ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสี
ที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรี
ในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทน
ที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันที
เมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมาก
นางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกาย
นางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้ง
ชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยขาด แต่งกายงดงาม ชวนให้ผู้พบพานต้องตะลึงลานจ้องมอง เจียงฮองเฮาจำอีกฝ่ายได้ดี เพราะเพียงสองปีเท่านั้น จากสนมยศต่ำกลับทำให้ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน ประทานโอกาสให้โอบอุ้มครรภ์มังกร กระทั่งคลอดธิดาตัวน้อยออกมา
หมิงเฉิงเองก็จำชิงจิ้งผู้นี้ได้ เพราะอีกฝ่ายมักจะโปรยเสน่ห์ใส่เขา ทั้งยั่วยวนยั่วเย้า เข้าหาเขาด้วยวิธีสารพัด งัดมารยาทุกกระบวนท่า สุดท้ายด้วยความรำคาญ เขาจึงตอบรับสกุลชิงที่เสนอตัวสวามิภักดิ์ โดยการแต่งคุณหนูชิงนามอวี่เยียนเข้ามา เพื่อตลบหลังตัดหน้าชิงจิ้งมิให้เหิมเกริมคิดปีนเตียงของเขา
ชิงเฟยเข้ามายอบกายทำความเคารพเจียงฮองเฮา ทักทายตามยศศักดิ์อย่างพินอบพิเทาสำเนียงหวานล้ำ ยังไม่ลืมทักทายองค์รัชทายาทและพระชายา เสวนาด้วยถ้อยคำรื่นหู ปราศจากวี่แววเย่อหยิ่งให้เห็น
“วันนี้อากาศดีเหลือเกินเพคะ หม่อมฉันจึงพาอิงเอ๋อร์ออกมาเดินเล่นเพคะ” ชิงเฟยกล่าวเสียงนุ่ม อุ้มธิดาตัวน้อยมาแนบอกอย่างรักใคร่ทะนุถนอม ทำท่าคล้ายยื่นขึ้นหน้า เผื่อว่าเจียงฮองเฮาจักอุ้มไปชื่นชม
เจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ชิงเฟยพาลูกออกมารับแสงแดดเสียบ้าง ย่อมดีต่อสุขภาพ สมควรแล้ว”
พระนางเพียงเสวนาตามมารยาทเท่านั้น หาได้คิดอยากจะอุ้มเด็กน้อยผู้นี้ไม่ ด้วยไม่ต้องการเข้าแผนการใครให้ย่ำแย่ เพราะไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะใช้บุตรเป็นเครื่องมือกำจัดกัน หากอุ้มอยู่ดีๆ แล้วเด็กตายคามือ คงไม่แคล้วเดือดร้อนกันหมด แล้วใครจักคอยค้ำชูหมิงเฉิงกับหมิงจินเล่า
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งเฉยไม่คิดอุ้มธิดาตน ชิงเฟยจึงส่งเด็กน้อยคืนให้นางกำนัลคนสนิท ในใจลอบแค่นเสียงหยันแล้วสบถว่า
เฮอะ! ฉลาดเหลือเกิน...รู้ทันไปหมด น่าเบื่อยิ่ง!
การสนทนาตามมารยาทพึงมียังคงดำเนินต่อไป ระหว่างเจียงฮองเฮากับชิงเฟย ตามประสาของสตรีผู้เป็นภรรยาเอกและอนุภรรยา ภาษาดอกไม้ที่ทั้งสองโปรยใส่กัน โม๋เอ๋อร์เพียงเอียงหน้ารับฟังด้วยความสนใจ
เมื่อครั้งที่อยู่จวนโหว นางก็ชอบฟังวั่นหรงคุยกับสตรีหลังเรือนของนายท่านโหวเหมือนกัน สนุกดี!
ในขณะที่บรรยากาศของฮองเฮากับสนมในศาลากำลังดำเนินไปเหมือนเช่นทุกครั้ง หมิงเฉิงที่ยืนนิ่งเคร่งขรึมอยู่เงียบๆ พลันเหลือบไปเห็นนางกำนัลของชิงเฟย
ดวงตาคมปลาบที่ฉาบทับด้วยความเย็นชาแต่ทว่ารวดเร็วปานสายฟ้าผ่าฟาดลงมา ทันได้เห็นสิ่งหนึ่งจากนางกำนัล
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามก้มหน้าหลุบตา ซุกซ่อนบางสิ่งเอาไว้สุดกำลัง หากแต่ก็ไม่อาจรอดพ้นดวงตาคมกริบฉับไวของหมิงเฉิงไปได้
เขาเห็นนางกำนัลผู้นี้ มีนัยน์ตาสีเขียว...
