เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้อยากอธิบายเลยสักนิด นางคิดแต่เพียงว่าจะแก้ตัว จึงฝืนยิ้มพลางตอบกลับไปว่า “หากข้าบอกว่า ข้าไม่เคยพูดคำพูดเช่นนั้น ท่านพี่จะเชื่อหรือไม่?”กู้จิ่งซีกล่าวออกมาอย่างแฝงไปด้วยความหมาย “ฮูหยินกำลังใช้มโนธรรมของตนบอกกับข้าว่า เจ้าไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นงั้นหรือ?”“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าจะพูดถึงสามีของตนเองเช่นนั้นต่อหน้าสหายได้อย่างไรกัน?” เมิ่งจิ่นเหยาตอบอย่างไม่ต้องคิด ไม่ยอมรับท่าเดียว ละทิ้งเรื่องมโนธรรมอะไรเอาไว้ด้านข้างก่อนเมื่อเห็นแม่นางน้อยกำลังมองตนเองด้วยรอยยิ้มสดใส แววตาคู่นั้นไร้เดียงสามากเสียจนกู้จิ่งซีรู้ว่านางไม่มีทางยอมรับเป็นแน่ จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ฮูหยินบอกว่าไม่ เช่นนั้นก็ไม่ ข้าเชื่อฮูหยิน”เมิ่งจิ่นเหยาไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าไม่เคยพูดเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีพยักหน้าส่งเสียง “อืม” พลางกล่าวยิ้มหวาน “ฮูหยินเป็นภรรยาที่อ่อนโยนและมีคุณธรรม มิใช่คนที่จะพูดจาว่าร้ายลับหลังสามีเสียหน่อย”เมิ่งจิ่นเหยาสำลัก “…”ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อสิ ไยต้องมากระทบกระเทียบกันด้วยเล่า?กู้จิ่งซีไม่ใส่ใจหัวข้อสนทนานี้อีก เขาเลิกผ้า
เมิ่งจิ่นเหยานิ่งเงียบ ถึงแม้นางจะไม่เคยคิดถึงเรื่องบุตรมาก่อน ทว่าบุตรบุญธรรมอย่างกู้ซิวหมิงไม่มีทางดีต่อนางเป็นแน่ หากวันใดวันหนึ่งกู้จิ่งซีไม่อยู่แล้ว วันเวลาที่ดีของนางคงจะต้องถึงจุดสิ้นสุด หากว่ากู้ซิวหมิงบุตรบุญธรรมของนางผู้นั้นมีลูกมีหลาน และลูกหลานมากมายพวกนั้นกลับไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนางเลย ผนวกกับกู้ซิวหมิงกับนางไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในภายภาคหน้าครอบครัวของกู้ซิวหมิงคงจะจัดการกับหญิงชราที่อายุมากแล้วอย่างนางมีคนน้อยกว่าย่อมไม่อาจต้านทานผู้ที่มีมากกว่าได้ ช่างเป็นบั้นปลายชีวิตที่รันทดยิ่งนักเมื่อพิจารณาทุกสิ่งแล้ว ข้อเสนอของชิงชิวนั้นยอดเยี่ยมมาก นางพยักหน้าตอบ “ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะรับเลี้ยงบุตร อีกสักสองสามปีข้าค่อยพูดเรื่องนี้กับท่านโหวอีกที”เมื่อหนิงตงได้ฟัง ก็มีรอยยิ้มเบิกบานบนใบหน้าในทันที น้ำเสียงเจือไปด้วยความตื่นเต้น กล่าวด้วยเสียงอันเบา “ฮูหยิน ซื่อจื่อไร้ความรับผิดชอบ ขาดคุณธรรม คาดว่าเมื่อจวนโหวอยู่ในมือของเขาคงจะต้องตกต่ำเช่นกัน หากท่านรับอุปการคุณชายน้อยสักคน เลี้ยงดูคุณชายน้อยให้เป็นคนที่ยอดเยี่ยม ก็จะสามารถมาแทนที่ตำแหน่งซื่อจื่อได้นะเจ้
