บรรยากาศจมดิ่งสู่ความเงียบสงัด หนิงตงเห็นนายหญิงของตนเองเงียบเชียบไม่เอ่ยวาจา ก็คิดว่านางจะรู้สึกอึดอัดทุกข์ใจ เอ่ยวาจาปลอบโยนเสียงตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ท่าน…ท่านอย่าทุกข์ใจไปเลย” เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียงออกมาเบา ๆ “หืม?” หนิงตงสงบสติให้มั่นคง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจยิ่งขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นฮูหยินเอก ไม่ว่าอย่างไรสตรีคนนั้นก็ไม่มีทางจะเหนือกว่าท่านไปได้เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็น่าจะแต่งเป็นสะใภ้ของคนอื่นไปแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้ม พลางหัวเราะออกมาเบา ๆ “คิดอะไรอยู่? ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ” เห็นพวกนางดูเหมือนจะไม่เชื่อ นางก็เสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ข้าพูดความจริง ข้ามิได้ทุกข์ใจ” ดูจากประโยคนี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรกลับยิ่งรู้สึกเหมือนต้องการจะปกปิดบางอย่างไว้ สาวใช้สองคนต่างมองหน้าสบตากัน ก็รู้สึกตรงกันว่าฮูหยินปากไม่ตรงกับใจ ท่านโหวนำของแทนใจที่มิอาจมอบให้แสงจันทรากระจ่างฟ้าออกมาจากห้องเก็บของ และนำไปเก็บไว้ในห้องหนังสือ สิ่งของที่อยู่ในห้องหนังสือนอกจากตำราและสี่สิ่งล้ำค่าแล้ว ก็มีเพียงวัตถุที่ค่อนข้างมีคุณค่าราคาแพง เครื่องประดับศีรษะชุดนั้นท่านโหวหวงแหนดุจ
ชิงชิวมองเงาแผ่นหลังของนาง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในใจ ตอนแรกฮูหยินยังบอกว่าหนิงตง จิตใจมั่นคงขึ้นไม่น้อยแล้ว บัดนี้ดูเหมือนว่าจะยังมั่นคงไม่มากพอ ยังคงแสดงอารมณ์ออกมาง่ายดายเกินไปภายหลังจากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็เรียกหนิงตงมาพบ เพื่อจะตำหนิอย่างจริงจัง ดึงสีหน้าบึ้งตึงพร้อมดุด้วยเสียงขรึม “หนิงตง ปกติข้าตามใจเจ้ามากเกินไปแล้วหรือกระไร? นับวันยิ่งกล้าหาญ ต่อหน้าเจ้านายยังบังอาจไม่เคารพยำเกรง กฎระเบียบที่เจ้าเรียนมาลืมไปหมดแล้วหรือ?”หนิงตงขอบตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นพลางเอ่ยว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยรู้สึกหงุดหงิดถะ…ถึงได้ทำไปเช่นนั้นเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าเยียบเย็น “ข้ายังไม่โกรธ แล้วเจ้าจะโกรธอะไร?”นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมออกมา “อย่าลืมว่าการสมรสครั้งนี้ข้านายหญิงของเจ้าได้มาอย่างไร เขาถูกบังคับให้สมรสกับข้า ก่อนที่เขาจะสมรสกับข้าก็มิได้มีใจให้ข้า จะมีดรุณีที่ใจหมายปองแต่มิได้ครอบครองนั่นก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? แน่นอน ใครขอให้เขาอบรมสั่งสอนบุตรชายไม่ถูกวิธีเล่า ในเมื่อบุตรก่อกรรมทำผิดบิดาย่อมจำเป็นต้องชดใช้ และตัวเขาเองก็มิได้ปฏิเสธจะรับข้าเป็นภรรยาด้วย”