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
คำโปรยแหงนหน้ามองจันทรา พินิจฟ้าดาราเร้นเดือนเพ็ญจันทร์งามเด่น ทว่าบีบเคล้นรัดรึงใจคืนนั้นก็เช่นนี้ จันทร์ดวงนี้สว่างไสวครั้นตื่นมาแล้วหลับไปเห็นเพียงเจ้าดั่งเงาใจ เร้นจันทรา...*********ครั้งที่แต่งงานกัน ท่านก็ไม่ยอมร่วมหอยั่วยวนเท่าใด ก็ไม่เคยได้ผลเผยโฉมต่อหน้า ท่านก็ไม่เคยยลข้าอดทนเนิ่นนาน ให้ท่านเหลียวแลแล้วเหตุใดจู่ๆท่านจึงกลายเป็นปีศาจราคะ จับข้ากดไม่ยอมปล่อยเล่า!******บทนำดินแดนสามภพทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพปรโลก มีตำนานเล่าขานมากมาย ทั้งเรื่องปีศาจและเทพเซียน ล้วนเล่าขานได้น่าอัศจรรย์ใจทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นเทพและปีศาจจริงๆ จึงมิรู้ได้ว่าตำนานเหล่านั้นจริงเท็จเท่าใด สวรรค์นรกมีจริงไหมใดๆ ล้วนเหนือความคาดหมาย ในความไม่รู้นั้นกลับมีสรรพสิ่งเหนือสามัญมากมายนับไม่ถ้วนหนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นความรักลึกซึ้งตราตรึงใจ ของผู้ที่ถูกเรียกว่า เทพปีศาจ (โม๋กุ่ยเสิน)[1][1]魔鬼神 Móguǐ shén เทพปีศาจ*********อารัมภบทนางมีนามว่าโม๋เอ๋อร์ แซ่เฉิน เกิดและเติบโตในป่าใหญ่อันลึกลับได้สิบสองปี กระทั่งมีระดู เข้าสู่วัยสมสู่สืบพันธุ์ นางจึงตัดสินใจออกจาก
นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบเรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อเนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้นเพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมายเหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดายใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม
ห้าปีต่อมา...โม๋เอ๋อร์ในวัยสิบสองปีเริ่มมีอาการผิดปกติบางประการกับร่างกาย นางเป็นไข้หวัดอาการประหลาด ร่างกายอ่อนแอเพราะลมปราณและหลอดเลือดเปิด ทำให้ความร้อนความเย็นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและลึกกว่าที่เคยปกติอาการไข้หวัดก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจามน้ำมูกไหล แต่ครานี้นางกลับมีอาการแปลกไป เดี๋ยวมีไข้ตัวร้อน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นตัวเย็น สลับกันไปมาอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอาหาร ปากขมคอแห้ง มีความร้อนเย็นสลับไปสลับมา รู้สึกรุ่มร้อนไปหมดระหว่างที่ย่ำแย่ด้วยอาการหวัดประหลาด ก็เจ็บท้องมาก ทั้งยังมีเลือดออกจากส่วนสงวนทำให้หว่างขาแดงฉานจนน่ากลัวแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่า การมีระดู และไข้หวัดที่เป็นก็คือไข้ทับระดู[1]แต่ต่อมานางก็เริ่มระลึกได้จากการสังเกตสัตว์ป่าเพศเมียบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงป่า หมาป่า ที่ส่วนสงวนของพวกมันมีลักษณะบวมและมีเลือดออก เฉกเช่นนางในยามนี้ และต่อมาพวกมันก็มีการสมสู่กับเพศตรงข้าม แล้วก็ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยจนเต็มผืนป่าโม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจในทันใด นางจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างตะลึงงันครู่ใหญ่หนอนน้อยในดักแด้กลายร่างเป็
พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภาโม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใดด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้นเมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือดผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกันเมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมันเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังม
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
