“ข้าสองแม่ลูกขอรับคำขอบคุณจากท่านก็เพียงพอแล้ว” นางทำเป็นไม่เห็นสายตาคมกริบของสวินเย่ว์ “เกรงว่าฐานะของข้าไม่สามารถต้อนรับพวกท่านได้ เชิญกลับไปเถิด” ถูกเจ้าของบ้านออกปากไล่ถึงสองครั้ง ฝูหรงและสวินเย่ว์จึงไม่หน้าด้านจะอยู่ต่อ หากแต่คิดแผนการไว้ในใจ ไม่ว่าอย่างไรคงไม่อาจปล่อยนางไว้ที่นี่ได้ นางมีเงื่อนงำที่น่าสงสัย ฝูหรงนั้นเพียงสบตากับสวินเย่ว์ก็เข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยปาก สวินเย่ว์นั้นอยากคาดคั้นนางให้แน่ชัดว่านางเป็นสตรีที่ถอนพิษราคะให้เขาใช่หรือไม่ เรื่องหมิ่นเกียรติเช่นนั้นจะพูดต่อหน้าคนมากมายได้อย่างไร หากนางเป็นนักโทษของเขาคงไม่ยากเย็นที่จะเค้นเอาความจริง แต่หลังจากนางคลายท่าทีตื่นตระหนกและไม่มีทีท่าจะหลบหนี ท่าทีเปิดเผยและสงบนิ่งของนางคล้ายทำให้เขาลังเลกับความคิดของตนเอง หรือนางจะมีสามีที่ไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้? เป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูนอกจวนหรือเลี้ยงอย่างลับๆฝูหรงถูกสายตาของหญิงสาวขับไล่ทำให้กระดากอายอยู่ไม่น้อย เขาจูงแขนของลูกชายกล่าวลาหญิงสาวที่ไม่ยอมรับการตอบแทนของเขา ทั้งที่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาเป็นใคร นางสามารถเรียกร้องทั้งเงินทองหรือสิ่
“ทำไม?” หยางหยางได้ยินคำถาม น้ำเสียงที่คุ้นหูนี้ทำเขาย่นจมูกเบ้ปากแล้วหมุนตัวกลับไปมองคนตัวสูงที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตูก็แทบบดบังแสงจากด้านนอกแล้ว “ข้าต้องตอบท่านเรอะ” เด็กชายทำท่ายียวน ไม่สนใจคำถามแล้วนั่งลงก่อไฟในเตา สวินเย่ว์มองเด็กชายที่ก่อไฟอย่างคล่องแคล่ว มุมปากยกยิ้มกลั้นหัวเราะกับท่าทางใหญ่โตเกินวัยของเด็กชายตัวน้อย หยางหยางก่อไฟเสร็จแล้วเตรียมต้มน้ำ เขาเดินมายกถังน้ำ แต่สวินเย่ว์ฉวยถังน้ำแล้วเทใส่หม้อบนเตาให้เอง “มารดาเจ้าให้ทำเรื่องอันตรายเช่นนี้ทุกวันรึ” หากเป็นน้ำร้อนมิลวกเด็กคนนี้ไปแล้วหรือไง “ข้าไม่เดือดร้อน ผู้อื่นเดือดร้อนแทนรึ” หยางหยางวาดมาดใหญ่ “ท่านแม่ของข้าดีที่สุด นางไม่เคยให้ข้าต้องลำบาก” สวินเย่ว์พยักหน้ารับ หากนางไม่ดีจริง องค์ชายน้อยที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นใบ้คงไม่เรียกขานนางว่า ‘แม่’ ซ้ำยังกอดไม่ปล่อย ไม่ยอมกลับวังหลวง ทำให้ฮ่องเต้ฝูหรงจำใจปล่อยองค์ชายน้อยไว้ที่นี่กับนางก่อน แต่ทิ้งองครักษ์ลับไว้คอยปกป้องดูแลตามที่เขาเสนอแนะไว้ ‘ทำเช่นนี้จะดีรึ?’ ‘เรายังหา
