ชิงชิวรับคำ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งจิ่นเหยายืนขึ้นมา และหมุนตัวกลับไป มองเขาด้วยแววตาเจือความฉงน และถามว่า “ท่านพี่มีเรื่องใดจะคุยกับข้าหรือ?” กู้จิ่งซีสืบเท้าไปด้านหน้า พลางยื่นกล่องไม้จันทน์ในมือให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “สิ่งนี้มอบให้ฮูหยิน ฮูหยินดูก่อนว่าชอบหรือไม่ชอบ?” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบสายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องไม้จันทน์มาด้วยความรู้สึกลังเล แม้จะไม่ได้เปิดกล่องออก แต่รู้สึกได้ว่าของน่าจะมีราคามากทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องบรรจุมาในกล่องไม้จันทน์ก็ได้ นางเอ่ยถามออกไป “ท่านพี่ สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” “ฮูหยินลองดูก่อน” กู้จิ่งซีบอกเชิงว่าให้นางเปิดกล่องออก เห็นเขาไม่ยอมบอก เมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งสงสัย ประคองกล่องไม้ไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออก ครั้นหลุบตาลงมอง สายตาของนางพลันนิ่งไปทันที นางจ้องมองของที่อยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้นและงงงัน สิ่งนั้นก็คือเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิม เครื่องประดับศีรษะชุดนี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสามชุด และอัญมณีทุกเม็ดมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง มีลวดลายบุปผาโบต
…ท่านพี่ ท่านเคยมีดรุณีที่เคยเรียกร้องหมายปองแต่มิเคยได้ครอบครองใช่หรือไม่เจ้าคะ? ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกจากปาก เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว อยากจะหยิบเข็มกับด้ายมาเย็บปากตนเองให้ปิดสนิทไว้ก่อนล่วงหน้า แบบนี้จะได้ไม่ต้องเอ่ยคำพูดไม่เข้าหูออกมา จี้แผลใจของคนอื่นเช่นนั้นช่างขาดคุณธรรมนัก กู้จิ่งซีได้ยินคำพูดนี้ ก็ผงะไปครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ว่าคำถามของแม่นางน้อยฟังดูไร้เหตุผลและยากจะเข้าใจ สายตาชำเลืองมองนางอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะตอบกลับอย่างราบเรียบหนึ่งประโยค “ข้าไม่เคยเรียกร้อง” ไม่เคยเรียกร้อง? เมิ่งจิ่นเหยาชะงักงันไปเล็กน้อย ที่ว่าไม่เคยเรียกร้องหมายถึงอะไร? หมายถึงคิดหมายปอง แต่ยังไม่เคยลงมือเรียกร้องอย่างจริงจังอย่างนั้นหรือ ถึงได้บอกว่าไม่เคยเรียกร้อง? นางพลันรู้สึกเสียดายแทนกู้จิ่งซีขึ้นมา บุรุษคนนี้มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเลิศล้ำ รูปโฉมหล่อเหลาหมดจด พื้นเพชาติตระกูลก็ดีเลิศ แต่เพราะป่วยเป็นโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ แม้แต่ดรุณีที่หัวใจรักยังไม่กล้าเรียกร้องครอบครอง สุดท้ายก็พลาดโอกาสไป กู้จิ่งซีถูกสายตาสงสารของนางจ้องมองจนรู้สึกไม่สบายตัว ไม่เข้าใจว่าแม่นางน้