เวยหรุยเซวียนนายบ่าวสามคนกลับถึงเวยหรุยเซวียน เมิ่งจิ่นเหยาคิดจะทำอะไรบางอย่างเพื่อฆ่าเวลา แต่กลับรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งที่ตนหลงลืมไป แต่ก็ไม่สามารถคิดออกได้ในทันทีนางมองไปที่ชิงชิว พลางถามว่า “ชิงชิว ข้ายังมีเรื่องอันใดที่ยังไม่ได้ทำอีกหรือไม่?”ชิงชิวชะงักเล็กน้อย ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า “ฮูหยิน ช่วงนี้ท่านไม่ได้บอกให้ข้าน้อยช่วยเตือนเรื่องอันใดเลยเจ้าค่ะ” “ไม่มีงั้นหรือ?”เมิ่งจิ่นเหยาขมวดคิ้วรูปพระจันทร์เสี้ยวขึ้นเล็กน้อย ไยนางถึงรู้สึกว่ามีเรื่องอันใดต้องไปทำอยู่เล่า?ชิงชิวส่ายศีรษะอีกครั้ง พลางกล่าวยืนยัน “ไม่มีจริง ๆ เจ้าค่ะ เป็นเพราะช่วงนี้ฮูหยินมีเรื่องรบกวนจิตใจเลยทำให้ตนเองสับสนหรือไม่เจ้าคะ?”เมิ่งจิ่นเหยาเงียบไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็พยักหน้า สิ่งนี้มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เจ้าบ่าวหนีไปในวันแต่งงาน ถูกคนทั่วทั้งเมืองหลวงหัวเราะเยาะ ไม่ว่าใครที่พบเจอล้วนแต่เรียกว่าโชคร้ายทั้งนั้น โชคดีที่เปลี่ยนเจ้าบ่าวที่น่าพึงพอใจได้อย่างกะทันหัน ทั้งยังสามารถดำเนินชีวิตร่วมกันต่อไปได้ มิเช่นนั้นคงต้องอึดอัดใจตายเป็นแน่ชิงชิวเกรงว่านางอารมณ์ไม่ดีแล้วจะเก็บก
สุดท้าย กู้จิ่งซีก็หยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางลงไว้ด้วยกัน เงยหน้ามองไปที่แม่นางน้อย การแต่งกายของนางเมื่อเทียบกับพี่สะใภ้และหลานสาวแล้ว นับได้ว่าเรียบง่าย บนร่างกายไม่ได้มีเครื่องประดับมากมายนักสำหรับเสื้อผ้า เพิ่งจะแต่งเข้ามาจึงยังไม่ทันได้ตัดเย็บขึ้นใหม่ ถึงแม้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่จะเป็นชุดใหม่ ทว่าสีเขียวเข้มค่อนข้างจะอึมครึม โชคดีที่นางมีรูปโฉมที่งดงาม มิเช่นนั้นคงจะข่มสีนี้ไม่อยู่เป็นแน่การสวมชุดเช่นนี้ ดูราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุม แต่กลับไม่ค่อยเหมาะกับดรุณีน้อยวัยแรกรุ่น แม่นางน้อยวัยนี้ควรจะแต่งสีสว่างสดใสหน่อย ไม่จำเป็นต้องแต่งกายราวกับเป็นผู้อาวุโสมากนักแต่เมื่อมองนางแล้วก็ไม่เหมือนผู้ที่มีนิสัยที่ราวกับเป็นผู้อาวุโสเช่นนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ตอนนี้คงจะเป็นมารดาเลี้ยงนางซุนที่เป็นผู้หาช่างเย็บปักมาทำให้นาง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่มารดาแท้ ๆ จะทุ่มเทเต็มที่ได้อย่างไรกัน? หากนางแต่งเข้ามาในจวนฉางซินโหว แต่แต่งงานกับครอบครัวที่มีฐานะต่ำกว่า เกรงว่าแม้แต่เสื้อผ้าชุดใหม่ก็คงจะไม่ตัดเย็บให้นางบุตรสาวที่งดงามถึงเพียงนี้ ตระกูลเมิ่งไม่รู้จักเลี้ยงดู เช่นนั้น
เมิ่งจิ่นเหยาก้มศีรษะลง จ้องมองกล่องไม้ในมืออย่างใจลอย กล่องไม้ไม่ได้หนัก แต่นางกลับรู้สึกว่ามันมีน้ำหนักเมื่อถืออยู่ในมือเมื่อเช้านางยังเป็นคนยากจน คนยากจนที่แม้แต่อาหารในภัตตาคารเหอซ่านยังไม่มีปัญญาซื้อกิน ตกบ่ายนางก็ร่ำรวยมหาศาล ความรู้สึกที่ได้ครอบครองเงินก้อนโตภายในชั่วพริบตาเดียวนั้นเหมือนฝันกู้จิ่งซีมอบหมายสิ่งเหล่านี้ให้นางดูแล เขาไม่กลัวเลยหรือว่านางจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย สุดท้ายก็ผลาญทรัพย์สมบัติของเขาจนหมด?กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยงุนงงจนพูดไม่ออก จ้องมองกล่องไม้ด้วยใบหน้าซื่อ ๆ ก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ ไม่กี่วันก่อน คู่หมั้นของนางได้หลบหนีงานวิวาห์ แต่แม่หนูน้อยผู้นี้กลับไม่ทำอะไรโง่ ๆ ยังสามารถรับมือได้อย่างสุขุม ซ้ำยังใจกล้าบ้าบิ่นเปลี่ยนตัวสามี ตอนนี้พอเห็นเงินเข้า นางกลับทำใจลอย เป็นไปได้หรือไม่ว่าคู่หมั้นจะสำคัญน้อยกว่าเงิน?เขายิ้มถามว่า “ฮูหยิน เป็นอะไรไปหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็เงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วย้อนถามว่า “ท่านพี่ไม่กลัวว่าข้าจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ผลาญทรัพย์สมบัติของท่านจนหมดหรือ?”กู้จิ่งซีมองนาง ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สามีภรรยาคือหนึ่งเดียวกัน ร
เมิ่งจิ่นเหยาเล่าเรื่องห้องหนังสือให้ฟังอย่างรวบรัดรอบหนึ่งเมื่อสาวใช้ทั้งสองได้ยินเรื่องนี้ มีหรือจะไม่ตกใจ ในขณะเดียวกันก็ดีใจแทนนายหญิงไปด้วย การมอบทรัพย์สินให้นายหญิงดูแลจัดการหมายความว่าในใจท่านโหวนั้นยอมรับนายหญิงแล้ว เห็นนายหญิงเป็นภรรยาตัวจริง จะใช้ชีวิตที่ดีร่วมกับนายหญิงหนิงตงเหลือบมองตั๋วเงินกองนั้น พลางครุ่นคิดก่อนจะกล่าวว่า “ฮูหยิน ในเมื่อเงินนี้ท่านโหวมอบให้ท่านใช้ งั้นพรุ่งนี้ก็ออกไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับกันดีไหมเจ้าคะ? การแต่งตัวในตอนนี้ของท่านมันออกจะราบเรียบไปสักหน่อย ก่อนหน้านี้ไม่สามารถแต่งตัว นั่นเพราะไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้ท่านโหวให้เงินท่านแล้ว”ว่าแล้วนางก็มองพินิจนายหญิงครู่หนึ่ง เครื่องแต่งกายของนายหญิงไม่ถึงกับขี้เหร่ บอกได้เพียงว่าดูสง่างามและเรียบง่าย สินเดิมที่นางซุนมอบให้นายหญิงก็มีเครื่องประดับด้วย แต่ทั้งหมดเป็นแบบที่ดูธรรมดาไป ไม่ใส่ยังดีเสียกว่า แม้แต่เสื้อผ้าก็มีแต่สีสันที่ค่อนข้างสูงวัยนางซุนปฏิบัติต่อนายหญิงเช่นนี้เสมอมา เครื่องประดับคือเครื่องประดับที่มีมูลค่าไม่มากนัก เนื้อเสื้อผ้าก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ดูไม่สวยงามเท่านั้น ที่ทำเช่นนี้ไ
วันต่อมาเมิ่งจิ่นเหยากินอาหารเช้าเสร็จก็หยิบรายการสินเดิมของมารดาที่ท่านตามอบให้นางมาเปรียบเทียบกับรายการสินเดิมที่นางซุนให้นางมานางอยากดูว่านางซุนจะใจกล้าสักแค่ไหน นอกจากสินเดิมที่จวนหย่งชางป๋อให้นางมาแล้ว ข้าวของที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้ นางซุนเพิ่มเข้าไปในสินเดิมของนางเท่าไหร่ แล้วแอบเอาเข้ากระเป๋าตัวเองอีกเท่าไหร่เมื่อเปรียบเทียบรายการสินเดิมทั้งสองฉบับ สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็มืดมนลง พลางหัวเราะเยาะเบา ๆ “ช่างกล้ามากจริง ๆ กินไปมากมายขนาดนั้น ไม่กลัวท้องแตกตายเลย”ชิงชิวและหนิงตงได้ยินดังนั้น ก็เอนตัวเข้ามาถามว่า “ฮูหยิน มีอะไรหรือ?”