“นี่ไง!” เขายื่นให้สวิ่นเย่ว์ดู ชายหนุ่มเอื้อมมือไปรับแต่อีกฝ่ายชักมือกลับ “ข้าจะเปิดให้ท่านดูอย่างเดียว ห้ามแตะต้อง” สวินเย่ว์พยักหน้ารับ มือน้อยจึงเปิดกล่องเล็กๆ ออก ปรากฏปิ่นหยกสลักลายตราประจำตระกูลสวิน เขายื่นมือคว้าสิ่งนั้นมาแต่เด็กชายถอยหลังหลบ เขาเลิกคิ้วประหลาดใจที่เด็กน้อยหลบหลีกได้ทัน เขาสืบเท้าเข้าไปหมายคว้าสิ่งนั้นมาไว้ในมือ แต่หยางหยางพลิ้วตัวหลบหลีกได้ว่องไว เมื่อเห็นว่าจวนตัวเขากลับปีนป่ายขึ้นต้นไม้ใหญ่ริมรั้ว เสิ่นฉางซีรู้สึกตัวตื่น นางหลับๆ ตื่นๆ เช่นนี้มาหลายวัน ตั้งแต่แม่ทัพสวินเย่ว์เชิญหมอมาตรวจอาการนาง เห็นทีนางควรหยุดกินยาชุดนี้ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นลูกชายของนางคงลำบากต้องดูแลนาง หญิงสาวขยับตัวเบาๆ แต่อันอันรู้สึกตัวตื่น นางลูบหลังเด็กน้อยให้หลับต่อคลุมผ้าห่มให้ เมื่อมั่นใจว่าเด็กน้อยหลับแล้วจึงก้าวเท้าลงจากเตียง กวาดตามองหาลูกชาย “หยางเอ๋อร์”นางร้องเรียกเบาๆ แล้วผลักประตูออกมา ดวงตางดงามเบิกกว้างเมื่อเห็นลูกชายถูกบุรุษตัวโตวิ่งไล่จับจนลูกชายปีนป่ายขึ้นต้นไม้ นางรู้ว่าลูกของตนปีนต้นไม้ได้ แต่ไม่คิดว่าจะคล่องแคล่วราวล
นางกวาดตามองลูกชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เการุ่ยเฉียงมองตามสายตาของหญิงสาว เขาเปลี่ยนเป้าหมายหวังคว้าเจ้าเด็กที่ยืนจ้องเขาอย่างไม่เกรงกลัวนี้ไว้ต่อรอง “หยางหยาง!” เสิ่นฉางซีเผลอหวีดร้องที่เห็นเการุ่ยเฉียงพุ่งไปยังลูกชาย สวินเย่ว์ไม่รอช้าปล่อยร่างบอบบางแล้วปราดเข้าไปขวาง ใช้เพียงฝ่ามือกระแทกลมปราณออกไปถึงกับทำให้อีกฝ่ายผงะไปด้านหลัง จังหวะเดียวกันนั้น แส้สีดำสนิทตวัดรัดรอบร่างของเด็กชาย ร่างเล็กลอยละลิ่วในอากาศมาหยุดที่เบื้องหน้าสตรีในอาภรณ์สีม่วง เสิ่นฉางซีไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหาลูกชาย สองมือยื่นไปหาลูก แต่มือของหญิงสาวในชุดสีม่วงยื่นมากำลำคอของนางไว้ก่อน นางเพียงออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้เสิ่นฉางซีหลุดเสียงครางเพราะความเจ็บปวดออกมา “เจ้า!” เกาเทียนฉีที่เพิ่งได้สติร้องเสียงดังออกมา ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีทางลืมสตรีร้ายกาจที่ทำให้เขาหมดสภาพอยู่บนเขาได้แน่นอน“นางมารตะกละ!” “หือ?” ซูหลี่น่าคลายมือที่กำรอบคอเสิ่นฉางซีเล็กน้อย นางปรายตามองชายที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายราวบัณฑิตผู้นั้น กวาดตาขึ้นลงอยู่สองสามรอบแต่นางนึกหน้าบุรุษผู้นี้ไม่ออก จนต้องเอ่ยปากถามออกไป