วันรุ่งขึ้น เมิ่งจิ่นเหยาคิดถึงเฉิงจางน้องชายคนรองซึ่งไปอยู่ที่สำนักศึกษาแล้ว ไม่รู้ว่าบัดนี้อยู่ที่สำนักศึกษาแล้วชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ปรับตัวได้บ้างหรือยัง จึงคิดจะเขียนจดหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบส่งไปถึงน้องรอง ภายในเรือนเวยหรุยเซวียนมีห้องหนังสือ ทว่าเมิ่งจิ่นเหยาเคยเข้าไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวก็เมื่อตอนเพิ่งสมรสหมาด ๆ เพราะอยากจะทำความคุ้นเคยกับเรือนเวยหรุยเซวียน ถึงได้เข้าไปดูในห้องหนังสือให้พอผ่านตาสักครั้ง แต่โดยปกติแล้วนางจะไม่เข้าไปที่นั่น และเมื่อจำเป็นต้องตรวจสอบสมุดบัญชีก็จะอยู่ทำงานที่ห้องโถงเล็กแทน วันนี้ เป็นครั้งที่สองที่นางจะเข้าไปที่ห้องหนังสือ ภายในห้องหนังสือ บนโต๊ะเขียนอักษรมีกล่องไม้แดงใบหนึ่งวางอยู่ โดดเด่นเห็นชัดเจน เมื่อเข้าไปด้านในห้องหนังสือ ทอดสายตามองไปก็สามารถเห็นได้ทันที หนิงตงครั้นเห็นกล่องใบนั้น หัวคิ้วพลันขมวดแน่นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ไฟโทสะไร้ชื่อเรียกลุกโชนขึ้นมาในใจทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่านายหญิงเพิ่งดุด่านางไปแล้วเมื่อคืน ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเอ่ยวาจาที่ไม่สมควรออกมา เพียงแต่กระซิบด้วยเสียงเบาหวิวว่า “ฮูหยิน กล่องไม้แดงใบนี้ดูคุ้นตา
ชิงชิวรับคำ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งจิ่นเหยายืนขึ้นมา และหมุนตัวกลับไป มองเขาด้วยแววตาเจือความฉงน และถามว่า “ท่านพี่มีเรื่องใดจะคุยกับข้าหรือ?” กู้จิ่งซีสืบเท้าไปด้านหน้า พลางยื่นกล่องไม้จันทน์ในมือให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “สิ่งนี้มอบให้ฮูหยิน ฮูหยินดูก่อนว่าชอบหรือไม่ชอบ?” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบสายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องไม้จันทน์มาด้วยความรู้สึกลังเล แม้จะไม่ได้เปิดกล่องออก แต่รู้สึกได้ว่าของน่าจะมีราคามากทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องบรรจุมาในกล่องไม้จันทน์ก็ได้ นางเอ่ยถามออกไป “ท่านพี่ สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” “ฮูหยินลองดูก่อน” กู้จิ่งซีบอกเชิงว่าให้นางเปิดกล่องออก เห็นเขาไม่ยอมบอก เมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งสงสัย ประคองกล่องไม้ไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออก ครั้นหลุบตาลงมอง สายตาของนางพลันนิ่งไปทันที นางจ้องมองของที่อยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้นและงงงัน สิ่งนั้นก็คือเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิม เครื่องประดับศีรษะชุดนี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสามชุด และอัญมณีทุกเม็ดมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง มีลวดลายบุปผาโบต