ถึงอย่างไรก็ถามมาขนาดนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจถามออกไปให้ถึงที่สุดเลยว่า “ท่านพี่อยากมอบให้ดรุณีสกุลใดหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับ “สกุลเหมย” สกุลเหมย? เมิ่งจิ่นเหยาเพียงชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น มิได้รู้สึกแปลกใจอะไรมาก คู่หมั้นคนก่อนของกู้จิ่งซีสกุลเหมยเองหรือ นางกับหนิงตงและชิงชิวเคยคาดเดากันมาก่อน รู้สึกว่าเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นของที่กู้จิ่งซีต้องการมอบให้คู่หมั้นคนก่อน บัดนี้นางได้รับคำตอบที่แท้จริงจากกู้จิ่งซีเองแล้ว แต่ก็จริงนะ ลวดลายดอกเหมย สัญลักษณ์ที่ชัดเจนออกปานนั้น ความจริงไม่จำเป็นต้องเดาเลย เพียงแต่ตอนนั้นพวกนางคิดไม่ถึงก็เท่านั้น กู้จิ่งซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ฮูหยินอย่าได้คิดมากเลย ข้ากับนางมิได้มีอะไรต่อกันแล้ว นางสมรสไปนานแล้ว และตามสามีไปทำงานที่ต่างเมืองแล้ว” “เช่นนั้นแล้วเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ ใช่เป็นเพราะท่านพี่อยากจะชดเชยให้ข้า ถึงได้ไปขอจากท่านแม่มา และนำมามอบให้ข้าหรือไม่เจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาพูดจบ ก็ก้มหน้ามองเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิมที่นอนอยู่ในกล่อง เครื่องประดับศีรษะชุดนี้งดงามดึงดูดสายตายิ่
เขาตอบกลับได้อย่างเด็ดขาดและฉับไว ไร้ซึ่งความลังเล เมิ่งจิ่นเหยาเชื่อมั่นว่าเขาในยามนี้มิได้มีความรู้สึกใดกับคู่หมั้นคนก่อนอีกแล้ว นางชำเลืองสายตามองกู้จิ่งซี ก่อนจะถามอีกครั้ง “ท่านพี่ ท่านคิดว่าจะจัดการกับเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “ทิ้งไปแล้ว” เมิ่งจิ่นเหยาอึ้งงัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หยกขาวมันแพะชั้นดีเชียวนะเจ้าคะ ทิ้งไปก็น่าเสียดาย” นางมิได้มีความหมายอื่นใดเป็นพิเศษ แค่รู้สึกว่าหยกเป็นหยกชั้นดีเท่านั้น งานฝีมือก็ประณีตงดงาม และแม่นางสกุลเหมยก็ออกเรือนไปแล้ว นางจะไปถือโทษโกรธเคืองเครื่องประดับศีรษะอันเดียวเพื่ออะไร? นางมิได้สนใจจะสวมใส่สิ่งของที่คนอื่นไม่ต้องการ แต่เก็บมันไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้มิใช่หรือ จะใช้เป็นรางวัลมอบให้สาวใช้หรืออื่นใดนั่นก็ย่อมได้ มิเช่นนั้นแล้ว จะนำไปแลกเป็นเงินมาบริจาคให้โรงทานก็ย่อมได้ กู้จิ่งซีได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นแววตาของแม่นางน้อยฉายประกายเสียดายนิด ๆ ออกมา ก็เอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นก็เอาไปจำนำที่โรงรับจำนำ เปลี่ยนเป็นเงินมาซื้อเครื่องประดับศีรษะชุดใหม่ให้เด็กน้อยสักคนเป็นการชดเ
...... เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมิ่งจิ่นเหยาตื่นขึ้นมาอย่างเนิบช้า บุรุษข้างกายออกไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วตั้งแต่เช้าตรู่ นางจึงเรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ วันนี้นางอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ทั้งชิงชิวและหนิงตงล้วนสัมผัสได้ สาวใช้สองคนหันมาสบตากัน ต่างคนต่างเห็นความงุนงงในแววตาของอีกฝ่าย และในตอนที่กำลังหวีผมแต่งหน้าให้เมิ่งจิ่นเหยา หนิงตงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ฮูหยิน วันนี้ท่านดูเหมือนจะมีความสุขยิ่งนักเจ้าค่ะ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดหรือเจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาชะงักไป ก่อนจะย้อนถามกลับทันที “ข้ามีความสุขไม่ได้หรือ?” หนิงตงผงกศีรษะ “ท่านตื่นนอนลงจากเตียงก็ยิ้มไม่หยุด เหมือนกับเจอเรื่องดี ๆ อะไรมาอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ผงะไปอีกครั้ง มองตนเองในคันฉ่องแล้ว ดรุณีน้อยในคันฉ่องเรือนผมดุจเมฆาขนคิ้วโค้งงาม รอยยิ้มเพริศพริ้งสดใส ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อยทีเดียว นางตอบกลับ “คงจะเป็นเพราะเมื่อวานได้รับเครื่องประดับศีรษะงดงามเลิศล้ำมาชุดหนึ่งกระมัง จิตใจถึงได้เบิกบานมีความสุข” ชิงชิวและหนิงตงชะงักไป นายหญิงของพวกนางได้รับเครื่องประดับศีรษะแล้วหนึ่งชุด ไฉนพวกนา
จวนหย่งชางป๋อเป็นตระกูลขุนนางตกอับ แต่เมิ่งจิ่นเหยาผู้เป็นบุตรีคนโตของภรรยาเอกกลับได้ตบแต่งเข้าจวนฉางซินโหวที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เป็นฮูหยินของซื่อจื่อ[1] ใครบ้างจะไม่บอกว่าเมิ่งจิ่นเหยาโชคดี?อย่างไรก็ตาม เมิ่งจิ่นเหยากลับไม่คิดเช่นนั้น หากนางโชคดีจริง เหตุใดคู่หมั้นจึงไม่มารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองในวันวิวาห์? แต่ให้คุณชายรองของจวนฉางซินโหวอุ้มไก่ตัวผู้มาที่จวนหย่งชางป๋อเพื่อรับตัวเจ้าสาวแทนเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าไม่สบาย จึงไม่อาจมารับด้วยตนเองทั้ง ๆ ที่หลายวันก่อนนางเห็นกู้ซิวหมิงผู้เป็นซื่อจื่อดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงดี เหตุใดจู่ ๆ ก็ล้มป่วยจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น มารับตัวเจ้าสาวไม่ได้กันเล่า? พูดตามตรงคือจวนฉางซินโหวไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ ดังนั้นถึงได้ดูแคลนนางเช่นนี้ หากท่านปู่ของนางยังอยู่ ต่อให้ล้มป่วยจริง ตราบใดที่ไม่ถึงขั้นลุกจากเตียงไม่ไหว ก็คงจะมารับตัวเจ้าสาวด้วยตนเองการแต่งงานกระชั้นชิดแล้ว แม่เลี้ยงกับบิดาอยากเชื่อมสัมพันธ์กับจวนฉางซินโหว ไฉนเลยจะละทิ้งการแต่งงานดี ๆ ที่กำหนดไว้เมื่อสิบปีก่อนนี้? ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะทำให้นางไม่ได้รับความเป็นธรร