มู่หญงแสร้งทำเป็นถอนหายใจหนักหน่วง “พวกข้าเข้าใจดีว่าท่านแม่ทัพเป็นคนสำคัญมีหน้ามีตา คงไม่อาจลดตัวลงมารับนางที่หอนางโลมได้ แต่อย่าได้กังวลไป อย่างไรถ้าเสิ่นฉางซีทนไม่ไหว ข้าน้อยจะให้บรรดานายบำเรอที่หอวสันต์รัญจวนช่วยถอนพิษให้นางเอง” “เจ้ากล้า!” “สามวัน” มู่หญงคลี่ยิ้มอ่อนหวานราวกับใบหน้าของสตรี “ท่านแม่ทัพมีเวลาสามวัน” สวินเย่ว์พุ่งตัวไปหมายคว้าร่างของเสิ่นฉางซี แต่กลับมีกระแสลมหมุนพัดแรงใบไม้ปลิวว่อนคล้ายเกราะกำบัง เขาชักกระบี่ออกมาฟาดกรีดอากาศแหวกเป็นสองส่วน แต่เบื้องหน้าไร้เงาผู้คนแล้ว เกาเทียนฉียืนอ้าปากค้างอยู่นาน พอได้สติวิ่งมายืนหมุนตัวไปมาจุดที่เสิ่นฉางซีเคยอยู่แต่ยามนี้ไม่มีเงาคน แม้กระทั่งคนของพรรคเงาอสูรที่เมื่อครู่ปรากฏกายก็หายวับไร้ร่องรอยราวกับภูตผีวิญญาณร้าย “หายไปได้อย่างไรกัน” “วิชาของพวกพรรคมาร!” สวินเย่ว์กัดฟันกรอด เขาตวัดสายตามองทางเการุ่ยเฉียง “อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก!” “ทำไมรึ! ข้าจะไปช่วยฉางซี” “นางเป็นของข้า! ไม่ต้องให้เจ้าช่วย” “เป็นของเจ้
เมื่ออยู่ในกองทัพก็มีเรื่องกล่าวขานถึงความโหดเหี้ยม เพียงแค่เอ่ยชื่อ ‘แม่ทัพสวินเย่ว์’ ศัตรูหวาดกลัวจนตัวสั่น เขาสามารถฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา ยังมีคนเล่าว่า เขาหิ้วศีรษะแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามกลับมาถวายฮ่องเต้ เพียงแค่นี้นางก็กลัวจนตัวสั่นงันงก ก่อนแต่งงานเรียนรู้เรื่องในห้องหอ แต่นางกลับยิ่งหวาดกลัว “รั่วเวย เจ้าเป็นอะไรไป” หลีเหว่ยเห็นสีหน้าซีดเผือดของนางแล้วก็เป็นกังวลนัก ปรายตามองรอบกายไม่มีหญิงรับใช้อื่นใดอยู่ใกล้ เขาจึงลุกขึ้นเดินไปนั่งข้างนาง ใช้หลังมือแตะหน้าผากของนางเบาๆ แล้วยื่นมือไปเกี่ยวปอยผมทัดใบหูของนางนิ้วมือของหลีเหว่ยเรียวงามนัก ตั้งแต่นางเห็นเขาครั้งแรก บุรุษผู้นี้สุภาพอ่อนโยน แต่งกายเรียบง่ายแต่ตัดเย็บอย่างประณีต พูดจาสุภาพ ใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่เสมอ ยามนั้นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวเพิ่งพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่นาน จะมองหน้าบุรุษโดยตรงก็ไม่กล้า เขาเป็นอาจารย์สอนเพลงพิณ นางก็เอาแต่มองนิ้วมือของเขา รอจนเขาเผลอจึงได้กล้ามองใบหน้าของเขา ดวงใจเผลอไผลคิดไปเรื่องอื่น เหตุใดสามีของนางไม่อ่อนโยนเช่นนี้บ้าง นางจะได้ไม่หวาดกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ และมีลูกให้เขาได้เสียทีโดยไม่รู้ตัว จา
สวินเย่ว์ที่กลับเข้ามาเรือน หลายวันมานี้เขายุ่งจนแทบไม่ได้เห็นหน้าคนในครอบครัว บิดามารดาล้วนชินชากับเขาแล้ว แต่ภรรยาของเขาเล่า ทั้งที่ตั้งใจจะหาเวลาชดเชยให้นาง จนป่านนี้เขายังไม่ได้ใกล้ชิดนางเลย แค่คิดถึงอาการตัวเกร็งจนเป็นตะคริวของจางรั่วเวยแล้ว เขาก็ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง ตัวเขาเองรู้สึกสงสารและเห็นใจนางที่ต้องมาแต่งงานกับบุรุษหยาบกระด้างเช่นเขาชายหนุ่มเห็นภรรยาสาวยืนนิ่งงันอยู่ในห้องพลันเกิดความสงสัย เขายื่นมือไปแตะไหล่นางเบาๆ แต่หญิงสาวกลับสะดุ้งสุดตัว เบิกตากว้างมองเขาอย่างตื่นตระหนก“รั่วเวย เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายรึ” สวินเย่ว์ถามอย่างกังวล ปกติตนเองแทบไม่เคยอยู่จวน กับภรรยาที่แต่งงานมาสามปีพบหน้ากันแทบนับครั้งได้ ยังไม่ทันชดเชยวันเวลาให้นาง เขากลับกำลังจะไปช่วยหญิงอีกคนที่นับได้ว่าเป็นภรรยาของเขาเช่นกันความรู้สึกผิดต่อจางรั่วเวยแล่นเข้ามากระทบหัวใจ แม้ผู้อื่นมีภรรยาเอก ภรรยารอง อนุอีกนับไม่ถ้วนและด้วยฐานะของเขาย่อมทำได้ไม่ผิดจารีต แต่เขายังมีมโนธรรมอยู่ เขารู้สึกผิดต่อรั่วเวยไม่น้อย นางเป็นฮูหยินที่ดี ดูแลปรนนิบัติพ่อแม่สามีไม่มีขาดตกบกพร่อง เรื่องต่างๆ ในจวนล้วนได้นางดูแลเป็นร
‘หากเจ้ายังดื้อรั้น ก็อย่าหวังว่าจะได้พบลูกของเจ้าอีก’‘นายหญิงซู’ นางมองไปทิศทางที่ได้ยิน แม้จะเริ่มเห็นเลือนราง แต่ยังพอมองเห็นว่าคนที่กล่าวมีสีหน้าเช่นไร นางจึงไม่กล้าต่อรองสิ่งใด ‘ข้ายินดีทำทุกอย่าง แต่อย่าทำร้ายลูกทั้งสองของข้า’‘ลูกทั้งสอง?’ ซูหลี่น่าหัวเราะเยาะหยัน ‘เจ้ายังเรียกเด็กคนนั้นว่าลูกรึ เขาเป็นถึงองค์ชายน้อย หรือเจ้าหวังตำแหน่งในวังหลังแล้วใช้เด็กมาเป็นเครื่องมือ’‘ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น’ นางส่ายหน้าไปมา ‘ข้าขอร้องท่าน อย่าทำอะไรเด็กๆ’‘ได้ ข้าจะเมตตาเจ้าไม่ทำอะไรเด็กสองคนนั้น แต่เจ้าอย่าดื้อรั้นนัก ปล่อยให้ผู้อื่นทำงานได้สะดวกเถอะ’เสิ่นฉางซีจำใจให้ผู้อื่นปรนนิบัติอาบน้ำขัดผิวและแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่นางไม่เคยสวมใส่ แล้วพานางมานั่งบนเตียงในห้องพิเศษของหอวสันต์รัญจวน กลิ่นกำยานในห้องทำให้นางอึดอัด นางพยายามกระถดกายหนีมือที่ยื่นมาแตะต้องกายนาง เพียงสัมผัสแผ่วเบาแต่ทำให้นางต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางออกมา เสียงหัวเราะเงียบหายไป ไม่มีมือมาสัมผัสนางอีก หญิงสาวพยายามมองเงาร่างที่ก้าวเข้ามาใกล้ แม้มองเห็นไม่ชัด แต่พอคาดเดาได้ว่าผู้ใดก้าวมาหยุดยืนเบื้องหน้านาง ปลายนิ้วชี้แตะริ
“เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้คิดมีอนุหรือรับหญิงใดเข้ามาอีก” เขาสารภาพเสียงเบา “เจ้าก็รู้ ข้าไม่คุ้นเคยกับสตรี เป็นข้าต่างหากที่เกรงจะเอาใจใส่เจ้าไม่เพียงพอ”“ท่านพี่ใส่ใจข้าดียิ่ง” เพราะรู้ว่าอยู่กับเพียงลำพัง นางจึงยื่นมือไปไล้เส้นผมของเขาเบาๆ “หากท่านพี่ไม่ใส่ใจข้า ในครรภ์ของข้าจะมีเด็กอยู่ได้อย่างไร”“เจ้าพูดให้ข้าสบายใจอย่างนั้นหรือ?” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าใช้ชีวิตอยู่กับทหาร อยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าควรดูแลเจ้าอย่างไร”“ท่านพี่ดูแลข้าดียิ่งจริงๆ” นางหัวเราะเบาๆ ไม่คิดว่าเขาจะกังวลกับเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ “เมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์หยางหยาง ข้าอยู่เพียงลำพัง แต่ครั้งนี้มีท่านพี่อยู่ด้วย กลางดึกข้าอยากถ่ายเบา ท่านพี่ก็ช่วยประคองข้าไม่เคยแสดงท่าทีรังเกียจหรือรำคาญ มือเท้าของข้าก็เป็นท่านที่คอยบีบนวดอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นจะมองท่านพี่เป็นคนเช่นไร”“เรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น” เขาทำหน้ายุ่ง เขาหาได้ใส่ใจว่าผู้ใดจะคิดกับเขาเช่นไร นางอุ้มท้องลูกของเขา เขาย่อมต้องดูแลนาง มีอะไรผิดกัน ฮึ!“เล็กน้อยสำหรับท่านพี่แต่สำคัญมากสำหรับข้า” นางเชื่อแล้วว่าเขาไม่คุ้นเคยกับสตรีจริงๆ “มิใช่บุรุษทุกคนจะยอมทำเ
“เอาไปศึกษาดู” สวินเย่ว์ผลักหนังสือเล่มนั้นออก แต่ฝูหรงยัดใส่อกเสื้ออีกฝ่ายซ้ำยังจับสาบเสื้อให้อย่างดีราวกับไม่ได้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ “เรื่องฉลองวันเกิดนาง ข้าย่อมต้องมีส่วนร่วม อย่างไรนางก็เป็นผู้มีคุณของข้าและฝูเจี๋ย” “รู้แล้ว” “เจ้ามาปรึกษาแค่นี้รึ” “อืม” “เช่นนั้นก็ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักกาสิ” “ไม่ ข้ามีธุระ” “อ้าว” “ขอตัว” “เฮ้ย!” ฮ่องเต้ฝูหรงได้แต่อ้าปากค้างมองแผ่นหลังของแม่ทัพสวินเย่ว์เดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็วนี่เพราะเป็นสหายใช่ไหม? ถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้หลายวันมานี้ เสิ่นฉางซีเห็นท่าทางแปลกๆ ของสวินเย่ว์ จะเรียกว่าแปลกก็ไม่เชิงนัก เพียงแต่มีบางอย่างที่นางรู้สึกว่าเขาปิดบังนางอยู่ หญิงสาวหยุดหน้าห้องหนังสือ นางลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป สวินเย่ว์เงยหน้าขึ้นหมายจะตำหนิคนที่เข้ามา แต่พอเห็นว่าเป็นเสิ่นฉางซี เขารีบลุกขึ้นเข้าไปประคองภรรยารัก เป็นเพราะเขาออกคำสั่งไว้ หากนางมาหาเขา สามารถเข้ามาได้ไม่ต้องให้คนรายงาน
“จิ้นฝานเก่งมากใช่ไหมถึงได้เป็นองครักษ์ของอันอัน” “เจ้าอยากเป็นองครักษ์?” “ข้าอยากปกป้องอันอัน” สวินเย่ว์ตักน้ำราดตัวลูกชาย หยิบผ้ามาซับน้ำให้ ตอนเกิดไม่ได้เลี้ยงดู มาชดเชยเอาตอนนี้แทนก็แล้วกัน “ท่านพ่อ!” เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายก็ขึ้นเสียง “พ่อเจ้าเก่งกว่าเจ้าองครักษ์นั่นเยอะ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าจิ้นฝาน ว่าแต่เจ้าจะทนไหวเรอะ” “ข้าฝึกท่านั่งม้าตั้งแต่ห้าขวบแล้ว” หยางหยางคุยโต เมื่อครั้งที่ติดตามมารดาไปพรรคเงาอสูร ระหว่างมารดาปรุงอาหารอยู่นั้น เขาเล่นสนุกกับคนในพรรคมาร ได้ฝึกท่าพื้นฐานต่างๆ มาบ้าง “เจ้าไม่ค่อยเชื่อฟังคำสั่งข้านี่” เขาจัดการชำระล้างตนเองให้หมดกลิ่นเหงื่อ แต่กระนั้นยังได้ยินเสียงลูกชายบ่นพึมพำ “ท่านยังไม่ค่อยเรียกข้าว่าลูกเลยนี่” “ก็” จะบอกว่าลืมก็กลัวลูกน้อยใจ “ลูกผู้ชายเขาพูดคุยกันเช่นนี้แหละ” “ก็ได้ ข้าเชื่อท่านก็ได้” “หยาง” “อืม” คนเป็นลูกขานรับห้วนๆ เหมือนกับบิดาที่ชอบเ
