีในตำหนักหยางซินไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรงด้วยเกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงพระอาการของฝ่าบาท เฉินซือหยางมีสีหน้าเครียดขึงเฝ้าดูอาการของเฉินเทียนอี้ไม่ห่าง ไม่ยอมหลับยอมนอนติดต่อกันนานสามวันสามคืน ทั้งประชุมเช้า ทั้งราชกิจต่างๆ ล้วนถูกเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด ประตูตำหนักหยางซินถูกปิดเงียบ แต่ไม่อาจปกปิดอาการประชวรที่กำลังทรุดหนักของเฉินเทียนอี้ฮ่องเต้ได้มิด เมื่อรวมกับภาวะสงครามที่ด่านชายแดน ราชสำนักจึงระส่ำระสายราวกับมังกรไร้เศียร หลี่ไทเฮาจึงถือโอกาสนี้เข้าควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก ภายในตำหนักฉือซวน กลิ่นกำยานกรุ่นกำจายนำพากลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่างปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนัก “เหนียงเหนียง ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วเพคะ” หม่าหมัวมัวกระซิบบอกเสียงเบา หลี่ย่าเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องสั่งการเสียงเหี้ยม “ลงมือซะ!” ตำหนักอี้ชิ่งเงียบเหงาเ
“องค์รัชทายาทจะทรงทำอย่างไรดี ตอนนี้หลี่ไทเฮาสั่งการให้ทหารปิดล้อมตำหนักหมดแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” จางกงกงรายงานด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง ตอนที่ได้รับรายงานว่าตำหนักอี้ชิ่งถูกค้นและยัดข้อกล่าวหาว่าสมคบคิดกับคนเถื่อนขายชาติ ทำเอาเขาตกใจขวัญแทบบิน เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงถูกกล่าวหาเช่นนี้เล่า ในเมื่อผู้ลงมือกระทำแท้จริงแล้วเป็นฝ่ายหลี่ไทเฮาเสียมากกว่า ช่างกลับขาวเป็นดำได้อย่างหน้าด้านๆ “คนของฝ่ายเราล่ะ” เฉินซือหยางถามเสียงเครียดไม่นึกว่าเสด็จย่าของเขาจะทนไม่ไหวถึงขั้นปลอมหลักฐานขึ้นมาใส่ความเขาเช่นนี้ ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบสินะ “คนของเราถูกจับกุมตัวไว้หมดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนขุนนางฝั่งเราขอเปิดประชุมด่วนเพื่อยื่นหนังสือให้สามตุลาการ[1] ตรวจสอบร่วมกับไทเฮา ช่วยให้เราพอมีเวลาหาหลักฐานมาล้มล้างข้อกล่าวหา” “ไม่ทันการณ์แล้ว ไทเฮาลงมือหนักถึงขั้นนี้ย่อมต้องสานแหฟ้าตาข่ายดิน[2] ดักข้าเอาไว้ คาดว่าจดหมายลับฉบับนั้นคงเป็นลายมือพร้อมตราประท