“พวกเจ้าดูนี่สิ”ทั้งหมดเป็นสาวใช้คนสนิท เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ได้กันพวกนาง ให้พวกนางดูรายการสินเดิมทั้งสองฉบับโดยตรงสาวใช้ทั้งสองดูจบแล้วก็โกรธมาก แม้ว่าจวนหย่งชางป๋อจะเสื่อมโทรมลง แต่ลูกสาวสายตรงคนโตออกเรือนทั้งที สินเดิมที่ให้ลูกสาวสายตรงคนโตก็ไม่ถึงกับต้องน่าเกลียดเช่นนี้สิ่งที่จวนหย่งชางป๋อได้จัดเตรียมไว้สำหรับนายหญิงของพวกนาง ส่วนใหญ่เป็นสิ่งของที่สามารถบรรจุลงในกล่องได้เพื่อรักษาหน้าตา แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์ใช้สอย สิ่งข
พ่อบ้านอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะพินิจนางอย่างลึกซึ้ง แม้เห็นนางอมยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไปไม่ถึงดวงตา ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า วันนี้คุณหนูใหญ่เหมือนไม่ได้มาด้วยเจตนาดีหลังจากนั้นไม่นาน เมิ่งจิ่นเหยาก็ได้รับเชิญให้ไปรอในโถงรับแขก สาวใช้รีบนำชาชั้นดีและของหวานผลไม้รวมสด ๆ มาต้อนรับ ให้นางกินแก้เบื่อไปก่อน สาวใช้อีกคนไปแจ้งเจ้านายคนอื่น ๆ ในจวนการปฏิบัติเยี่ยงแขกผู้มีเกียรติ เมื่อเทียบกับวันที่กลับบ้านหลังออกเรือนวันที่สาม เรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินหนิงตงและชิงชิวเฝ้ามองทุกอย่างด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในใจกลับดูถูกพฤติกรรมของจวนหย่งชางป๋อ นายท่านเห็นวันนั้นที่กลับบ้านหลังออกเรือนวันที่สาม ท่านโหวได้กลับมาพร้อมกับนายหญิงด้วย เมื่อรู้ว่านายหญิงเป็นที่โปรดปรานของท่านโหว จึงมองเห็นมูลค่าประโยชน์ใช้สอยใหม่อีกครั้ง ต้องการจับนายหญิงให้อยู่หมัด แต่น่าเสียดายที่ความปรารถนาของพวกเขาถูกลิขิตให้ต้องล้มเหลวทางนั้น พอเมิ่งตงหย่วนและนางซุนรู้ว่าเมิ่งจิ่นเหยากลับมาแล้วก็พากันงงงวย หลายวันก่อนเพิ่งกลับบ้านหลังออกเรือนวันที่สาม วันนี้ทำไมจู่ ๆ ก็กลับมาอีกแล้ว? ก่อนกลับมาก็ไม่ได้ส่งใครมาแจ้งล่วง
กู้จิ่งซีค่อนข้างประหลาดใจ “เจ้าใช้วิธีใด ถึงทำให้เขารับสารภาพเร็วขนาดนั้น?”ฉีอวิ้นเหวินหยักไหล่ หัวเราะพลางกล่าว “นั่นไม่ใช่ความดีความชอบของข้า เมื่อวานมีแม่นางคนหนึ่งมาพบเขา ไม่รู้พูดอะไร เขาก็รับสารภาพแล้ว”เมื่อได้ยิน กู้จิ่งซีก็ขมวดคิ้วแน่น และสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง “แม่นางผู้นั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกจับตัว?”ฉีอวิ้นเหวินเหลือบมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ และถามกลับว่า “โจรขโมยหญิงงามที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ และชั่วร้ายถูกจับตัวได้แล้ว เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เมื่อคืนข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว หรือว่าเจ้าไม่รู้หรือ? ก็จริง น้องสะใภ้ป่วยแล้ว เจ้าไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจเรื่องอื่นก็ปกติ”กู้จิ่งซีปรากฏสายตาที่รู้ทันออกมาฉีอวิ้นเหวินกล่าวอีกว่า “ข้าเห็นแม่นางผู้นั้นแต่งกายเป็นสาวชาวยุทธจักร ซึ่งน่าจะเป็นชาวยุทธจักร และคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขา แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญมากนัก เพราะตอนนี้ไขคดีได้ก็พอแล้ว”......จวนฉางซินโหวกู้ซิวหมิงมาคารวะยามเช้าให้เมิ่งจิ่นเหยา เขามาสายก้าวหนึ่ง กู้จิ่งซีเพิ่งออกไป เขาก็เพิ่งจะมาถึงนับตั้งแต่การกักบริเวณสิ้นสุดลง ตราบใดที
เมิ่งจิ่นเหยาก็ไม่ปิดบัง และเล่าเรื่องที่พบหญิงวัยกลางคนในวัดหลินอวิ๋นเมื่อวานตอนบ่ายให้ฟังรอบหนึ่งพูดถึงช่วงสุดท้าย นางก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “สวรรค์มีตาจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็ฉุกคิดอยากจะไปจุดธูปให้ท่านแม่ที่โถงหว่างเซิงของวัดหลิงอวิ๋น จึงได้พบอดีตบ่าวรับใช้ของท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นป่วยหนักมาก และเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเมื่อวานข้าไม่ได้ไปเจอนางที่วัดหลิงอวิ๋น ความลับนั้นคาดว่าข้าจะไม่มีทางรู้ไปตลอดกาลเจ้าค่ะ”กู้จิ้งซีสีหน้ามืดมนลง พลางละอายใจต่อวิธีที่พ่อตานั้นทำอย่างมาก แม้จะแต่งงานตามคำสั่งของบิดามารดาและการจับคู่ของแม่สื่อ พลางไม่มีความรักระหว่างชายหญิงต่อแม่ยายเขา จะปิดบังความจริงเพราะรู้สึกผิดก็ช่าง ยังปล่อยให้มารดาและแม่เลี้ยงปฏิบัติต่อบุตรสาวที่บริสุทธิ์อย่างรุนแรงอีกเขาเห็นแม่นางน้อยที่โกรธแค้นผสมปนเปกัน ก็ตบหลังมือของแม่นางน้อยเหมือนจะปลอบใจ และกล่าวอย่างเป็นนัยว่า “ฮูหยิน วิญญาณของแม่ยายที่อยู่บนสวรรค์จะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่”เมื่อได้ยิน สีหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็ชะงักไป พลางสบตาเข้ากับสายตาที่มีความหมายลึกซึ้งของเขา ก็เข้าใจความหมายของเขา และยกรอยยิ้มที่อันตรายขึ้น “จริงด้วย
เมิ่งจิ่นเหยาถามเสียงเบาว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”หมอประจำจวนเก็บนิ้วมือทั้งสามข้อที่อยู่บนแขนของเมิ่งจิ่นเหยากลับลงไป พลางตอบกลับ “ฮูหยิน ท่านมีปมในใจจนเกิดอาการซึมเศร้า แถมยังได้รับความเย็นเกินไปอีก จึงทำให้จู่ ๆ ก็ไข้ขึ้นสูง และจำเป็นต้องใช้ยาคลายเครียดเสียหน่อยก็จะดีขึ้นขอรับ”เมิ่งจิ่นเหยาพยักหน้า “รบกวนท่านหมอแล้ว”“ไม่รบกวนขอรับ” หมอประจำจวนรีบส่ายหน้า และกล่าวอีกว่า “แต่ว่า ฮูหยินร่างกายอ่อนแอ ควรจะบำรุงร่างกายให้ดีตั้งแต่ยังสาวถึงจะได้นะขอรับ”มิ่งจิ่นเหยาฟังจบ ก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้มาโดยตลอดว่าตนเองร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็น หากไม่ระวังนิดหน่อยก็จะเป็นหวัด เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านมารดา นางไม่มีความพร้อมที่จะดูแลตนเอง ตอนนี้อยู่บ้านสามี นางใส่ใจเรื่องการกินมากขึ้น และได้ดื่มน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่เป็นประจำ ช่วงนี้นางจึงรู้สึกดีมาก สีหน้าก็ดูดีขึ้นแล้วนางกล่าวเสียงอ่อนโยน “ปกติข้าก็ดูแลตนเองอยู่แล้ว รบกวนท่านหมอจัดยาคลายเครียดให้ข้าก็พอ”หมอประจำจวนฟังจบ ก็จ่ายยาคลายเครียดให้นาง และให้สาวใช้ตามเขาไปเอายากลับมาต้มหลังหมอประจำจวนจากไป