“เรื่องเอาใจสตรี ถามเสด็จพ่อของข้าก็ได้” อันอันแย้มยิ้มทำตาวิบวับไร้เดียงสา “ฮ่องเต้มีสนมมากมาย เมื่อถึงวันเกิดของผู้ใดก็จัดสรรของกำนัลให้กงกงนำไปมอบให้ทุกครั้ง” ‘ต้องปรึกษาเรื่องนี้กับคนเช่นนั้นนะรึ? จะได้เรื่องหรือไม่เล่า’ “ไปหาแม่บุญธรรมกันเถอะ ข้าหิวมากเลยพี่หยางหยาง” “อืม”หยางหยางพยักหน้ารับ หันไปสบตากับบิดาอีกครั้ง เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือไล่ก็เข้าใจความหมาย เขาหันหลังย่อตัวลงให้อันอันปีนขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย เด็กน้อยก็ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะทันที สวินเย่ว์ได้แต่นวดขมับตนเองไม่รู้จะเตือนลูกชายอย่างไรไม่ให้ตามใจองค์ชายน้อยนัก แต่ช่างเถอะ ประเดี๋ยวมี ‘น้อง’ ของตัวเองแล้วก็คงเลิกใส่ใจองค์ชายฝูเจี๋ยไปเอง “ช่วงนี้ในวังเป็นอย่างไร” สวินเย่ว์เอ่ยถามองครักษ์ที่กำลังจะเดินตามองค์ชายฝูเจี๋ยไป จิ้นฝานชะงักเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “ในวังเรียบร้อยดีขอรับ” “ดี” เขาพยักหน้ารับ “ดูแลเจ้าเด็กนั่นดีๆ อย่าไปตามใจนัก” “ขอรับ” จิ้นฝานได้แต่ลอบโอดครวญในอก เขาเป็นองครักษ์ไม่ต่างจากคนรับใช้ จะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามเจ้านา
สวินเย่ว์เลิกคิ้วรอถ้อยคำจากริมฝีปากสีชาดของหญิงสาว ไม่น่าเชื่อเลยว่า หัวใจดุจน้ำแข็งของเขาจะถูกหลอมละลายอยู่ในอุ้งมือของนางได้ “ข้าชอบท่านที่สุด” นางยื่นริมฝีปากไปประกบริมฝีปากที่เจือรสสุราชวนมึนเมา วงแขนแข็งแกร่งรวบร่างนางเข้ามากอดแนบแน่น เขาจูบไล้กลีบปากของนางช้าๆ แล้วแทรกเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดด้วยเสน่หาลึกล้ำ ทำเอาร่างของนางอ่อนระทวยจนต้องเอนกายเข้าหา เขาจึงยอมละริมฝีปากแล้วเลื่อนมาประทับจูบที่รอยแผลเป็นของนางอย่างทะนุถนอม พลางกระซิบเสียงพร่า “ข้าชอบเจ้ามากกว่า” ‘แต่ข้ารักท่าน’ เสิ่นฉางซีไม่ได้พูดในสิ่งที่ใจคิด แต่นางเชื่อว่าเขารับรู้เสียงในหัวใจของนางได้ บางครั้งการกระทำสำคัญกว่าคำพูด เห็นทีว่าประโยคนี้จะใช้กับบุรุษตัวโตเอาแต่ใจได้ดี สวินเย่ว์ก้มมองหญิงสาวที่ช้อนตาขึ้นมองเขาพอดี สิบสามปีก่อน เขาถูกดวงตาสุกใสของนางตราตรึงจนยากจะลืมเลือน หนึ่งครั้งที่เขาช่วยชีวิตนาง หนึ่งครั้งที่นางช่วยชีวิตเขา ชะตานำพาใจสองดวงให้พานพบและผูกพัน เกิดสายใยโยงหัวใจสองดวง แม้ต้องไกลห่างก็นำพาให้หวนคืน ลมหายใจของนาง ไออุ่นจากกายของเขา ทุกส