ใกล้ยามเที่ยงวัน นภากว้างไร้หมู่เมฆลอยเคลื่อน ตะวันฉายจึงแผดแสงแรงกล้าหมิงเฉิงจึงเปรยกับเจียงฮองเฮาว่าควรกลับตำหนักส่วนพระองค์ เพื่อพักผ่อนถนอมพระวรกาย เขาจะได้พาใครบางคนกลับวังบูรพาเสียทีทว่าผู้ถูกห่วงใยเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปเพียงต้องการอยู่กับลูกชายอีกสักหน่อยและยามนี้ ก็ให้รู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนเจียงเฟิ่งกำลังชื่นชอบการสนทนากับโม๋เอ๋อร์ยิ่งนัก ดวงตากลมโตพิสุทธิ์สดใส กอปรกับกิริยาน่ารักไร้เดียงสา แม้แต่สตรีด้วยกันที่ได้ชื่อว่าเย็นชาเหลือเกิน ยังหัวใจละลาย คล้ายกับได้สายน้ำเย็นฉ่ำของอีกฝ่ายรินรดจนชุ่มชื่นโพรงอก“วันนี้ อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันเป็นเพื่อนแม่ก่อนเถิด” สุรเสียงนุ่มนวลตรัสอย่างเป็นกันเองกับคนงามด้านซ้ายที่ประคองมือกันไปตามทางเดินกลางอุทยาน“ย่อมเป็นเช่นนั้นเพคะ” โม๋เอ๋อร์มีหรือจะปฏิเสธอาหารเลิศรส นางรีบตอบรับเสียงใส “หากเสด็จแม่มิได้ชักชวน เกรงว่าหม่อมฉันจะเป็นฝ่ายเสียมารยาทเอ่ยปากขอร้องเสียแล้ว”เจ้าแห่งวังหลังถึงกับแย้มสรวล “เจ้านี่นะ!”รอยยิ้มสว่างจ้ายังคงประดับใบหน้าเรียวเล็กจนผู้จ้องมองรู้สึกแสบตาไปหมด ดวงตาคู่คมของหมิงเฉิงเข้มลึกสุดจะหยั่ง ทั้งยังรู้สึกไม
ภายในศาลาริมบึงขนาดใหญ่ การสนทนาระหว่างสตรีดำเนินอีกเพียงครู่ชิงเฟยจึงกล่าวลาแล้วล่าถอยออกไป พร้อมธิดาตัวน้อยและนางกำนัลคนสนิทร่างสูงของหมิงเฉิงยังคงถูกตรึงนิ่งขึงอยู่กับที่ ไร้ซึ่งผู้ใดสังเกตเห็น มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้เขาเห็นนางกำนัลคนสนิทที่มากับชิงเฟยมีนัยน์ตาสีเขียว และมิใช่เพียงชั่ววูบเดียว ทว่าหลายชั่วลมหายใจเลยก็ว่าได้สตรีนางนี้มีใบหน้าเรียวยาว ผิวขาวราวหิมะ ถึงแม้จะอยู่ในชุดสีครามอ่อนจางของตำแหน่งนางกำนัล หากแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบกดข่มผู้คน นางพยายามหลุบตาหลบเลี่ยง หากแต่เขาก็ยังมองได้ทันท่วงที และเห็นชัดเจนดินแดนทั้งสามภพภูมินั้น มีสวรรค์และนรกแยกกันมิอาจบรรจบ เหล่าทวยเทพและปีศาจต่างก็แยกกันอยู่มิอาจค้นพบมีเพียงภพมนุษย์เท่านั้น ที่เหล่าภูตผีและปีศาจร้ายต่างเผ่าพันธุ์ อาศัยอยู่แบบแทรกซึมทั่วไปหมดมนุษย์หรือสรรพสัตว์ ที่ต้องการละทางโลกเพื่อเป็นเซียน บำเพ็ญเพียรบารมีจนถึงขั้นได้เป็นเซียนก็ยังอาศัยอยู่ในภพนี้มนุษย์หรือสรรพสัตว์ที่มีจิตใจใฝ่อกุศล บำเพ็ญเพียรเพื่อมีพลังที่ชั่วร้ายจนกลายเป็นมาร แม้กระทั่งเทพหรือเซียน ถ้ามีจิตใจชั่วร้ายก็กลายเป็นมาร พวกนี้ก็อยู่
ยามทิวาตะวันเคลื่อนแสงแดดกล้า ขบวนเสด็จของเจียงฮองเฮาจึงเลือกที่จะเดินไปนั่งจิบชาในศาลากลางสวนบุปผชาติ รอบด้านล้วนงดงาม เบื้องหน้าคือบึงบัวหลากสีที่โต๊ะกลมกลางศาลา โม๋เอ๋อร์ดูแลรินน้ำชาให้แม่สามีอย่างนอบน้อม เจียงเฟิ่งรับการปรนนิบัติจากลูกสะใภ้อย่างยินดี สตรีทั้งสองแย้มยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่นเปี่ยมไมตรีในขณะที่หมิงเฉิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่นิ่งๆ ที่ริมศาลาด้านบึงบัว ทำตัวเป็นบุตรชายที่ดีและสามีผู้ใจเย็นรอคอยภรรยากินขนมจิบชาอย่างอดทนที่ด้านนอกศาลา ถัดจากกลุ่มนางกำนัลและขันทีที่ยืนเรียงรายอย่างสงบเพื่อรอรับใช้ มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยดังขึ้น เสียงนั้นเรียกสายตาของคนในศาลาได้ทันทีเมื่อทุกคนในศาลาหันไปมองทางต้นเสียง จึงได้เห็นเป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในอาภรณ์สีชิงพลิ้วไหวประดับปิ่นหรูหรา แต่งหน้าสีหวาน ใบหน้าโฉมสะคราญแขวนรอยยิ้มละมุนตา ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวานนอบน้อมถ่อมตนเป็นอย่างมากนางเดินนวยนาดแช่มช้ามาทางศาลา พร้อมนางกำนัลคนสนิทที่อุ้มเด็กน้อยน่ารักไม่ห่างกายนางคือพระสนมชิงเฟย นามชิงจิ้งชิงเฟยผู้นี้ เดิมทีเป็นคุณหนูผู้โดดเด่นที่สุดแห่งสกุลชิง และมักจะเข้าร่วมงานวังหลวงทุกครั้งไม่เคยข
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื