ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกิน
ซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่ว
เรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อย
แน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไป
หมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?
พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ว
วันนี้นับได้ว่าอากาศดียิ่งนัก มวลบุปผาส่งกลิ่นหอมกรุ่น แมกไม้เขียวชอุ่มชุ่มชื่น ภายใต้ทัศนียภาพที่สวยงาม มีบรรดาองค์หญิงและพระสนมจากหลายสกุลเดินเล่นกันเต็มไปหมด สายตาของแต่ละคนเมื่อเห็นเจียงฮองเฮาเดินมากับพระชายาโหวและรัชทายาทหมิงเฉิง ก็พากันตะลึงลาน คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากเจียงฮองเฮาเป็นเจ้าแห่งวังหลังที่เก็บเนื้อเก็บตัวที่สุด เข้าถึงตัวพระองค์ได้ยาก มากไปด้วยอำนาจ หยิ่งยโสเหนือใคร
ในอดีตนั้น ไทเฮาผู้ล่วงลับทรงรักใคร่เจียงฮองเฮายิ่งกว่าฮ่องเต้ที่เป็นโอรสแท้ๆ เสียอีก
ไม่แปลก หากเจียงฮองเฮาผู้นี้จักรักษาตำแหน่งได้อย่างมั่นคง ถึงแม้จะไม่มีโอรสเป็นของตนเองก็ตาม
และยิ่งมีบุรุษผู้น่ากลัวอย่างหมิงเฉิงอยู่ในอาณัติ ประหนึ่งมีอสูรกายตายยากขนาบข้าง คอยปกป้องทุกย่างก้าว
เจียงฮองเฮาจึงเป็นสตรีที่เหล่าสนมกระทั่งองค์หญิงและองค์ชายคนอื่นๆ ยังต้องมองสีหน้าก่อนจะคิดการณ์ใหญ่
ยิ่งการลอบสังหารยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าหาสตรีชั้นสูงนางนี้ได้ทั้งสิ้น
หากแต่ยามนี้ ธิดาสกุลโหว กลับได้รับสิทธิ์จับประคอง เดินไปทั่ววัง สร้างแรงข่มขวัญอย่างถ้วนทั่ว น่ากลัวว่าสตรีนางนี้จักเป็นรองเพียงหนึ่งแต่อยู่เหนือทั่วหล้าในไม่ช้า สตรีนางใดก็ไม่อาจแทรกกลางได้ทั้งนั้น
ความตะลึงลานที่วาบผ่านแววตาของทุกคนในอุทยานยังไม่จางหาย ความไม่อยากเชื่อว่าสตรีสูงส่งในแผ่นดิน ผู้มิใคร่พึงใจใครยังฉาบทับสีหน้าทุกผู้คน เจียงฮองเฮาก็หันมาคลี่ยิ้มละมุนละไมกับโม๋เอ๋อร์ ตบหลังมือสะใภ้เบาๆ ก่อนจะเอื้อมปลอกนิ้วขึ้นมาหยอกเย้าที่ปลายจมูกเชิดรั้นอย่างรักใคร่ ตอกย้ำความโปรดปรานเพียงสตรีนางน้อยให้สะพัดไปไกล
“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าช่างเจรจาเช่นนี้ แม่คงหายเหงาเป็นปลิดทิ้ง”
สุรเสียงนุ่มนวลตรัสออกมาตามความจริง หลังจากได้สนทนากันอยู่เนิ่นนาน เจียงฮองเฮารู้สึกได้ว่า สตรีสกุลโหวนางนี้ มีดีที่ไม่เหมือนใคร ทั้งบริสุทธิ์สดใส ไร้เดียงสา ปราศจากพิษภัย หากแต่รัศมีแห่งการปกป้องกลับแผ่ซ่านออกมาจากร่างนางอย่างเด่นชัด นับว่าไม่แปลก หากหมิงเฉิงจักพึงใจ
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