“ไมต้องเขินอายไป เรื่องแบบนี้ข้ารู้ว่าพูดยาก แต่ข้าเป็นคนคุยง่าย เจ้าอยากแต่งงานใหญ่โตกว่าท่านแม่ทัพสวินเย่ว์ ข้าก็จัดการให้เจ้าได้”“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า”“ก็ข้าพูดออกไปเมื่อครู่ไง” นางทำตาปริบๆ “แต่งกับข้าเถอะน่า ข้าอยากได้ยินคนบ่นข้างหูแบบนี้ทุกวัน”“นี่เจ้าชอบข้าเรอะ!” เขาควรรู้สึกยินดีใช่ไหมที่สตรีประหลาดอย่างซูหลี่น่ามาชอบเขา“อืม” นางพยักหน้า “อยู่กับเจ้าก็เหมือนเลี้ยงนกแก้วให้มันส่งเสียงเจื้อยแจ้วข้างหู”“เจ้ากล้าเปรียบเทียบข้ากับนกแก้วเรอะ!”“อืม” นางพยักหน้าขึ้นลง “ไม่ต้องอาย ข้าจะไปสู่ขอเจ้าเอง”ซูหลี่น่านั่งลงบนตักของเกาเทียนฉี สะโพกกลมกลึงบดเบียดเย้ายวนจนส่วนที่หลับใหลตื่นฟื้น นางยิ้มเจ้าเล่ห์ในขณะที่เกาเทียนฉีได้แต่หลับตาโอดครวญอยู่ในอกที่ไม่สามารถบังคับ ‘ส่วนนั้น’ ของร่างกายได้เลยเอาเถอะ! บางทีชีวิตของเขาอาจรอผู้หญิงบ้าๆ อย่างนางอยู่ก็เป็นได้.เด็กชายวัยเจ็ดขวบยืนตาโตมองมารดาของตนในชุดสีแดงงดงามจับตา เสิ่นฉางซีอยู่ในชุดเจ้าสาว แม้มีผ้าคลุมหน้าอยู่ก็รับรู้ได้ว่าถูกลูกชายจ้องมองจนรู้สึกเขินอาย “เลิกมองแม่ได้แล้ว” “ท่านแม่สวยมาก” หยางหยางพูดขึ
เสิ่นฉางซีหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยื่นหน้าไปประทับริมฝีปากกับชายที่นางรัก นางเคยบอกตัวเองไม่ให้รักชายผู้นี้ แต่หัวใจกลับทรยศนางไม่เชื่อฟัง แม้จะเห็นภาพที่เขาสวมชุดเจ้าบ่าวแต่งงานกับผู้อื่น หัวใจของนางก็ยังรักเขาเรื่อยมา ความรักที่นางเก็บซ่อนไว้ในอกมาตลอดสิบสามปี ความรักที่นางไม่คิดจะให้เขาได้รับรู้ ทว่าโชคชะตานำพาเขากลับมาให้ได้พบกับนาง ด้ายแดงผูกมัดไม่ให้นางกับเขาได้คลาดกันไปไกลอีกแล้วในวันที่เสิ่นฉางซีอายุย่างยี่สิบสี่ นางได้ครอบครองชายที่รัก บุตรชายอันประเสริฐและตำแหน่งองค์หญิงอันเล่อ แต่ไม่มีสิ่งใดมีความหมายมากเท่าชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ริมฝีปากอุ่นของเขาย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนี้ไป นางจะไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว.บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีแดงมงคลอยู่บนหลังอาชางามสง่า ใบหน้าคมคายนั้นประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ยากจะได้เห็นนัก ใครเลยจะรู้ว่าแม่ทัพสวินเย่ว์ยามยกมุมปากเป็นรอยยิ้มจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้ บรรดาหญิงสาวที่มาชมขบวนพิธีแต่งงานต่างพากันใจสั่นไหว ไม่คาดคิดว่าบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดเหี้ยมร้ายกาจในสนามรบจะมีเสน่ห์ถึงเพียงนี้ บนชั้นสองระเบียงของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หญิงสาวในชุดสีม่วงเย้ายวน ม