บนรถม้าชิงชิวกับหนิงตงที่แทบไม่ได้นอนทั้งคืนนั่งพิงกัน และเผลอหลับไปเมิ่งจิ่นเหยาหายป่วยได้ไม่นาน ยังรู้สึกมึนศีรษะ คนทั้งคนก็หมดเรี่ยวแรง จึงเอนหลังพิงผนังรถม้าและหลับตาพักสมองทันใดนั้น รถม้าก็สั่นสะเทือน ท้ายทอยของนางกระแทกเล็กน้อย จึงรีบนั่งตัวตรง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศีรษะกระแทกอีกกู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยขมวดคิ้ว พยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาขึ้น นั่งตัวหลังตรง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงยื่นมือโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน และให้นางพิงหน้าอกของตนเอง เมื่อสบตาเข้ากับสายตาที่ตกใจของนาง ก็กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “หากฮูหยิน อ่อนเพลีย ก็พิงข้าแล้วนอนเสียเถอะ”ตอนนี้เมิ่งจิ่นเหยารู้สึกทั้งตัวไม่มีแรง ศีรษะยังมึน ๆ อยู่ จึงไม่เกรงใจเขา และพิงอยู่บนตัวเขาด้วยความสบายใจอย่าดูถูกแม้กู้จิ่งซีดูจะตัวไม่ใหญ่มาก แต่หน้าอกกว้างใหญ่ พิงอยู่บนตัวเขาอบอุ่นสบายตัว แถมได้กลิ่นดอกกล้วยไม้ที่หอมละมุนจากตัวของเขา ก็รู้สึกสบายใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่กลับไม่มีอาการง่วงเลยบางทีเพราะถูกผู้ชายกอดไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ เลยรู้สึกไม่คุ้นชินหรืออาจเป็นเพราะได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตักอยู่ข้างหู มันดังก้องอยู่ที่หู
ท่าทางที่ดูป่วยเช่นนี้ ดูน่าเป็นห่วงยิ่งนักคนที่มีไข้ขึ้นสูง ไม่ควรห่มผ้าจนอบอ้าว ไม่เช่นนั้นอาการป่วยจะแย่ลง เขาจึงเปิดผ้าห่มบางออกให้แม่นางน้อยผ่านไปไม่นาน หนิงตงก็ยกอ่างน้ำอุ่นมาด้วยความรีบร้อน โชคดีที่วัดหลิงอวิ๋นมีคนเข้ามาสักการะอย่างเนืองแน่น ปกติจะมีผู้แสวงบุญมาค้างคืน และมีผู้แสวงบุญจำนวนไม่น้อยที่มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นเพื่อความสะดวกสบายของแขก ตอนกลางคืนภายในวัดก็มีกักเก็บน้ำร้อนไว้หนิงตงวางอ่างทองแดง พลางถาม “ท่านโหว น้ำอุ่นยกเข้ามาแล้ว ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีตอบกลับ “เช็ดหน้าผาก คอ รักแร้ และแขนขาให้ฮูหยินเพื่อระบายความร้อน”หนิงตงตอบรับ ยกอ่างทองแดงมาข้างหน้าทันที พลางวางอ่างน้ำไว้บนเก้าอี้ที่อยู่หน้าเตียง และเตรียมจะถอดเสื้อผ้าให้นายหญิง ก็มองไปทางกู้จิ่งซีโดยไม่รู้ตัว พบว่าเขาหันหลังให้พวกนาง นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชาเมื่อเห็นดังนั้น หนิงตงก็ตกตะลึงเล็กน้อย และแอบพูดในใจว่า ท่านโหวเป็นสุภาพบุรุษจริง ๆ แม้จะเป็นสามีภรรยากับฮูหยิน ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบหนิงตงไม่คิดอะไรมาก ก็ถอดเสื้อผ้าให้เมิ่งจิ่นเหยาด้วยความเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และเช็ดตั