คำโปรยแหงนหน้ามองจันทรา พินิจฟ้าดาราเร้นเดือนเพ็ญจันทร์งามเด่น ทว่าบีบเคล้นรัดรึงใจคืนนั้นก็เช่นนี้ จันทร์ดวงนี้สว่างไสวครั้นตื่นมาแล้วหลับไปเห็นเพียงเจ้าดั่งเงาใจ เร้นจันทรา...*********ครั้งที่แต่งงานกัน ท่านก็ไม่ยอมร่วมหอยั่วยวนเท่าใด ก็ไม่เคยได้ผลเผยโฉมต่อหน้า ท่านก็ไม่เคยยลข้าอดทนเนิ่นนาน ให้ท่านเหลียวแลแล้วเหตุใดจู่ๆท่านจึงกลายเป็นปีศาจราคะ จับข้ากดไม่ยอมปล่อยเล่า!******บทนำดินแดนสามภพทุกสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นภพสวรรค์ ภพมนุษย์ ภพปรโลก มีตำนานเล่าขานมากมาย ทั้งเรื่องปีศาจและเทพเซียน ล้วนเล่าขานได้น่าอัศจรรย์ใจทว่ากลับไม่มีใครพบเห็นเทพและปีศาจจริงๆ จึงมิรู้ได้ว่าตำนานเหล่านั้นจริงเท็จเท่าใด สวรรค์นรกมีจริงไหมใดๆ ล้วนเหนือความคาดหมาย ในความไม่รู้นั้นกลับมีสรรพสิ่งเหนือสามัญมากมายนับไม่ถ้วนหนึ่งในนั้นมีเรื่องหนึ่งที่เป็นความรักลึกซึ้งตราตรึงใจ ของผู้ที่ถูกเรียกว่า เทพปีศาจ (โม๋กุ่ยเสิน)[1][1]魔鬼神 Móguǐ shén เทพปีศาจ*********อารัมภบทนางมีนามว่าโม๋เอ๋อร์ แซ่เฉิน เกิดและเติบโตในป่าใหญ่อันลึกลับได้สิบสองปี กระทั่งมีระดู เข้าสู่วัยสมสู่สืบพันธุ์ นางจึงตัดสินใจออกจาก
นานมาแล้วมีชายหญิงคู่หนึ่งที่เกิดรักกันเหนือสามัญผิดธรรมชาติฝ่ายหญิงเป็นเทพเป็นเซียน หรือเป็นมารเป็นปีศาจก็ไม่อาจทราบ และบางทีอาจจะเป็นมากกว่านั้น หากแต่ฝ่ายชายกลับเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่มีดีหน้าตางดงามนับเป็นเอกบุรุษทั้งสองรักกันได้อย่างไรก็ไม่แน่ชัด รู้เพียงว่ารักกันมาก และหลบเร้นซ่อนกายคล้ายสายลมไร้ร่องรอยมิอาจค้นพบเรื่องราวจบเพียงเท่านั้น ไม่มีจุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุดให้ผู้เล่าและผู้ฟังได้เกิดอารมณ์ใคร่รู้อยากฟังหรืออยากเล่าต่อเนิ่นนานผ่านไปก็สลายคล้ายม่านหมอกกลางสายลมหนาวที่พัดมาเพียงวูบเดียวเท่านั้นเพราะคู่รักคู่นี้ ที่เป็นเพียงความฝันอันเลือนราง หนึ่งในเรื่องเล่าขานนับหมื่นพัน กลับไม่อาจครองคู่กันดังใจหมายเหตุจากฝ่ายหญิงถูกจับตัวกลับไปยังดินแดนลี้ลับตามกฎสวรรค์บัญญัตินรก ทิ้งไว้เพียงฝ่ายชายให้เลี้ยงดูบุตรสาวจนรู้ความได้เจ็ดปี ก็ต้านพิษแห่งคำนึงคิดถึงภรรยารักจนทนไม่ไหว ตรอมใจตายไปในที่สุด ทิ้งทายาทสาวเหนือสามัญหนึ่งนางเอาไว้กลางป่าใหญ่ให้ใช้ชีวิตเพียงเดียวดายใดๆ ล้วนเหนือคาดฝัน บุตรสาวตัวน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน ในคราบมนุษย์ นามว่า โม๋เอ๋อร์ หรือเฉินโม
ห้าปีต่อมา...โม๋เอ๋อร์ในวัยสิบสองปีเริ่มมีอาการผิดปกติบางประการกับร่างกาย นางเป็นไข้หวัดอาการประหลาด ร่างกายอ่อนแอเพราะลมปราณและหลอดเลือดเปิด ทำให้ความร้อนความเย็นจากภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและลึกกว่าที่เคยปกติอาการไข้หวัดก็แค่ปวดหัวตัวร้อน ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอจามน้ำมูกไหล แต่ครานี้นางกลับมีอาการแปลกไป เดี๋ยวมีไข้ตัวร้อน เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นหนาวสั่นตัวเย็น สลับกันไปมาอยากอยู่เงียบๆ ไม่อยากอาหาร ปากขมคอแห้ง มีความร้อนเย็นสลับไปสลับมา