ข่าวเรื่ององค์รัชทายาทสมคบคิดกับเผ่าคนเถื่อน วางแผนลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท และทำร้ายไทเฮาแพร่สะพัดไปทั้งเมืองหลวง ผู้คนต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความชั่วช้าเลวทรามที่องค์รัชทายาทได้กระทำไว้ ราษฎรต่างพากันสาปแช่งเจ้าสุนัขป่าเลี้ยงไม่เชื่องแว้งกัดได้แม้กระทั่งบิดาแท้ๆ ของตน พวกขุนนางต่างเรียกร้องให้มีการสืบหาที่ประทับลับที่ใช้ซ่อนตัวฝ่าบาท แต่ไม่ว่าจะเสาะหาอย่างไรก็ไม่อาจค้นพบได้โดยง่าย การหายตัวไปของเฉินเทียนอี้ รวมทั้งภัยสงครามที่คืบคลานเข้ามาทำเอาราชสำนักเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย อัครเสนาบดีหลี่จึงเชิญหลี่ไทเฮาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนอีกครั้ง และยังหารือเรื่องแต่งตั้งองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่โดยเร็ว แต่เนื่องจากพระราชลัญจกรหายไปพร้อมกับฝ่าบาท ทำให้การแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกเก็บค้างเอาไว้ชั่วคราว รอให้เจอตัวฝ่าบาทเมื่อไหร่ค่อยตัดสินใจกันอีกที ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายของหลี่ไทเฮาเป็นอันมาก เพราะผู้ที่ถูกเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่คือ องค์ชายรองเฉินจวินเฉิง แต่กลับถู
ว่าด้วยเรื่องเคล็ดวิชา ‘ฝ่าเท้าท่องวารี’ ของจ้าวลี่หมิง จ้าวลี่จ้ง : "ศาสตร์แห่งยุทธ์ที่สืบทอดต่อๆ กันมาในตระกูลจ้าวรู้ไหมว่าคือสิ่งใด" จ้าวลี่จู : “ข้ารู้ๆ ความแข็งแกร่งใช่หรือไม่” จ้าวลี่หลิน : “ใครบอกความยืดหยุ่นต่างหากล่ะคือศาสตร์แห่งยุทธ์ที่แท้จริง” จ้าวลี่จิน : นั่งกินไก่ย่างเงียบๆ ไม่ขอออกความเห็น จ้าวลี่หมิงผู้นั่งงงในดงพี่สาว: “\(゚ー゚\)” “( ノ ゚ー゚)ノ” จ้าวลี่จ้ง : “เจ้าตัวไม่ได้ความพวกนี้นิ” จ้าวลี่จู จ้าวลี่จิน จ้าวลี่หลิน และจ้าวลี่หมิงที่โดนเคาะศีรษะเรียงตัว : “/(ㄒoㄒ)/~~”
ภายในห้องขังที่ลึกที่สุดใช้สำหรับคุมขังนักโทษอุกฉกรรจ์อันมืดมิดหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจมีเพียงกองฟางให้ความอบอุ่น แสงจันทราบนฟากฟ้าไกลส่องลอดลูกกรงเหนือศีรษะสลัวรางเผยให้เห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดฉลองพระองค์ขาดวิ่นกระดำกระด่างจนมองไม่เห็นถึงสีเดิมของอาภรณ์ที่สวมใส่ ถูกโซ่เหล็กกล้าตรึงติดกับผนังหินซึ่งเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ฝุ่นผงจับตัวหนาเพราะไม่ได้ทำความสะอาดมานานปี คราบเลือดเกรอะกรังส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง หนูตัวใหญ่วิ่งวุ่นแย่งเศษอาหารที่หล่นตามพื้นส่งเสียงร้องดังระงมน่าหนวกหู “กินข้าวได้แล้ว” ชามข้าวต้มบูดเน่าผสมหินกรวดถูกผลักผ่านลูกกรงเข้ามา แต่เพราะออกแรงมากเกินไปชามเลยล้มคว่ำข้าวต้มสาดกระจายเต็มพื้น กลิ่นเหม็นบูดคละคลุ้งเรียกหนูให้มารุมแทะเล็มเป็นฝูง ผู้คุมห้องขังไม่แม้แต่จะปรายตามอง พอส่งข้าวเสร็จก็เคาะลูกกรงส่งข้าวให้นักโทษคนอื่นต่อไป เขามีหน้าที่แค่ส่งข้าวส่วนใครจะได้กินหรือไม่นั้น หาใช่เรื่องของเขาไม่ “ไม่นึกเลยว่าองค์รั