เมื่อสิ้นเสียงกล่าวของนาง ทุกคนล้วนตกตะลึงไม่หยุดบัดนี้จวนหย่งชางป๋อไม่ใช่จวนหย่งชางป๋อเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว หลังจากที่หย่งชางป๋อผู้เฒ่าเสียชีวิต หย่งชางป๋อคนปัจจุบันมีความสามารถพื้น ๆ ธรรมดา ทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์มีอายุเพียงสิบสองปี ยังไม่ได้เข้ารับราชการ ปัจจุบันยังไม่สามารถตั้งตัวได้ บุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุภรรยาก็มีอายุเพียงสิบสามปีเช่นกัน จวนหย่งชางป๋อตกอับแล้ว แม้กู้ซิวหมิงหลบหนีงานแต่งงาน สกุลกู้ก็ยังจัดพิธีวิวาห์ตามกำหนดการ ตบแต่งเมิ่งจิ่นเหยาเข้าสกุลส่วนเมิ่งจิ่นเหยาก็ยอมตามน้ำไป แต่งงานกับกู้ซิวหมิง เป็นฮูหยินของซื่อจื่อที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี แม้สตรีนางอื่นได้รับความรักความโปรดปรานจากกู้ซิวหมิงอีกเพียงใด สุดท้ายก็เป็นได้เพียงอนุภรรยาที่ไม่มีหน้ามีตาเท่านั้น วันหน้าค่อยจัดการในภายหลังทว่าบัดนี้เมิ่งจิ่นเหยากลับบอกว่าจะเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว?จวนฉางซินโหวมีสามบ้าน บ้านใหญ่กับบ้านรองล้วนเกิดจากอนุภรรยา บ้านสามคือบุตรที่เกิดจากภรรยาเอก ซึ่งเกิดจากฮูหยินผู้เฒ่ากู้ หลังจากที่ท่านโหวผู้เฒ่าเสียชีวิตแล้วก็ได้มีการสืบทอดตำแหน่งฉางซินโหวคนใหม่ ฉางซินโหวกู้จิ่งซีม
ทุกคนมองไปตามทิศทางที่เมิ่งจิ่นเหยาชี้ หลังจากที่สายตาทอดมองบนร่างของกู้จิ่งซี พวกเขาก็พากันสูดลมหายใจเย็นเยียบเมิ่งจิ่นเหยาบ้าไปแล้วหรือนี่? เดิมทีกู้จิ่งซีเป็นว่าที่พ่อสามีของนาง บัดนี้ว่าที่ลูกสะใภ้จะกลายเป็นว่าที่ภรรยาหรือ?หากกู้จิ่งซีและกู้ซิวหมิงเป็นคนรุ่นเดียวกัน เช่นนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่กู้จิ่งซีเป็นบิดาของกู้ซิวหมิง เป็นผู้อาวุโส แล้วผู้อาวุโสจะแต่งภรรยาที่ควรเป็นเด็กรุ่นหลังได้อย่างไร?นี่มันผิดหลักจริยธรรมกู้จิ่งซีเป็นผู้ที่แม้ภูเขาไท่ซานถล่มตรงหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวอันน่าตกตะลึงของว่าที่ลูกสะใภ้ สีหน้าของเขาก็แตกร้าวในพริบตา ก่อนจะหรี่ตามองเมิ่งจิ่นเหยาเมื่อเมิ่งจิ่นเหยาสบสายตาอันเย็นชาของกู้จิ่งซี หัวใจของนางก็สั่นเทิ้ม หากบอกว่าไม่ประหม่าไม่หวาดกลัว นั่นคงเป็นการโกหก ทว่านางเลือกเด็กรุ่นหลานสองคนนั้นของสกุลกู้ไม่ได้ แต่กู้จิ่งซีกลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นางไม่มีทางถอยแล้ว หากกลับไปที่สกุลเมิ่ง สถานการณ์ก็คงไม่ดีไปกว่าการอยู่ในสกุลกู้ กู้ซิวหมิงทำผิดต่อนาง ทำให้นางเป็นที่ขบขันในวันวิวาห์ นางไม่อาจเป็นเจ้าสาวของกู้ซิวหมิง เช่นนั้นก
...... เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมิ่งจิ่นเหยาตื่นขึ้นมาอย่างเนิบช้า บุรุษข้างกายออกไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วตั้งแต่เช้าตรู่ นางจึงเรียกสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้ วันนี้นางอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด ทั้งชิงชิวและหนิงตงล้วนสัมผัสได้ สาวใช้สองคนหันมาสบตากัน ต่างคนต่างเห็นความงุนงงในแววตาของอีกฝ่าย