รู้สึกรุ่มร้อนไปหมดระหว่างที่ย่ำแย่ด้วยอาการหวัดประหลาด ก็เจ็บท้องมาก ทั้งยังมีเลือดออกจากส่วนสงวนทำให้หว่างขาแดงฉานจนน่ากลัวแน่นอนว่าโม๋เอ๋อร์ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่เรียกว่า การมีระดู และไข้หวัดที่เป็นก็คือไข้ทับระดู[1]แต่ต่อมานางก็เริ่มระลึกได้จากการสังเกตสัตว์ป่าเพศเมียบางประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิงป่า หมาป่า ที่ส่วนสงวนของพวกมันมีลักษณะบวมและมีเลือดออก เฉกเช่นนางในยามนี้ และต่อมาพวกมันก็มีการสมสู่กับเพศตรงข้าม แล้วก็ให้กำเนิดทายาทตัวน้อยจนเต็มผืนป่าโม๋เอ๋อร์พลันเข้าใจในทันใด นางจึงเบิกตาโตอ้าปากค้างตะลึงงันครู่ใหญ่หนอนน้อยในดักแด้กลายร่างเป็
พลบค่ำจนดึกดื่นในคืนเพ็ญ จันทร์งามเด่นกลางนภาโม๋เอ๋อร์ยังไม่ทันออกนอกป่าเสียงสายหนึ่งพลันดังแว่วมา เป็นเสียงคล้ายโลหะกระทบกัน ดังเคร้งคร้างไปทั่ว โม๋เอ๋อร์มิได้นึกหวาดกลัว เพียงแต่นึกแปลกใจว่ามันคือเสียงอันใดด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย สาวน้อยจึงเดินลัดเลาะพงไพรไปตามเสียงนั้นเมื่อแหวกพงหญ้าหนาทึบออกกว้าง เบื้องหน้าในระยะสายตา ฝ่าความมืดสลัวท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่องไปทั่ว จึงได้เห็นเป็นกลุ่มของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่จำนวนหลายคน กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างบ้าคลั่งดุเดือดผ่านไปครู่หนึ่ง ชายพวกนั้นก็พากันล้มตายระเนระนาด เศษซากร่างกายกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่ว ไม่มีผู้ใดรอดสักคน ลักษณะการเข่นฆ่า คือเจ้าตายข้าม้วย ตกตายตามกันเมื่อพายุโลหิตสงบลง คงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของชายทั้งหลาย โม๋เอ๋อร์แน่ใจ รอเพียงสัตว์ร้ายในป่าลึก ได้กลิ่นคาวคละคลุ้งเหล่านี้ พวกมันก็พร้อมจะออกจากรังมารุมขย้ำ ฉีกทึ้งเนื้อหนังอันโอชาอย่างหิวกระหาย แน่นอนว่า เจ้าพวกที่นอนตายสนิทและยังที่ตายไม่สนิทก็จะกลายเป็นอาหารของพวกมันเมื่อคิดได้เช่นนั้น เด็กสาวจึงตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสักครา ดูทีว่ายังม
โม๋เอ๋อร์เดินทางต่อ โดยไม่นึกใส่ใจเหตุการณ์ก่อนหน้ากระทั่งเช้าตรู่วันต่อมา ได้เจอกับขบวนเดินทางของคนกลุ่มหนึ่ง กำลังหยุดพักกินอาหารกลางทางริมชายป่า เด็กสาวจึงเดินเข้าหาแล้วมองอย่างโง่งมครู่ใหญ่อาหารที่พวกเขากินล้วนแปลกตา กลิ่นหอมยิ่ง การแต่งกายก็หลากหลาย งดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะสตรีสองคนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนในขบวน ได้ยินการเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่กับคุณหนูรองโม๋เอ๋อร์ยืนนิ่งกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดเซียวเอียงไปมาน้อยๆ มองทุกสิ่งอย่างชอบใจนางเป็นสตรีผู้หนึ่งจึงชมชอบของสวยงามอย่างมิอาจห้ามได้ และอาหารกรุ่นกลิ่นหอมหวนชวนน้ำลายไหลก็รบกวนจิตใจเหลือเกินแต่แน่นอนว่านางมิใช่หมาป่าหิวโซที่เก็บอารมณ์มิได้ ถึงกับต้องพุ่งใส่อย่างหิวกระหาย ขนาดปราณเทพพลังมารนางยังกักเก็บเอาไว้ได้เป็นอย่างดี นับประสาอันใดกับอาการเช่นนี้เด็กสาวนึกกระหยิ่งยิ้มย่องลำพองกับตนเองเงียบๆ แต่ทว่าสีหน้ากลับเผยออกมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสายตาพราวระยับที่จับจ้อง มุมปากที่ยกยิ้มพึงใจ และจมูกเรียวเล็กที่ขยับเบาๆ เพื่อสูดดมหน้าตาสัตย์ซื่อและท่าทางไร้เดียงสาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มขบวนเดินทาง ทำเอาฮูหยินใหญ่และคุณหน
เวลาผ่านไป…จากหนึ่งวันเป็นหนึ่งเดือน จากหนึ่งเดือนก็ล่วงเลยมาหนึ่งปีโม๋เอ๋อร์รู้สึกได้ว่า การตัดสินใจออกจากป่ามาในครานี้เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกิน นางคิดไม่ผิดเลยสักนิดเพราะว่านางได้เจอสหายเปี่ยมไมตรีอย่างหยูเสวี่ย และท่านป้าเปี่ยมเมตตาอย่างวั่นหรงทั้งสองดูแลนางอย่างดีเลิศ พวกเขามอบเสื้อผ้าสวยงามมากมาย มีอาหารรสล้ำให้กินไม่เคยขาด นางมีความสุขมาก ถึงแม้ว่าชุดที่นางสวมจะงดงามไม่เท่าชุดของหยูเสวี่ย แต่นางก็หาได้ขัดเคืองไม่ ด้วยมิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยอันใดทั้งนั้น และยิ่งไม่คิดมากกับเรื่องหยุมหยิมเยี่ยงนี้ แค่ไม่ต้องทนสวมชุดจิ้งจอกขนเงิน ชุดหนังเสือ ขนห่านป่า หรือแม้กระทั่งหางนกยูง ก็พอแล้วจวนโหวแห่งนี้ใหญ่โตโอ่อ่า เครื่องเรือนครบครัน ทั้งยังสะอาดสะอ้าน มีผู้คนอาศัยอยู่รวมกันเยอะแยะเต็มไปหมดไม่เหมือนกลางป่าที่นางจากมา ที่นั่นมีแต่สัตว์ป่าดุร้าย คุยด้วยไม่รู้เรื่อง อาหารก็ไม่อร่อย เสื้อผ้าแพรพรรณก็ไม่มีโม๋เอ๋อร์ชอบชีวิตในเมืองยิ่งนัก ไม่คิดกลับป่าแน่นอน...รอยยิ้มพึงใจประดับตรงมุมปากของเด็กสาวตลอดเวลา นางกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้อยู่กับหยูเสวี่ยเหมือนเช่นทุกวัน สร้างรอยยิ้มละมุนละไมประดั
วันเวลาผ่านไปรวดเร็วประหนึ่งสายธาราเชี่ยวกรากโม๋เอ๋อร์ปีนี้อายุครบสิบห้าปี หยูเสวี่ยก็เช่นกัน บัดนี้สตรีทั้งสองเติบโตเต็มวัยเป็นสาวงามสะพรั่งสะคราญโฉมยิ่งโม๋เอ๋อร์มีดวงตากลมโตใสกระจ่าง ผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าเรียวเล็ก รอยยิ้มพริ้มเพรา ท่าทางใสซื่อ นิสัยซุกซนหยูเสวี่ยมีดวงตาเรียวงาม ใบหน้าขาวพิสุทธิ์ผุดผ่อง ท่าทางบอบบาง กิริยาอ่อนหวาน นิสัยเรียบร้อย จิตใจดีหลังจากพ้นพิธีปักปิ่นของบุตรสาว เรื่องที่วั่นหรงหวาดหวั่นมาโดยตลอดก็มาเยือน นั่นก็คือสมรสพระราชทานสกุลโหวเป็นตระกูลใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขามากมายไปทั่วแคว้น ทั้งยังแข็งแกร่งยิ่งนักในราชสำนัก ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับหนุนหลังเชื้อพระวงศ์คราก่อนบุตรสาวคนโตของวั่นหรงต้องเดินทางไกลไปแต่งให้อ๋องหนุ่มที่มีอนุชายาอยู่แล้วถึงสามคน ครานี้บุตรสาวคนรองของนางต้องแต่งให้องค์รัชทายาท ที่มีอนุชายาอยู่แล้วจนเต็มตำหนักบูรพา ในภายภาคหน้าก็ยังจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮาเมื่อสวามีขึ้นเป็นฮ่องเต้ รับสนมอีกนับร้อยพันในทุกสามปีเช่นนี้จะไม่ให้วั่นหรงเป็นห่วงหยูเสวี่ยผู้อ่อนโยนบอบบางได้อย่างไรองค์รัชทายาทแห่งต้าหมิงผู้นี้ได้รับฉายาว่าไท่จื่อทมิฬ มีประวัติอันห
เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฮองเฮาจึงผินพระพักตร์ปรายสายพระเนตรมาทางองค์รัชทายาทบ้าง ทว่ากลับเห็นท่าทางเย็นชาแววตาเย็นเยียบกิริยาห่างเหินกับชายาโหว ก็ให้นึกแปลกพระทัยแต่กระนั้นก็คิดเพียงว่าจะไม่ยุ่งเรื่องยิบย่อยของบุตรชาย เพียงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอง พระนางเพียงกระทำตามแผนการของหมิงจินกับสาวใช้คนงาม ที่ขอให้แสดงความโปรดปรานต่อธิดาโหวให้เป็นที่ประจักษ์ก็เท่านั้นชั่วจังหวะที่กำลังสงสัยในอากัปกิริยาอันน่าครั่นคร้ามของหมิงเฉิง เจียงฮองเฮาพลันได้ยินเสียงหวานใสของสตรีด้านซ้ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพราว่า“หม่อมฉันย่อมทำเพื่อเสด็จแม่เพคะ และจะมาหาบ่อยๆ ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวแน่ๆ” โม๋เอ๋อร์กล่าวจากใจจริง กิริยาวาจาล้วนน่ารักสดใส ไร้การเสแสร้งทั้งสิ้นเจียงฮองเฮาแย้มสรวล “ดียิ่ง ดีจริงๆ”“เพคะ” โม๋เอ๋อร์คลี่ยิ้มละมุน กิริยาหมดจดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ดวงตากลมโตพิสุจธิ์สดใส เผยความดีใจที่ได้มีมารดาเพิ่มอีกหนึ่งคนทว่าใบหน้าหล่อเหลาของหมิงเฉิงยิ่งดำทะมึนนึกขัดใจ หากเขาต้องพาชายาโหวเข้าวังบ่อยๆ ได้อึดอัดตายพอดีต่อหน้าเสด็จแม่จักทำอันใดตามแต่ใจได้ที่ใด?ความไม่พอใจฉายวาบผ่านแววตาคม สีหน้าเผยคว
ในวันนี้เจียงฮองเฮาทรงเรียกองค์รัชทายาทและพระชายามาจิบชาชมบุปผาพร้อมทั้งพาเดินเที่ยวให้ทั่ววัง ตามความประสงค์ทางสายตาของหมิงจินที่เชื่อฟังสาวใช้คนงามเหลือเกินซึ่งอันที่จริงพระนางก็มีความต้องการที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้วเมื่อทราบข่าวราชโองการของฮ่องเต้หมิงเฮ่าไถโซ่วเรื่องนี้นับได้ว่าหนักหนาพอควร สำหรับโอรสที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท ขั้วอำนาจซึ่งเป็นฐานที่มั่นถูกสั่นคลอนเช่นนั้น มิใช่เพียงรักษาตำหนักบูรพาลำบาก หากแต่ยังอาจสร้างความบาดหมางได้ไม่ยาก นับจากนี้การลอบสังหารคงมีตามมามากมายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากหลายสกุลที่ถูกส่งคืนคงแค้นเคืองไม่น้อยแน่นอนว่าฝีมือของหมิงเฉิงไม่น่าห่วงในเรื่องนี้ เพียงแต่เจียงฮองเฮาก็ไม่อยากให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตจนเกินไปหมิงจินก็เช่นกัน กว่าจะผ่านแต่ละวันไปได้ เขาได้หลับสบายสักคืนหรือไม่?พระมารดาแห่งต้าหมิงครุ่นคิดเรื่อยเปื่อยยามถูกโม๋เอ๋อร์จับประคองมือซ้ายพาเดินเล่นไปตามทางเดินของอุทยานหลวง ด้านขวายังมีหมิงเฉิงเดินตระหง่านดำทะมึนมาด้วยกัน ท่าทางของรัชทายาทหนุ่มในยามนี้ แม้สูงส่งงามสง่าแต่ทว่าเปี่ยมพลังกดข่มเขย่าขวัญผู้คนไปทั่ววันนี้นับได้ว่าอากาศด