ในวินาทีนั้น เมิ่งจิ่นเหยาทำจิตใจให้สงบ ก้มหน้าลงมอง เห็นว่าบาดแผลที่มือซ้ายใช้ผ้าพันแผลพันไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อมองเพียงแวบแรกดูท่าทางเหมือนว่าบาดเจ็บสาหัส จึงกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนนี้เลือดไม่ซึมออกมาแล้ว อันที่จริงไม่พันแผลก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”กู้จิ่งซีเหลือบมองนาง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ถึงแม้ไม่ใช่บาดแผลสาหัส แต่หากไม่พันแผล เมื่อชนหรือกระแทกเข้าโดยไม่ระวังแล้วเลือดไหลออกมาอีก ไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอก เนื้อผ้าเสียดสีก็อาจเจ็บได้เช่นกัน”เมิ่งจิ่นเหยาตะลึงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าในทันทีหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถูกมือของกู้จิ่งซีดึงดูดความสนใจไป มือคู่นั้นเรียวยาวและขาวสะอาด ข้อต่อชัดเจน ราวกับหยกขาวที่แกะสลักอย่างประณีต ดูแล้วสบายตาสบายใจนักเมื่อหลุดออกจากความคิด นางก็ใจลอยอีกครั้งผ่านไปเป็นเวลานาน กู้จิ่งซีช่วยนางพันแผลจนเสร็จ และปล่อยมือของนาง เมื่อเห็นว่ามือขวาของนางยังยกอยู่ ก็กล่าวว่า “ฮูหยิน เสร็จแล้ว”แต่เมิ่งจิ่นเหยาดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเขา เขาจึงเรียกอีกครั้ง “ฮูหยิน?”เวลานี้ เมิ่งจิ่นเหยาถึงค่อย ๆ ได้สติกลับมา และพบกับส
เขากำลังเตรียมจะปลอบโยนนางสักหลายประโยค ทำให้อารมณ์ของแม่นางน้อยสงบลง แล้วค่อยถามให้ชัดเจนอีกครั้งว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้ หนิงตงได้ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามา เขาจึงกลืนคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากกลับเข้าไปหนิงตงนำอ่างน้ำมาวางไว้บนโต๊ะ ถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “นายท่าน ให้ใช้น้ำในอ่างเช่นไรเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีกล่าวกำชับ “ไปหาผ้าสะอาด ๆ มา”หนิงตงรับคำ ไม่นานก็หาผ้าเช็ดหน้าสะอาดที่อยู่ในสัมภาระมาหนึ่งผืน ผ้านี้เตรียมไว้สำหรับให้นายหญิงของนางใช้ล้างหน้ากู้จิ่งซีเหลือบมองไปที่แม่นางน้อย ลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็รับผ้าเช็ดหน้ามา กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าคนเดียวก็พอแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถิด”หนิงตงเหลือบมองนายหญิง เมื่อเห็นว่านายหญิงไม่ได้เอ่ยปากบอกให้นางอยู่ต่อ ก็รับคำแล้วถอยออกไปกู้จิ่งซีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มาล้างบาดแผลสักหน่อย ตอนที่เจ้าล้มลงไปเนื้อหนังถลอก แล้วบาดแผลก็เปื้อนฝุ่นด้วย”เมื่อได้ฟังดังนั้น เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้ลังเล ลุกขึ้นแล้วเดินมากู้จิ่งซีดึงมือของนาง ช่วยนางทำความสะอาดบาดแผลที่ฝ่ามือด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเมื่อบาดแผลสัมผัสกับน้ำ เมิ่งจิ่นเหยาเจ็บปวดเส