และในตอนที่กำลังหวีผมแต่งหน้าให้เมิ่งจิ่นเหยา หนิงตงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ฮูหยิน วันนี้ท่านดูเหมือนจะมีความสุขยิ่งนักเจ้าค่ะ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใดหรือเจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาชะงักไป ก่อนจะย้อนถามกลับทันที “ข้ามีความสุขไม่ได้หรือ?” หนิงตงผงกศีรษะ “ท่านตื่นนอนลงจากเตียงก็ยิ้มไม่หยุด เหมือนกับเจอเรื่องดี ๆ อะไรมาอย่างไรอย่างนั้นเจ้าค่ะ” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็ผงะไปอีกครั้ง มองตนเองในคันฉ่องแล้ว ดรุณีน้อยในคันฉ่องเรือนผมดุจเมฆาขนคิ้วโค้งงาม รอยยิ้มเพริศพริ้งสดใส ดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่น้อยทีเดียว นางตอบกลับ “คงจะเป็นเพราะเมื่อวานได้รับเครื่องประดับศีรษะงดงามเลิศล้ำมาชุดหนึ่งกระมัง จิตใจถึงได้เบิกบานมีความสุข” ชิงชิวและหนิงตงชะงักไป นายหญิงของพวกนางได้รับเครื่องประดับศีรษะแล้วหนึ่งชุด ไฉนพวกนา
เขาตอบกลับได้อย่างเด็ดขาดและฉับไว ไร้ซึ่งความลังเล เมิ่งจิ่นเหยาเชื่อมั่นว่าเขาในยามนี้มิได้มีความรู้สึกใดกับคู่หมั้นคนก่อนอีกแล้ว นางชำเลืองสายตามองกู้จิ่งซี ก่อนจะถามอีกครั้ง “ท่านพี่ ท่านคิดว่าจะจัดการกับเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นอย่างไรหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับด้วยเสียงราบเรียบ “ทิ้งไปแล้ว” เมิ่งจิ่นเหยาอึ้งงัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หยกขาวมันแพะชั้นดีเชียวนะเจ้าคะ ทิ้งไปก็น่าเสียดาย” นางมิได้มีความหมายอื่นใดเป็นพิเศษ แค่รู้สึกว่าหยกเป็นหยกชั้นดีเท่านั้น งานฝีมือก็ประณีตงดงาม และแม่นางสกุลเหมยก็ออกเรือนไปแล้ว นางจะไปถือโทษโกรธเคืองเครื่องประดับศีรษะอันเดียวเพื่ออะไร? นางมิได้สนใจจะสวมใส่สิ่งของที่คนอื่นไม่ต้องการ แต่เก็บมันไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้มิใช่หรือ จะใช้เป็นรางวัลมอบให้สาวใช้หรืออื่นใดนั่นก็ย่อมได้ มิเช่นนั้นแล้ว จะนำไปแลกเป็นเงินมาบริจาคให้โรงทานก็ย่อมได้ กู้จิ่งซีได้ยินก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เห็นแววตาของแม่นางน้อยฉายประกายเสียดายนิด ๆ ออกมา ก็เอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นก็เอาไปจำนำที่โรงรับจำนำ เปลี่ยนเป็นเงินมาซื้อเครื่องประดับศีรษะชุดใหม่ให้เด็กน้อยสักคนเป็นการชดเ
ถึงอย่างไรก็ถามมาขนาดนี้แล้ว นางจึงตัดสินใจถามออกไปให้ถึงที่สุดเลยว่า “ท่านพี่อยากมอบให้ดรุณีสกุลใดหรือเจ้าคะ?” กู้จิ่งซีตอบกลับ “สกุลเหมย” สกุลเหมย? เมิ่งจิ่นเหยาเพียงชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น มิได้รู้สึกแปลกใจอะไรมาก คู่หมั้นคนก่อนของกู้จิ่งซีสกุลเหมยเองหรือ นางกับหนิงตงและชิงชิวเคยคาดเดากันมาก่อน รู้สึกว่าเครื่องประดับศีรษะชุดนั้นมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นของที่กู้จิ่งซีต้องการมอบให้คู่หมั้นคนก่อน