จวนหย่งชางป๋อเป็นตระกูลขุนนางตกอับ แต่เมิ่งจิ่นเหยาผู้เป็นบุตรีคนโตของภรรยาเอกกลับได้ตบแต่งเข้าจวนฉางซินโหวที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ[1] ใครบ้างจะไม่บอกว่าเมิ่งจิ่นเหยาโชคดี?อย่างไรก็ตาม เมิ่งจิ่นเหยากลับไม่คิดเช่นนั้น หากนางโชคดีจริง เหตุใดคู่หมั้นจึงไม่มารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองในวันวิวาห์? แต่ให้คุณชายรองของจวนฉางซินโหวอุ้มไก่ตัวผู้มาที่จวนหย่งชางป๋อเพื่อรับตัวเจ้าสาวแทนเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าไม่สบาย จึงไม่อาจมารับด้วยตนเองทั้ง ๆ ที่หลายวันก่อนนางเห็นกู้ซิวหมิงผู้เป็นซื่อจื่อดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงดี เหตุใดจู่ ๆ ก็ล้มป่วยจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น มารับตัวเจ้าสาวไม่ได้กันเล่า? พูดตามตรงคือจวนฉางซินโหวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ ดังนั้นถึงได้ดูแคลนนางเช่นนี้ หากท่านปู่ของนางยังอยู่ ต่อให้ล้มป่วยจริง ตราบใดที่ไม่ถึงขั้นลุกจากเตียงไม่ไหว ก็คงจะมารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองการแต่งงานกระชั้นชิดแล้ว แม่เลี้ยงกับบิดาอยากเชื่อมสัมพันธ์กับจวนฉางซินโหว ไฉนเลยจะละทิ้งการแต่งงานดี ๆ ที่กำหนดไว้เมื่อสิบปีก่อนนี้? ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรร
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวของนาง ทุกคนล้วนตกตะลึงไม่หยุดบัดนี้จวนหย่งชางป๋อไม่ใช่จวนหย่งชางป๋อเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว หลังจากที่หย่งชางป๋อผู้เฒ่าเสียชีวิต หย่งชางป๋อคนปัจจุบันมีความสามารถพื้น ๆ ธรรมดา ทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์มีอายุเพียงสิบสองปี ยังไม่ได้เข้ารับราชการ ปัจจุบันยังไม่สามารถตั้งตัวได้ บุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุภรรยาก็มีอายุเพียงสิบสามปีเช่นกัน จวนหย่งชางป๋อตกอับแล้ว แม้กู้ซิวหมิงหลบหนีงานแต่งงาน สกุลกู้ก็ยังจัดพิธีวิวาห์ตามกำหนดการ ตบแต่งเมิ่งจิ่นเหยาเข้าสกุลส่วนเมิ่งจิ่นเหยาก็ยอมตามน้ำไป แต่งงานกับกู้ซิวหมิง เป็นฮูหยินของซื่อจื่อที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี แม้สตรีนางอื่นได้รับความรักความโปรดปรานจากกู้ซิวหมิงอีกเพียงใด สุดท้ายก็เป็นได้เพียงอนุภรรยาที่ไม่มีหน้ามีตาเท่านั้น วันหน้าค่อยจัดการในภายหลังทว่าบัดนี้เมิ่งจิ่นเหยากลับบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว?จวนฉางซินโหวมีสามบ้าน บ้านใหญ่กับบ้านรองล้วนเกิดจากอนุภรรยา บ้านสามคือบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งเกิดจากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ หลังจากที่ท่านโหวผู้เฒ่าเสียชีวิตแล้วก็ได้มีการสืบทอดตำแหน่งฉางซินโหวคนใหม่ ฉางซินโหวกู้จิ่งซีม