“เหนียงเหนียงดึกมากแล้วเข้าบรรทมเถอะนะเพคะ” ซูหมัวมัวแม่นมผู้ติดตามข้างกายซูโม่หลันเอ่ยเตือนเสียงเบา “อีกครู่เถิด ข้ายังไม่ง่วงเท่าไหร่ เจ้าไม่ต้องอยู่ปรนนิบัติข้าหรอกรีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอ่านหนังสือต่ออีกสักหน่อย” ซูโม่หลันบอกหมัวมัวคนสนิทเสียงเบา คืนนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้นางรู้สึกไม่สบายใจจนไม่อาจข่มตาหลับได้ลง แต่ซูหมัวมัวกลับไม่ฟังคำของเต๋อเฟย ยืนกดดันอยู่ด้านข้างไม่ยอมไปไหน ซูโม่หลันเลยตัดใจเข้านอน ซูโม่หลันนอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาอยู่ค่อนคืนก็ยังนอนไม่หลับ ในขณะที่หญิงสาวลุกนั่งเพื่อรินชาดื่ม กลับถูกมือเล็กของใครบางคนปิดปากแน่น “อื้อออ” “ชู่ว! อย่าเสียงดัง นี่ชีชีเอง” “เสี่ยวชี! เจ้าเข้ามาในตำหนักข้าได้อย่างไร” “แอบเข้ามาสิถามได้ หลันหลันอย่าเพิ่งชวนคุยได้ไหม ชีชีหิวจะตายอยู่แล้ว หาอะไรให้กินหน่อยสิ แต่ว่าห้ามจุดไฟนะ
บทละครโรงเล็ก ณ เรือนช่านไฉ่ แห่งจวนไท่เว่ย สามแฝดตระกูลจ้าวเข้ามาสุมหัวอยู่ในห้องนอนของน้องชายตัวอวบ จ้าวลี่จู : “เอาล่ะ ในฐานะที่เสี่ยวชีเข้ากลุ่มเราอย่างเป็นทางการ พวกพี่สาวมีของเล็กๆ น้อยๆ จะมอบให้เจ้า” กล่องไม้สลักลายประณีตถูกยื่นมาตรงหน้าจ้าวลี่หมิง “ลองเปิดดูสิ” จ้าวลี่หมิง : (⊙_⊙)? เด็กน้อยมองเหล็กเส้นชิ้นเล็กในมืออย่างงงงวย จ้าวลี่จู : “สิ่งนี้สืบทอดต่อๆ กันมาในบุตร
ณ เรือนลับที่พำนักชั่วคราวของเฉินเทียนอี้ หวังกงกงถลันเข้ามาในห้องประชุมที่มีเฝิงไห่เป็นผู้ควบคุมดูแล “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” กงกงเฒ่ารายงานเสียงหอบ “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ” “ด้านล่าง... แฮ่กๆ องครักษ์ลับบอกว่าด้านล่างมีทหารเต็มไปหมดเลยขอรับ” “ว่าอะไรนะ! ทหารอย่างนั้นหรือ” “ขอรับ เราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ” “สั่งองครักษ์ลับเพิ่มกำลังคุ้มกันห้องบรรทมของฝ่าบาทอย่างแน่นหนา หากเกิดเหตุไม่คาดฝันให้รีบช่วยฝ่าบาทเสด็จหนีทันที ส่วนคนที่เหลือตามข้าลงเขาไปสกัดคนชั่วเหล่านั้น” องครักษ์วิ่งวุ่นกันทั่วเรือนลับเข้าประจำตำแหน่ง เพิ่มระด
เฉินซือหยางหลงวนอยู่ในเงามืด ความทรงจำต่างๆ โถมทะลักเข้าหาดุจโคมม้าหมุน ทำเอาเขาปวดศีรษะจนแทบระเบิด ร่างกายจมดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งอนธการ เงาร่างโปร่งใสปรากฏขึ้นหน้าเรือนไม้หลังเล็กหลังหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเฟิง บนยอดเขาซีเทียนเฟิง เฉินซือหยางเดินดูโดยรอบอย่างแสนคิดถึง ศาลาหอเก๋ง สระบัวสีมรกต และโต๊ะหินอ่อนกลางลานเรือนถูกปกคลุมไปด้วยใบเฟิงสีอิฐยังคงเหมือนในความทรงจำ “จิ้ง... จิ้งเฟิ่ง... สวีจิ้งเฟิ่ง! ตื่นได้แล้วเจ้าตัวขี้เกียจ” เฉินซือหยางหันไปตามเสียงเรียก เห็นเงาร่างสูงโปร่งของจ้าวลี่หมิงหรือแท้จริงแล้วคือ ‘ไป่ชิงถงเกอเกอ’ คนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในใจเขาใช้เท้าแตะประตูห้องนอนอย่างกักขฬะ ตรงเข้าไปเขย่าตัวปลุกเขาในวัยเด็กที่นอนหลับอุตุอยู่ในกองผ้าห่มผืนหนา “อย่ามัวแต่เมาขี้ตา รีบๆ ลุกขึ้นมา