กู้จิ่งซีจับจ้องนางอย่างไม่วางตา พลางถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ฮูหยิน วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นหรือ?”เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเมิ่งจิ่นเหยาก็เต็มไปด้วยความงุนงง พลางถามกลับไปว่า“เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านพี่ก็เห็นหมดแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ?”นางกล้าพูดได้เลยว่า นางโตถึงเพียงนี้แล้ว ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นนี้มาก่อน เพียงชั่วพริบตาเดียวที่รอดพ้นจากความตาย ชีวิตนี้ไม่คิดจะพบเจออีกเป็นครั้งที่สองกู้จิ่งซีเห็นสีหน้าของนางงุนงง ไม่ได้จงใจแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ จึงสัมผัสที่ฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา พลางถามต่อว่า “เกิดอันใดขึ้นกับมือนี้ของเจ้า? ล้มลงไม่สามารถเกิดบาดแผลเช่นนี้ได้”เมิ่งจิ่นเหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก้มหน้ามองฝ่ามือของตนเอง บนฝ่ามือยังมีผลงานชิ้นเอกของตนเองเมื่อบ่ายอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องที่พบกับสตรีวัยกลางคนผู้นั้นขึ้นมาได้ ดวงตาของนางก็หม่นลงในฉับพลัน และอยากจะกำมือของตนเองแน่นอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวกู้จิ่งซีที่สายตาเฉียบคมและมือไว รีบกุมมือทั้งสองข้างของนางไว้แน่น ขัดขวางการกระทำของนาง เล็บของนางจะได้ไม่บาดบาดแผลและมีเลือดไหลซึมออกมาอีกเล็บของแม่นางน้อยไ
เมื่อกู้จิ่งซีได้ฟังก็รู้สึกใจอ่อน พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “ให้ข้าดูหน่อย” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ยอบกายลง ยกชายกระโปรงของนางขึ้น เตรียมจะดูอาการบาดเจ็บของนาง เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าชะงักค้าง กำลังจะเอ่ยปากขัดขวาง ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกทีแล้ว ต่างก็เป็นสามีภรรยาที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องรักษาขอบเขตระหว่างชายหญิงอันใดหลังจากกู้จิ่งซียกชายกระโปรงของนางขึ้นแล้ว มือหนึ่งก็จับไปที่ข้อเท้าขวาของนาง ส่วนอีกข้างม้วนขากางเกงของนางขึ้น เมื่อม้วนขากางเกงไปจนถึงเหนือหัวเข่า ก็จะเห็นได้ว่าตรงหัวเข่าที่ถูกกระแทกตอนล้ม เป็นรอยฟกช้ำไปเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่ได้ร้ายแรงนักกู้จิ่งซีเห็นว่าบาดแผลไม่หนักมาก จึงวางขานางลง แล้วไปดูบาดแผลที่ข้อศอกของนางนางล้มลงไปข้างหน้า บาดแผลตรงข้อศอกจึงชัดเจนมากนัก เสื้อผ้าในฤดูร้อนจะค่อนข้างบางเบา เสื้อผ้าบริเวณข้อศอกล้วนมีร่องรอยขีดข่วนอย่างชัดเจนพอพับแขนเสื้อของนาง ก็เผยให้เห็นแขนที่ขาวราวกับหิมะ เมื่อพลิกข้อศอกก็สามารถมองเห็นได้ว่าผิวหนังถลอกและมีเลือดออกที่แขนทั้งสองข้างของนาง ผิวหนังโดยรอบบวมแดงเล็กน้อย บาดแผลนี้เมื่ออยู่บนมือที่เดิมทีขาวสะอาดไร้ที่ติรา