ทุกคนมองไปตามทิศทางที่เมิ่งจิ่นเหยาชี้ หลังจากที่สายตาทอดมองบนร่างของกู้จิ่งซี พวกเขาก็พากันสูดลมหายใจเย็นเยียบเมิ่งจิ่นเหยาบ้าไปแล้วหรือนี่? เดิมทีกู้จิ่งซีเป็นว่าที่พ่อสามีของนาง บัดนี้ว่าที่ลูกสะใภ้จะกลายเป็นว่าที่ภรรยาหรือ?หากกู้จิ่งซีและกู้ซิวหมิงเป็นคนรุ่นเดียวกัน เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่กู้จิ่งซีเป็นบิดาของกู้ซิวหมิง เป็นผู้อาวุโส แล้วผู้อาวุโสจะแต่งภรรยาที่ควรเป็นเด็กรุ่นหลังได้อย่างไร?นี่มันผิดหลักจริยธรรมกู้จิ่งซีเป็นผู้ที่แม้ภูเขาไท่ซานถล่มตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวอันน่าตกตะลึงของว่าที่ลูกสะใภ้ สีหน้าของเขาก็แตกร้าวในพริบตา ก่อนจะหรี่ตามองเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อเมิ่งจิ่นเหยาสบสายตาอันเย็นชาของกู้จิ่งซี หัวใจของนางก็สั่นเทิ้ม หากบอกว่าไม่ประหม่าไม่หวาดกลัว นั่นคงเป็นการโกหก ทว่านางเลือกเด็กรุ่นหลานสองคนนั้นของสกุลกู้ไม่ได้ แต่กู้จิ่งซีกลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นางไม่มีทางถอยแล้ว หากกลับไปที่สกุลเมิ่ง สถานการณ์ก็คงไม่ดีไปกว่าการอยู่ในสกุลกู้ กู้ซิวหมิงทำผิดต่อนาง ทำให้นางเป็นที่ขบขันในวันวิวาห์ นางไม่อาจเป็นเจ้าสาวของกู้ซิวหมิง เช่นนั้นก
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”“สองคำนับบิดามารดา!”“สามีภรรยาคำนับกันและกัน!”“พิธีเสร็จสิ้น ส่งตัวเข้าห้องหอ!”งานแต่งงานที่เหลวไหลเป็นไปไม่ได้แต่กลับกลายเป็นความจริง เมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ แต่กลายเป็นฮูหยินของฉางซินโหวแทนบรรดาแขกเหรื่อต่างมึนงง รู้สึกว่าเข้าร่วมงานแต่งงานมามากมาย ทว่าครั้งนี้เป็นงานที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุด ช่วงเวลาว่างหลังดื่มชารับประทานอาหารจะมีเรื่องใหม่ให้พูดคุยกันแล้ว และพวกเขายังเป็นประจักษ์พยานที่ได้เห็นกับตาตัวเองอีกด้วยต้องกล่าวว่าเมิ่งจิ่นเหยามีสายตาแหลมคมมาก กู้จิ่งซีมีทั้งความสามารถและรูปลักษณ์ที่โดดเด่น บัดนี้เขาดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีศาลต้าหลี่ หากไม่ใช่เพราะช่วยเหลือฮ่องเต้จนได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคที่มิอาจกล่าวได้ และถูกคู่หมั้นถอนหมั้นจนหมดกำลังใจเรื่องแต่งงานมาตลอด ก็คงไม่ถึงตาให้เมิ่งจิ่นเหยามาเก็บตกไปได้คนของบ้านใหญ่กับบ้านรองก็มึนงงเช่นกัน เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากู้จะเห็นด้วยกับเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้ได้ อีกทั้งกู้จิ่งซีที่เคร่งครัดมาตลอดก็แต่งงานกับว่าที่ลูกสะใภ้ในตอนแรกเช่นกัน พรุ่งนี้บ้านของพวกเขาย่อมก
ชิงชิวรับคำ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งจิ่นเหยายืนขึ้นมา และหมุนตัวกลับไป มองเขาด้วยแววตาเจือความฉงน และถามว่า “ท่านพี่มีเรื่องใดจะคุยกับข้าหรือ?” กู้จิ่งซีสืบเท้าไปด้านหน้า พลางยื่นกล่องไม้จันทน์ในมือให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “สิ่งนี้มอบให้ฮูหยิน ฮูหยินดูก่อนว่าชอบหรือไม่ชอบ?” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบสายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องไม้จันทน์มาด้วยความรู้สึกลังเล แม้จะไม่ได้เปิดกล่องออก แต่รู้สึกได้ว่าของน่าจะมีราคามากทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องบรรจุมาในกล่องไม้จันทน์ก็ได้ นางเอ่ยถามออกไป “ท่านพี่ สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” “ฮูหยินลองดูก่อน” กู้จิ่งซีบอกเชิงว่าให้นางเปิดกล่องออก เห็นเขาไม่ยอมบอก เมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งสงสัย ประคองกล่องไม้ไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออก ครั้นหลุบตาลงมอง สายตาของนางพลันนิ่งไปทันที นางจ้องมองของที่อยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้นและงงงัน สิ่งนั้นก็คือเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิม เครื่องประดับศีรษะชุดนี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสามชุด และอัญมณีทุกเม็ดมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง มีลวดลายบุปผาโบต
วันรุ่งขึ้น เมิ่งจิ่นเหยาคิดถึงเฉิงจางน้องชายคนรองซึ่งไปอยู่ที่สำนักศึกษาแล้ว ไม่รู้ว่าบัดนี้อยู่ที่สำนักศึกษาแล้วชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ปรับตัวได้บ้างหรือยัง จึงคิดจะเขียนจดหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบส่งไปถึงน้องรอง ภายในเรือนเวยหรุยเซวียนมีห้องหนังสือ ทว่าเมิ่งจิ่นเหยาเคยเข้าไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวก็เมื่อตอนเพิ่งสมรสหมาด ๆ เพราะอยากจะทำความคุ้นเคยกับเรือนเวยหรุยเซวียน ถึงได้เข้าไปดูในห้องหนังสือให้พอผ่านตาสักครั้ง แต่โดยปกติแล้วนางจะไม่เข้าไปที่นั่น และเมื่อจำเป็นต้องตรวจสอบสมุดบัญชีก็จะอยู่ทำงานที่ห้องโถงเล็กแทน วันนี้ เป็นครั้งที่สองที่นางจะเข้าไปที่ห้องหนังสือ ภายในห้องหนังสือ บนโต๊ะเขียนอักษรมีกล่องไม้แดงใบหนึ่งวางอยู่ โดดเด่นเห็นชัดเจน เมื่อเข้าไปด้านในห้องหนังสือ ทอดสายตามองไปก็สามารถเห็นได้ทันที หนิงตงครั้นเห็นกล่องใบนั้น หัวคิ้วพลันขมวดแน่นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ไฟโทสะไร้ชื่อเรียกลุกโชนขึ้นมาในใจทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่านายหญิงเพิ่งดุด่านางไปแล้วเมื่อคืน ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเอ่ยวาจาที่ไม่สมควรออกมา เพียงแต่กระซิบด้วยเสียงเบาหวิวว่า “ฮูหยิน กล่องไม้แดงใบนี้ดูคุ้นตา
ชิงชิวมองเงาแผ่นหลังของนาง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในใจ ตอนแรกฮูหยินยังบอกว่าหนิงตง จิตใจมั่นคงขึ้นไม่น้อยแล้ว บัดนี้ดูเหมือนว่าจะยังมั่นคงไม่มากพอ ยังคงแสดงอารมณ์ออกมาง่ายดายเกินไปภายหลังจากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็เรียกหนิงตงมาพบ เพื่อจะตำหนิอย่างจริงจัง ดึงสีหน้าบึ้งตึงพร้อมดุด้วยเสียงขรึม “หนิงตง ปกติข้าตามใจเจ้ามากเกินไปแล้วหรือกระไร? นับวันยิ่งกล้าหาญ ต่อหน้าเจ้านายยังบังอาจไม่เคารพยำเกรง กฎระเบียบที่เจ้าเรียนมาลืมไปหมดแล้วหรือ?”หนิงตงขอบตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นพลางเอ่ยว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยรู้สึกหงุดหงิดถะ…ถึงได้ทำไปเช่นนั้นเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าเยียบเย็น “ข้ายังไม่โกรธ แล้วเจ้าจะโกรธอะไร?”นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมออกมา “อย่าลืมว่าการสมรสครั้งนี้ข้านายหญิงของเจ้าได้มาอย่างไร เขาถูกบังคับให้สมรสกับข้า ก่อนที่เขาจะสมรสกับข้าก็มิได้มีใจให้ข้า จะมีดรุณีที่ใจหมายปองแต่มิได้ครอบครองนั่นก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? แน่นอน ใครขอให้เขาอบรมสั่งสอนบุตรชายไม่ถูกวิธีเล่า ในเมื่อบุตรก่อกรรมทำผิดบิดาย่อมจำเป็นต้องชดใช้ และตัวเขาเองก็มิได้ปฏิเสธจะรับข้าเป็นภรรยาด้วย”
บรรยากาศจมดิ่งสู่ความเงียบสงัด หนิงตงเห็นนายหญิงของตนเองเงียบเชียบไม่เอ่ยวาจา ก็คิดว่านางจะรู้สึกอึดอัดทุกข์ใจ เอ่ยวาจาปลอบโยนเสียงตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ท่าน…ท่านอย่าทุกข์ใจไปเลย” เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียงออกมาเบา ๆ “หืม?” หนิงตงสงบสติให้มั่นคง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจยิ่งขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นฮูหยินเอก ไม่ว่าอย่างไรสตรีคนนั้นก็ไม่มีทางจะเหนือกว่าท่านไปได้เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็น่าจะแต่งเป็นสะใภ้ของคนอื่นไปแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้ม พลางหัวเราะออกมาเบา ๆ “คิดอะไรอยู่? ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ” เห็นพวกนางดูเหมือนจะไม่เชื่อ นางก็เสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ข้าพูดความจริง ข้ามิได้ทุกข์ใจ” ดูจากประโยคนี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรกลับยิ่งรู้สึกเหมือนต้องการจะปกปิดบางอย่างไว้ สาวใช้สองคนต่างมองหน้าสบตากัน ก็รู้สึกตรงกันว่าฮูหยินปากไม่ตรงกับใจ ท่านโหวนำของแทนใจที่มิอาจมอบให้แสงจันทรากระจ่างฟ้าออกมาจากห้องเก็บของ และนำไปเก็บไว้ในห้องหนังสือ สิ่งของที่อยู่ในห้องหนังสือนอกจากตำราและสี่สิ่งล้ำค่าแล้ว ก็มีเพียงวัตถุที่ค่อนข้างมีคุณค่าราคาแพง เครื่องประดับศีรษะชุดนั้นท่านโหวหวงแหนดุจ
หนิงตงเห็นเช่นนี้ คิดว่าเขายังต้องการหาของชิ้นอื่นอีก ก็สาวเท้าตามไป กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นกล่องไม้แดงใบนั้นเข้า จึงผงะไปทันใด ในใจสบถออกมาว่าไม่ดีแล้ว ทันใดนั้นเอง หนิงตงได้สติกลับมา กลัวว่าเขาจะเห็นของสิ่งนั้นและจะระลึกถึงคน จะคิดถึงแม่นางคนอื่นแล้วจะลืมนายหญิงของพวกนาง ก็รีบเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เปล่งเสียงถามทันที “ท่านโหว ท่านยังประสงค์จะหาของชิ้นใดอีกหรือไม่เจ้าคะ? ข้าน้อยจะได้ช่วยท่านหา” “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงต้องการตามหาม้วนภาพเขียนอักษรนี้เท่านั้น บัดนี้หาเจอแล้ว” กู้จิ่งซีพูดจบ เขาก็ชำเลืองมองกล่องไม้แดงใบนั้นอีกครั้ง