“เหตุใดไม่ได้เล่า ข้าจะได้เป็นพี่น้องกับพี่หยางหยาง” อันอันเบ้ปากทำหน้าจะร้องไห้เสิ่นฉางซีส่ายหน้าไปมาแล้วพูดขึ้น “หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสามัญชน ไม่อาจเป็นแม่บุญธรรมให้องค์ชายฝูเจี๋ยได้เพคะ”อันอันทำหน้าเศร้าแล้วยื่นมือไปโอบรอบคอบิดา ฝูหรงจึงตบหลังเด็กน้อยเบาๆ อาจกล่าวได้ว่าเขารักลูกลำเอียงก็ได้ มีเพียงฝูเจี๋ยที่เขาโอบอุ้มเช่นนี้ บุตรชายบุตรสาวหลายคนของเขามักไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดนัก“ได้สิ” ฝูหรงเอ่ยขึ้น “นางไม่ใช่สามัญชนธรรมดา นางเป็นถึงบุตรสาวคนเดียวขององครักษ์เสิ่นที่ยอมใช้ชีวิตปกป้องอดีตรัชทายาท โดยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวสวมเสื้อคลุมของรัชทายาท เบี่ยงเบนนักฆ่า ให้มีโอกาสหลบหนีรอดชีวิตมาเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าเรื่องที่นางปิดบังมานานจะมีผู้อื่นล่วงรู้ นางมองสีหน้าของฮ่องเต้ แล้วย้ายสายตามองไปทางสวินเย่ว์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กัน “พวกท่านรู้? รู้ว่าข้าเป็นใคร?”“เจ้าอย่าได้โกรธสวินเย่ว์ในเรื่องนี้” ฝูหรงรีบพูดขึ้น แต่สวินเย่ว์หัวคิ้วกระตุกที่ถูกป้ายความผิดให้ แท้จริงเป็นเขาทั้งสองคนที่ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และจากที่ให้คนไปสืบประวัตินางจ
หยางหยางจ้องมองอันอันที่เวลานี้แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามราวองค์ชายน้อย เอ่อ...ไม่สิ อันอันเป็นองค์ชายอยู่แล้วนี่น่า “พี่หยางหยาง” อันอันยื่นมือไปกระตุกมือของหยางหยางเบาๆ ดวงตากลมมีแววกังวลใจ “เจ้าเป็นองค์ชายจริงๆ สินะ” หยางหยางเกาศีรษะแก้เขินไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน แม้รู้อยู่เต็มอกว่าอันอันคือองค์ชายฝูเจี๋ย แต่ในความรู้สึกของเขา อันอันคือน้องชายตัวน้อยที่คอยจับมือของเขาตลอดเวลา “พี่หยางหยางไม่รักข้าแล้วหรือ?” เด็กน้อยทำตาปริบๆ น้ำเสียงสั่นเครือทำให้เด็กชายตัวโตกว่ายื่นมือไปโอบเจ้าตัวเล็กมากอดแล้วตบหลังเบาๆ “เจ้าเป็นน้องชายของข้า! และข้าจะเป็นพี่ชายของเจ้าตลอดไป!” หยางหยางให้คำสัญญา สวินเย่ว์มองดูเด็กชายต่างวัยแล้วกลอกตามองบน “ลูกชายเจ้ามันเจ้าเล่ห์!” “หือ?” ฝูหรงที่มารับอันอันเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมา “นั่นเรียกมิตรภาพระหว่างลูกผู้ชาย” “เฮอะ!” สวินเย่ว์ทำเสียงรำคาญในลำคอ เห็นชัดว่าเจ้าเด็กขี้แยนั่นเหนี่ยวรั้งหยางหยางด้วยท่าทีอ่อนแอ เจ้าเด็กนั่นก็ใจอ่อนเหมือนแม่ไม่มีผิด เห็นใครเดือดร้อนก็จะยื่นมือช่วยเหล