บัดนี้นางได้รับคำตอบที่แท้จริงจากกู้จิ่งซีเองแล้ว แต่ก็จริงนะ ลวดลายดอกเหมย สัญลักษณ์ที่ชัดเจนออกปานนั้น ความจริงไม่จำเป็นต้องเดาเลย เพียงแต่ตอนนั้นพวกนางคิดไม่ถึงก็เท่านั้น กู้จิ่งซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ฮูหยินอย่าได้คิดมากเลย ข้ากับนางมิได้มีอะไรต่อกันแล้ว นางสมรสไปนานแล้ว และตามสามีไปทำงานที่ต่างเมืองแล้ว” “เช่นนั้นแล้วเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ ใช่เป็นเพราะท่านพี่อยากจะชดเชยให้ข้า ถึงได้ไปขอจากท่านแม่มา และนำมามอบให้ข้าหรือไม่เจ้าคะ?” เมิ่งจิ่นเหยาพูดจบ ก็ก้มหน้ามองเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิมที่นอนอยู่ในกล่อง เครื่องประดับศีรษะชุดนี้งดงามดึงดูดสายตายิ่
…ท่านพี่ ท่านเคยมีดรุณีที่เคยเรียกร้องหมายปองแต่มิเคยได้ครอบครองใช่หรือไม่เจ้าคะ? ทันทีที่คำพูดนี้เอ่ยออกจากปาก เมิ่งจิ่นเหยาก็รู้สึกผิดขึ้นมาแล้ว อยากจะหยิบเข็มกับด้ายมาเย็บปากตนเองให้ปิดสนิทไว้ก่อนล่วงหน้า แบบนี้จะได้ไม่ต้องเอ่ยคำพูดไม่เข้าหูออกมา จี้แผลใจของคนอื่นเช่นนั้นช่างขาดคุณธรรมนัก กู้จิ่งซีได้ยินคำพูดนี้ ก็ผงะไปครู่หนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ว่าคำถามของแม่นางน้อยฟังดูไร้เหตุผลและยากจะเข้าใจ สายตาชำเลืองมองนางอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะตอบกลับอย่างราบเรียบหนึ่งประโยค “ข้าไม่เคยเรียกร้อง” ไม่เคยเรียกร้อง? เมิ่งจิ่นเหยาชะงักงันไปเล็กน้อย ที่ว่าไม่เคยเรียกร้องหมายถึงอะไร? หมายถึงคิดหมายปอง แต่ยังไม่เคยลงมือเรียกร้องอย่างจริงจังอย่างนั้นหรือ ถึงได้บอกว่าไม่เคยเรียกร้อง? นางพลันรู้สึกเสียดายแทนกู้จิ่งซีขึ้นมา บุรุษคนนี้มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเลิศล้ำ รูปโฉมหล่อเหลาหมดจด พื้นเพชาติตระกูลก็ดีเลิศ แต่เพราะป่วยเป็นโรคที่บอกผู้อื่นไม่ได้ แม้แต่ดรุณีที่หัวใจรักยังไม่กล้าเรียกร้องครอบครอง สุดท้ายก็พลาดโอกาสไป กู้จิ่งซีถูกสายตาสงสารของนางจ้องมองจนรู้สึกไม่สบายตัว ไม่เข้าใจว่าแม่นางน้
ชิงชิวรับคำ ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว เมิ่งจิ่นเหยายืนขึ้นมา และหมุนตัวกลับไป มองเขาด้วยแววตาเจือความฉงน และถามว่า “ท่านพี่มีเรื่องใดจะคุยกับข้าหรือ?” กู้จิ่งซีสืบเท้าไปด้านหน้า พลางยื่นกล่องไม้จันทน์ในมือให้นาง พร้อมเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “สิ่งนี้มอบให้ฮูหยิน ฮูหยินดูก่อนว่าชอบหรือไม่ชอบ?” ได้ยินเช่นนั้น เมิ่งจิ่นเหยาเหลือบสายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยความงุนงง ก่อนจะยื่นมือไปรับกล่องไม้จันทน์มาด้วยความรู้สึกลังเล แม้จะไม่ได้เปิดกล่องออก แต่รู้สึกได้ว่าของน่าจะมีราคามากทีเดียว ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องบรรจุมาในกล่องไม้จันทน์ก็ได้ นางเอ่ยถามออกไป “ท่านพี่ สิ่งนี้คืออะไรหรือ?” “ฮูหยินลองดูก่อน” กู้จิ่งซีบอกเชิงว่าให้นางเปิดกล่องออก เห็นเขาไม่ยอมบอก เมิ่งจิ่นเหยาก็ยิ่งสงสัย ประคองกล่องไม้ไปวางไว้บนโต๊ะด้านข้าง จากนั้นก็เปิดกล่องไม้ออก ครั้นหลุบตาลงมอง สายตาของนางพลันนิ่งไปทันที นางจ้องมองของที่อยู่ด้านในด้วยความตื่นเต้นและงงงัน สิ่งนั้นก็คือเครื่องประดับศีรษะทองคำบริสุทธิ์ฝังทับทิม เครื่องประดับศีรษะชุดนี้มีทั้งสิ้นยี่สิบสามชุด และอัญมณีทุกเม็ดมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง มีลวดลายบุปผาโบต
วันรุ่งขึ้น เมิ่งจิ่นเหยาคิดถึงเฉิงจางน้องชายคนรองซึ่งไปอยู่ที่สำนักศึกษาแล้ว ไม่รู้ว่าบัดนี้อยู่ที่สำนักศึกษาแล้วชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้าง ปรับตัวได้บ้างหรือยัง จึงคิดจะเขียนจดหมายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบส่งไปถึงน้องรอง ภายในเรือนเวยหรุยเซวียนมีห้องหนังสือ ทว่าเมิ่งจิ่นเหยาเคยเข้าไปที่นั่นเพียงครั้งเดียวก็เมื่อตอนเพิ่งสมรสหมาด ๆ เพราะอยากจะทำความคุ้นเคยกับเรือนเวยหรุยเซวียน ถึงได้เข้าไปดูในห้องหนังสือให้พอผ่านตาสักครั้ง แต่โดยปกติแล้วนางจะไม่เข้าไปที่นั่น และเมื่อจำเป็นต้องตรวจสอบสมุดบัญชีก็จะอยู่ทำงานที่ห้องโถงเล็กแทน วันนี้ เป็นครั้งที่สองที่นางจะเข้าไปที่ห้องหนังสือ ภายในห้องหนังสือ บนโต๊ะเขียนอักษรมีกล่องไม้แดงใบหนึ่งวางอยู่ โดดเด่นเห็นชัดเจน เมื่อเข้าไปด้านในห้องหนังสือ ทอดสายตามองไปก็สามารถเห็นได้ทันที หนิงตงครั้นเห็นกล่องใบนั้น หัวคิ้วพลันขมวดแน่นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ไฟโทสะไร้ชื่อเรียกลุกโชนขึ้นมาในใจทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่านายหญิงเพิ่งดุด่านางไปแล้วเมื่อคืน ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามเอ่ยวาจาที่ไม่สมควรออกมา เพียงแต่กระซิบด้วยเสียงเบาหวิวว่า “ฮูหยิน กล่องไม้แดงใบนี้ดูคุ้นตา
ชิงชิวมองเงาแผ่นหลังของนาง ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในใจ ตอนแรกฮูหยินยังบอกว่าหนิงตง จิตใจมั่นคงขึ้นไม่น้อยแล้ว บัดนี้ดูเหมือนว่าจะยังมั่นคงไม่มากพอ ยังคงแสดงอารมณ์ออกมาง่ายดายเกินไปภายหลังจากนั้น เมิ่งจิ่นเหยาก็เรียกหนิงตงมาพบ เพื่อจะตำหนิอย่างจริงจัง ดึงสีหน้าบึ้งตึงพร้อมดุด้วยเสียงขรึม “หนิงตง ปกติข้าตามใจเจ้ามากเกินไปแล้วหรือกระไร? นับวันยิ่งกล้าหาญ ต่อหน้าเจ้านายยังบังอาจไม่เคารพยำเกรง กฎระเบียบที่เจ้าเรียนมาลืมไปหมดแล้วหรือ?”หนิงตงขอบตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นพลางเอ่ยว่า “ฮูหยิน ข้าน้อยรู้สึกหงุดหงิดถะ…ถึงได้ทำไปเช่นนั้นเจ้าค่ะ”เมิ่งจิ่นเหยาสีหน้าเยียบเย็น “ข้ายังไม่โกรธ แล้วเจ้าจะโกรธอะไร?”นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึมออกมา “อย่าลืมว่าการสมรสครั้งนี้ข้านายหญิงของเจ้าได้มาอย่างไร เขาถูกบังคับให้สมรสกับข้า ก่อนที่เขาจะสมรสกับข้าก็มิได้มีใจให้ข้า จะมีดรุณีที่ใจหมายปองแต่มิได้ครอบครองนั่นก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ? แน่นอน ใครขอให้เขาอบรมสั่งสอนบุตรชายไม่ถูกวิธีเล่า ในเมื่อบุตรก่อกรรมทำผิดบิดาย่อมจำเป็นต้องชดใช้ และตัวเขาเองก็มิได้ปฏิเสธจะรับข้าเป็นภรรยาด้วย”
บรรยากาศจมดิ่งสู่ความเงียบสงัด หนิงตงเห็นนายหญิงของตนเองเงียบเชียบไม่เอ่ยวาจา ก็คิดว่านางจะรู้สึกอึดอัดทุกข์ใจ เอ่ยวาจาปลอบโยนเสียงตะกุกตะกัก “ฮูหยิน ท่าน…ท่านอย่าทุกข์ใจไปเลย” เมิ่งจิ่นเหยาส่งเสียงออกมาเบา ๆ “หืม?” หนิงตงสงบสติให้มั่นคง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจยิ่งขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ ท่านเป็นฮูหยินเอก ไม่ว่าอย่างไรสตรีคนนั้นก็ไม่มีทางจะเหนือกว่าท่านไปได้เจ้าค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นนางก็น่าจะแต่งเป็นสะใภ้ของคนอื่นไปแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งจิ่นเหยายกยิ้ม พลางหัวเราะออกมาเบา ๆ “คิดอะไรอยู่? ข้าไม่ได้ทุกข์ใจ” เห็นพวกนางดูเหมือนจะไม่เชื่อ นางก็เสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ข้าพูดความจริง ข้ามิได้ทุกข์ใจ” ดูจากประโยคนี้ ไม่ว่าจะฟังอย่างไรกลับยิ่งรู้สึกเหมือนต้องการจะปกปิดบางอย่างไว้ สาวใช้สองคนต่างมองหน้าสบตากัน ก็รู้สึกตรงกันว่าฮูหยินปากไม่ตรงกับใจ ท่านโหวนำของแทนใจที่มิอาจมอบให้แสงจันทรากระจ่างฟ้าออกมาจากห้องเก็บของ และนำไปเก็บไว้ในห้องหนังสือ สิ่งของที่อยู่ในห้องหนังสือนอกจากตำราและสี่สิ่งล้ำค่าแล้ว ก็มีเพียงวัตถุที่ค่อนข้างมีคุณค่าราคาแพง เครื่องประดับศีรษะชุดนั้นท่านโหวหวงแหนดุจ
หนิงตงเห็นเช่นนี้ คิดว่าเขายังต้องการหาของชิ้นอื่นอีก ก็สาวเท้าตามไป กลับคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นกล่องไม้แดงใบนั้นเข้า จึงผงะไปทันใด ในใจสบถออกมาว่าไม่ดีแล้ว ทันใดนั้นเอง หนิงตงได้สติกลับมา กลัวว่าเขาจะเห็นของสิ่งนั้นและจะระลึกถึงคน จะคิดถึงแม่นางคนอื่นแล้วจะลืมนายหญิงของพวกนาง ก็รีบเบี่ยงเบนความสนใจของเขา เปล่งเสียงถามทันที “ท่านโหว ท่านยังประสงค์จะหาของชิ้นใดอีกหรือไม่เจ้าคะ? ข้าน้อยจะได้ช่วยท่านหา” “ไม่ต้องแล้ว ข้าเพียงต้องการตามหาม้วนภาพเขียนอักษรนี้เท่านั้น บัดนี้หาเจอแล้ว” กู้จิ่งซีพูดจบ เขาก็ชำเลืองมองกล่องไม้แดงใบนั้นอีกครั้ง ลังเลอยู่เพียงชั่วอึดใจ จากนั้นก็โค้งเอวลงหยิบไปหยิบกล่องไม้ใบนั้นขึ้นมาและนำออกไปพร้อมกัน การกระทำเช่นนี้ทำให้หนิงตงดวงตาเบิกโพลง นางจ้องมองกล่องไม้แดงตาไม่กะพริบ สมองกลายเป็นสีขาวโพลนไปในชั่วขณะ หากนางจำไม่ผิด นี่คือกล่องที่บรรจุเครื่องประดับศีรษะหยกขาวมันแพะชุดนั้นไว้ และเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นของที่ท่านโหวคิดจะนำไปมอบให้คนในดวงใจ ทว่าสุดท้ายก็มอบให้ไม่สำเร็จ จึงได้แต่ทิ้งลืมไว้ในห้องเก็บของ และไม่จดบันทึกไว้ใน