ลังเลอยู่เพียงชั่วอึดใจ จากนั้นก็โค้งเอวลงหยิบไปหยิบกล่องไม้ใบนั้นขึ้นมาและนำออกไปพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้ทำให้หนิงตงดวงตาเบิกโพลง นางจ้องมองกล่องไม้แดงตาไม่กะพริบ สมองกลายเป็นสีขาวโพลนไปในชั่วขณะ หากนางจำไม่ผิด นี่คือกล่องที่บรรจุเครื่องประดับศีรษะหยกขาวมันแพะชุดนั้นไว้ และเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นของที่ท่านโหวคิดจะนำไปมอบให้คนในดวงใจ ทว่าสุดท้ายก็มอบให้ไม่สำเร็จ จึงได้แต่ทิ้งลืมไว้ในห้องเก็บของ และไม่จดบันทึกไว้ใน
กู้จิ่งซีเห็นแม่นางน้อยยิ้มสดใสเจิดจ้า ดวงตาโค้งงอ นัยน์ตาใสดุจผิวคลื่นกำลังสะท้อนประกายแสง มีชีวิตชีวาและสว่างสุกสกาว มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “ฮูหยิน ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เจ้าเล่นคนเดียวไปก่อน” ได้ยินวาจานั้น เมิ่งจิ่นเหยาหวิดจะกลอกตาใส่เขาอย่างอยู่รอมร่อ ดูคำพูดของเขาสิ ทำอย่างกับเขาจะมาเล่นกับตนเองด้วยอย่างไรอย่างนั้น แม้จะคิดแบบนี้อยู่ในใจ แต่ปากของนางกลับเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจ “ในเมื่อท่านพี่ยังมีธุระ เช่นนั้นท่านพี่รีบไปจัดการเถิด แล้วตอนเที่ยงจะกลับมารับประทานอาหารเที่ยงด้วยหรือไม่เจ้าคะ? หากว่ากลับมา ข้าจะได้สั่งให้คนครัวทำอาหารที่ท่านพี่โปรดปรานด้วยสักสองอย่าง” กู้จิ่งซีครุ่นคิด ก็ตอบกลับว่า “ตอนเที่ยงคงไม่มีเวลากลับมา ฮูหยินมิต้องคอยข้า” เขาพูดจบ เห็นแม่นางน้อยยับปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่ก็ชะงักไป จึงเอ่ยเสริมขึ้นอีกประโยค “ตอนเย็นข้าจะรีบกลับมากินข้าวพร้อมฮูหยิน” เมิ่งจิ่นเหยา “…” อันที่จริงไม่ต้องรีบกลับมาเพื่อกินข้าวมื้อเย็นกับนางโดยเฉพาะก็ได้ เพราะนางกินข้าวคนเดียวได้อยู่แล้ว ทว่านางมิได้เอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกไป เพื่อจะไ
เมิ่งจิ่นเหยายิ้มอย่างน่าเอ็นดูและไร้เดียงสา “ท่านพะพี่ไงเจ้าคะ ทำไมหรือ?”กู้จิ่งซีจุปากเบา ๆ สองครั้ง และกล่าวอย่างอารมณ์ดีทั้งยังน่าขันว่า “นี่ฮูหยินเห็นข้าเป็นบิดาของเจ้าแล้วหรือ? แม้จะอีกแค่นิดเดียว ข้าก็จะกลายเป็นบิดาจริง ๆ เสียแล้ว แต่ฮูหยินยังคงต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน เจ้าไม่ใช่ลูกสะใภ้ของข้า ลูกเนรคุณของข้านั้นหนีงานแต่งงานในวันนั้นแล้ว”เมิ่งจิ่นเหยาส่ายหน้าอย่างรีบร้อน “ที่ใดกัน สามีก็คือสามี จะกลายเป็นบิดาได้อย่างไร? อีกอย่าง คนเป็นบุตรสาวที่ไหน จะนอนกับบิดาด้วยกันทุกคืนเล่าเจ้าคะ?”กู้จิ่งซีหนังหน้ายิ้มตาไม่ยิ้มออกมา “ก็ใช่”เมิ่งจิ่นเหยา “....”ปากของนางนี้ยังดี ๆ อยู่ เหตุใดจู่ ๆ ถึงเกือบจะพลาดไปเสียได้เล่า?กู้จิ่งซีมองนางอยู่แวบหนึ่ง สีหน้าก็กลับคืนสู่สภาพเดิม และเปลี่ยนมาเข้าเรื่องกันต่อ “เจ้าไม่รับช่วงอำนาจดูแลเรือนก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง”เมิ่งจิ่นเหยาไม่รู้เหตุผล “หือ?”กู้จิ่งซีกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้ายังเด็ก ควรจะอยู่ในวัยที่กิน ดื่ม และสนุกสนาน ไม่ควรถูกผูกมัดด้วยงาน หากรับกุมอำนาจดูแลเรือน คงจะเปลี่ยนมาทำงานหนัก งานประจำวันต่าง ๆ แค่ฟังรายงานจากคน