สายฝนโปรยปรายลงมาบางเบาสัมผัสโดนใบหน้าคมเข้มที่กำลังสลบไสลเรียกสติเขาให้กลับฟื้นคืน สวีเฟยหลงตื่นขึ้นมาพบว่าตนเองติดอยู่ในช่องเขาคับแคบแห่งหนึ่ง แขนขาหักผิดรูปผิดร่าง เจ็บปวดรวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย เขากัดฟันบิดแขนขาให้เข้ารูป ยังไม่ทันได้ลงมือทำแผลให้กับตนเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังอึกทึกก้องสะท้อนไปทั่วหินผา “ค้นให้ทั่ว จับโจรชั่วที่รวมหัวกับเผ่ามารสังหารพี่น้องเราชาวสวรรค์มาลงทัณฑ์ให้ได้” เสียงผู้คนพูดคุยกันดังแว่วใกล้เข้ามาทุกทีๆ สวีเฟยหลงรู้ดีว่าไม่อาจหลบซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป จึงจำใจต้องหอบสังขารที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์หลบหนีออกจากที่แห่งนี้ สวีเฟยหลงหนีเข้าป่าลึก ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำร่างสูงโซซัดโซเซล้มลงในแอ่งโคลน “มันอยู่นั่น!” ทหารสวรรค์กรูกันเข้ามารุมล้อมสวีเฟยหลง ชายหนุ่มแค่นเสียงเย้ยหย
ตั้งแต่ต้นหลินเสวี่ยเฟิ่งกอดประคองร่างสูงของเฉินเทียนอี้ไว้ไม่ยอมห่าง ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเพราะใจห่วงกังวลคนในอ้อมแขนเพียงเท่านั้น "ท่านอย่าเป็นอะไรไปนะ" “ขะ... ขอโทษ คราวนี้ข้าก็ไม่อาจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับเจ้าได้” หลินเสวี่ยเฟิ่งส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าต้องการคือได้อยู่เคียงคู่ท่านจนผมขาวต่างหากเล่าคนโง่ เพราะฉะนั้นท่านห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด แข็งใจไว้ เสี่ยวชีกำลังจะมา เขาต้องรักษาท่านได้แน่” ฝ่ามือเรียวพยายามกดปากแผลให้เลือดหยุดไหล แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งโลหิตที่ทะลักทลายออกมาจากร่างแกร่งได้เลย เฉินเทียนอี้ส่ายหน้าเกลี่ยหยาดน้ำตาที่ร่วงหล่นเป็นสายจากดวงหน้างาม
หญิงชราเดินลากขาตามการโอบประคองของสามี สายตาฝ้าฟางเลื่อนลอยไม่รับรู้สิ่งใด แต่พอได้เห็นดวงหน้าของหลินเสวี่ยเฟิ่งเพียงเท่านั้น ดวงตาพลันเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต หญิงชรากรีดร้องเสียงดังโหยหวนราวกับสุกรถูกเชือด “ปีศาจ! มันคือปีศาจ ช่วยด้วยๆ ใครก็ได้ช่วยข้าที ปีศาจจะมาฆ่าข้า ปีศาจจะมาฆ่าข้าแล้ว” หญิงชราตีอกชกหัว หนีห่างจากเงาร่างของหลินเสวี่ยเฟิ่งอย่างหวาดผวา ใบหน้าถูไถไปกับลานพิธีอยากจะแทรกแผ่นดินหนี จนชายชราต้องรีบฉุดรั้งร่างของภรรยาไว้ “ทุกท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าบุรุษที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทผู้นั้น คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน ถูกยกย่องว่ามีคุณธรรมสูงส่ง อวดอ้างตนเองว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วเขาคือ ‘เกาต๋า’ บุตรบุญธรรมของสามีภรรยาแซ่เกา ซึ่งเป็นเพียงพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ในเมืองเจียงโจว” คำบอกเล่าของหานจางหมิ่นทำเอาทุกคนในที่นี้ตะลึงงัน อย่างที่ทราบโดยทั่วกันว่าพ่อค้านั้นเป็นชนชั้นต่ำศ
เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน “ยามซื่อ[1] แล้ว งานเลี้ยงมื้อกลางวันกำลังจะเริ่ม ทุกคนเร่งมือเข้า” ขันทีน้อยนายหนึ่งก้มหน้าก้มตายกจานขนมหวานบรรจุลงในกล่องไม้สำหรับใส่อาหารอย่างขะมักเขม้น รอจนหัวหน้าขันทีผู้คุมห้องเครื่องเดินผ่านไปตรวจงานยังส่วนอื่น มือหยาบหนาก็รวบผ้าผูกเป็นปมเพื่อกักเก็บความร้อน แล้วยกกล่องอาหารในห่อผ้าผืนงามเดินตามกลุ่มขันทีออกไป ขันทีผู้นั้นเดินตามหลังขันทีด้วยกันเงียบๆ ทุกคนต่างเร่งฝีเท้าไปยังลานพิธีหน้าตำหนักไท่เหอ ระหว่างเดินผ่านระเบียงทางเดินขบวนของเขาสวนกับเหล่านางกำนัล และขันทีกลุ่มอื่นเป็นระยะ แต่ขันทีหนุ่มก็ยังใจเย็น รอจนขบวนเดินผ่านเส้นทางร้างไร้ผู้คน เขาก็ชะลอฝีเท้าลง อาศัยจังหวะที่ผู้อื่นไม่ทันสังเกตเห็นปลีกตัวออกจากกลุ่มอย่างเงียบเชียบ เดินหลบหลีกผู้คน แล้วหายลับไปโดยไร้ผู้พบเห็น ขันทีคนดังก
แดนบูรพา แคว้นต้าเฉิน เสียงคลื่นสาดซาซัดเข้าหาชายฝั่ง ฟองคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายกลืนหายไปกับพื้นทรายเนื้อละเอียดไร้สีสันในยามค่ำคืน ลมทะเลพัดโหมริ้วผ้าโบกไสวใบเรือผืนใหญ่ส่ายสะบัดตามคลื่นลม นาวาลำใหญ่จอดนิ่งเรียบชายฝั่งเรียงกันหลายร้อยลำไกลสุดลูกหูลูกตา “เร่งมือเข้า” ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคุมลูกน้องใต้สังกัดขนหีบไม้ใบใหญ่ด้านในเต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งหอก ดาบ โล่ ธนู และที่ขาดไม่ได้คือเสบียงกรังจำนวนมากถูกยกขึ้นเรือหีบแล้วหีบเล่าอย่างเงียบเชียบท่ามกลางความมืด ถึงแม้จะเบามือเบาเท้ามากเพียงไร แต่การเคลื่อนกำลังพลนับหมื่นย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของหน่วยสืบราชการลับไปได้ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องใต้สังกัดถอนกำลังออกจากบริเวณนี้เงียบๆ หลังจากล่วง