เรือนเวยหรุยเซวียนกู้จิ่งซีพยุงแม่นางน้อยกลับมา เดิมทีเขาคิดว่าเดินแบบนี้มันช้าเกินไป และอยากจะแบกคนกลับมาที่เรือนเวยหรุยเซวียน แต่แม่นางน้อยไม่ยินยอม บอกว่าไม่เหมาะสมเดินอืดอาดยืดยาด ในที่สุดก็กลับมาถึงเรือนเวยหรุยเซวียนเมิ่งจิ่นเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ และพักผ่อนด้วยการอิงพนักพิง นางยังคงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าระยะห่างของเรือนเวยหรุยเซวียนกับโถงโซ่วอันนั้นยาวไกลยิ่งนัก และการเดินเช่นนี้ก็เหนื่อยมาก ไม่แปลกที่คนพิการขาจะอิจฉาคนที่ขาคล่องแคล่วว่องไวอย่างยิ่งกู้จิ่งซีนั่งลงด้านข้างนาง เมื่อเห็นนางนั่งหมดแรงและขมวดคิ้วอยู่บนเก้าอี้ ก็ยกยิ้มที่มุมปาก พลางเปลี่ยนมาถามว่า “เหตุใดฮูหยินถึงปฏิเสธ?”เมื่อได้ยิน เมิ่งจิ่นเหยาก็เอียงคอมองเขา และถามกลับว่า “ปฏิเสธอะไรเจ้าคะ? ท่านพี่หมายถึงเรื่องดูแลอำนาจดูแลเรือนหรือ?”กู้จิ่งซีส่งเสียง “อืม” อย่างราบเรียบ และวิเคราะห์อย่างเป็นการว่า “ด้วยความสามารถของฮูหยิน และมีความช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ทั้งสองท่าน จะสามารถรับผิดชอบได้อยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องปฏิเสธด้วยเล่า?”เมิ่งจิ่นเหยาเลิกคิ้วขึ้น หัวเราะคิกคักและกล่าว “นั่นย่อมเป็นเพราะว่าข้าขี้เกียจน่
นางจางกับนางเฉินขานรับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าค่ะ ท่านแม่”หลังจากนั้น ทั้งครอบครัวก็พูดคุยกันไปอีกสักพักหนึ่ง เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ากู้เริ่มเหนื่อยแล้ว ถึงจะไล่ให้พวกเขาออกมาทุกคนทยอยออกจากโถงโซ่วอันด้วยความคิดที่แตกต่างกันนางจางกับนางเฉินเดินอยู่ด้วยกัน แม้ยามปกติพี่สะใภ้น้องสะใภ้ทั้งสองจะต่อสู้กันทั้งที่แจ้งและที่ลับ แต่เรื่องอย่างวันนี้ ก็มีเพียงบ่นกันนิดหน่อยอยู่สองคน และจะพูดกับเมิ่งจิ่นเหยาไม่ได้นางจางเหลือบมองไปทางเมิ่งจิ่นเหยาที่เดินกับกู้จิ่งซีอีกทางหนึ่ง และถามเสียงเบาว่า “น้องสะใภ้รอง เจ้าว่าวันนี้น้องสะใภ้สามทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร? ดูจากที่นางทะเลาะกับบ้านมารดาเสียยกใหญ่ ดูไม่เหมือนจะรับผิดชอบอำนาจดูแลเรือนไม่ได้เลยนะ”เมื่อได้ยิน นางเฉินก็หยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย พลางเหลือบมองนางอย่างมีความหมายแฝง และตอบกลับว่า “จะสนใจเรื่องที่นางทำเช่นนี้ทำไมกัน? สำหรับพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว ผลลัพธ์ถึงจะเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”สีหน้านางจางแข็งทื่อในทันที และหัวเราะเสียงเบา “หรือว่าสำหรับน้องสะใภ้รอง ผลลัพธ์นี้ไม่ใช่เรื่องดี?”นางเฉินเม้มริมฝีปากและกล่าวเยาะเย้ย “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่น