ดินแดนทางเหนือมีหิมะปกคลุมอยู่ชั่วนาตาปี ป้อมปราการสูงตระหง่านท้าลมพายุ ปุยหิมะโปรยปรายพัดพาความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมไปทุกอณูพื้นที่ ถึงภูมิอากาศจะเลวร้าย พืชพรรณธัญญาหารยากเพาะปลูก แต่ชาวบ้านก็ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งไม่คิดจะย้ายถิ่นฐาน เพราะชื่อเสียงของกองทัพตระกูลจ้าวเลื่องลือระบือไกลเป็นที่น่าครั่นคร้ามแก่อริราชศัตรู แม้แม่ทัพใหญ่อย่างจ้าวลี่จิ่นบุตรสาวของจ้าวมู่จะไม่อยู่ประจำการที่กองทัพด่านหน้า แต่แคว้นรอบข้างก็ยังไม่กล้ายกทัพเข้ามารุกราน ชาวบ้านจึงอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุขและปลอดภัย แต่แล้วความสงบสุขก็อันตรธานหายไป “ช่วยด้วย... กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หมู่บ้านเป่ยปิงตกอยู่ในฝันร้ายอันน่าหวาดผวา ศพของผู้คนนอนกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนทั้งเด็ก คนแก่ และสตรีที่ไร้เรี่ยวแรงหลบหนี แม้แต่บุรุษร่างสูงใหญ่ก็ยากจะต้านทานเมื่อต้องสู้กับสิ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณปลายนิ้วปลุกจ้าวลี่หมิงให้ตื่นจากนิทรานัยน์ตาสีน้ำตาลซ่อนประกายมรกตคู่งามสะท้อนภาพดวงหน้าคมเข้มเคล้าคลอมือนิ่ม ริมฝีปากหยักจุมพิตนิ้วเรียวทีละนิ้วอย่างละเมียดละไม “ตื่นแล้วหรือ ข้ากวนเจ้า?” เฉินซือหยางเลิกคิ้วถาม นัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความหลงใหลคลั่งไคล้แฝงประกายอ่อนโยนอยู่เป็นนิจ “ท่านพึ่งรู้ตัวหรือ” จ้าวลี่หมิงหลบสายตา ชักมือหนีคนตัวโตทั้งใบหูแดงระเรื่อแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น หนำซ้ำยังโดนคนหน้าหนาจูบหลังมือนุ่มหนักๆ ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ “อย่าซนสิ! ตอนนี้ยามใดแล้ว” “เพิ่งยามเฉิน[1] เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถอะ” เฉินซือหยางนอนทอดหุ่ยสบายอารมณ์ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเขาหยุดว่าราชการหลายวันเพื่ออยู่เป็นเพื่อนภรรยาตัวน้อย โยนภาร
ตำหนักบูรพาอบอวลไปด้วยความสุข ถึงแม้องค์รัชทายาทผู้เป็นเจ้าของงานจะปลีกตัวออกไปตั้งแต่ต้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่ฝ่าบาทยังประทับอยู่ที่นี่ ดังนั้นเป้าหมายในการประจบประแจงจึงเบนเข็มมายังเฉินเทียนอี้ ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายต่างดาหน้าเข้ามาคารวะสุราไม่ขาดสาย ทำเอาหลินเสวี่ยเฟิ่งอึดอัดนิดหน่อย “เสี่ยวเทียนข้าออกไปสูดอากาศข้างนอกสักครู่นะ” “ถ้าเจ้าเบื่อเรากลับกันเลยไหม” “อย่าดีกว่า ท่านคอยรับรองแขกแทนหยางเอ๋อร์เถอะ ข้าไปไม่นานหรอก” หลินเสวี่ยเฟิ่งตบหลังมือหนาเบาๆ แล้วปลีกตัวออกมาจากงาน โดยมีหวังกงกงตามรับใช้ใกล้ชิด หลินเสวี่ยเฟิ่งเหม่อมองตำหนักหลักที่ถูกใช้เป็นเรือนหอของบุตรชาย เทียนมงคลสาดแสงสีแดงสลัวราง บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบต่างจากงานพิธี ณ ลานหน้าตำหนักโดยสิ้นเชิง หลินเสวี่ยเฟิ่งยิ้มบาง แ