เจียงฮองเฮามองตามแผ่นหลังของสองชายหญิงเงียบๆ เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะตรัสออกมาทางสวี่กูกูที่ยืนอย่างสงบเยื้องไปทางด้านหลังอยู่เพียงลำพัง ปราศจากผู้อื่นนอกจากนาง“เจ้าคงเห็นแล้ว ว่าลูกๆ ของข้าน่าเป็นห่วงปานใด”สวี่กูกูคือแม่นมของหมิงเฉิงในอดีต ที่รับรู้เรื่องราวอันเป็นความลับทุกสิ่ง จึงมิใช่เรื่องแปลกหากเจียงเฟิ่งจักเปิดเผยตามตรงกับอีกฝ่าย “เรื่องเส้นสายราชสำนัก หรือขั้วอำนาจใดๆ ล้วนไม่ยากหากข้าจะช่วย ทว่าเรื่องอื่นๆ เล่า”สวี่กูกูค้อมตัวกล่าวอย่างนอบน้อมแต่ตรงไปตรงมา ด้วยเข้าใจความห่วงใยที่มากล้นเกินจำเป็นของเจ้านาย“ทูลฮองเฮา เรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว เราควรปล่อยไปตามโชคชะตานำพาเพคะ ขออย่าทรงกังวลจนเกินไป”“จะดีหรือ?” เจียงเฟิ่งไม่แน่ใจ “ข้าไม่ต้องช่วยจริงหรือ?”“ย่อมดีเพคะ เรื่องเหล่านี้ เราสองคนที่ไม่เคยประสบย่อมไม่เข้าใจนะเพคะ”เจียงเฟิ่งพลันเงียบงันปราศจากถ้อยวาจา ด้วยไม่อาจเห็นต่าง เพราะว่านางกับสวี่กูกูเติบโตมาด้วยกันกระทั่งเข้าวังและไม่เคยเจอเรื่องรักใคร่เลยสักครั้งในชีวิตจริงๆการยื่นมือช่วยในบางเรื่อง อาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีถึงแม้เจียงเฟิ่งจักได้แต่งงาน ทว่าการมีสามีของนางล้
ระยะทางจากตำหนักบูรพามายังตำหนักฉีหยางกงนับได้ว่าไกลมากทว่าวันนี้กลับรู้สึกเหมือนใกล้กว่าที่เคย หมิงเฉิงยังมิทันได้ซึมซับไอเย็นจากร่างนุ่มสักเท่าไหร่ก็ถึงเสียแล้วอ้อมกอดอุ่นพลันคลายออก ความร้อนวาบพลันจางหาย โม๋เอ๋อร์รู้สึกถึงความเย็นไหลผ่านร่างกายเมื่อวงแขนกำยำของสามีปลดออกไปความเสียดายบางประการจึงบังเกิดกับพวกเขาโดยมิได้นัดหมาย หญิงสาวถึงกับเม้มปากแน่น ในขณะที่ชายหนุ่มถึงกับลอบขบกรามทั้งสองพากันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะลงจากรถม้าอย่างงามสง่าเฉกเช่นชนชั้นสูงปกติ หาได้มีพิรุธอันใดไม่ขณะนี้เป็นเวลายามสาย อากาศแจ่มใส แมกไม้ร่มรื่น แสงแดดอ่อนจาง ทางเดินเข้าตำหนักงดงามจับตา ชายผ้าของสองสามีภรรยาถูกสายลมโชยผ่านพัดพลิ้วเกี่ยวประสาน ประหนึ่งเป็นผ้าผืนเดียวกันตั้งแต่ย่างเท้าก้าวใดมิทราบได้ ที่ทั้งคู่เดินใกล้กันมาก โดยไม่รู้ตัวภายในห้องโถงรับแขก ที่แท่นประทับสลักทองคำเจียงฮองเฮายังคงนิ่งเงียบเพื่อฟังวาจานุ่มหวานของสาวใช้นางหนึ่งที่นั่งเคียงข้างกับองครักษ์หนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านล่าง สองชายหญิงช่วยกันร้องช่วยกันรับอยู่หลายประโยค พูดจาส่งกันไปมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานเลยกับการนั่งเป็นตุ๊กตาให้นางกำนัลช่วยกันประโคมเครื่องแต่งกายให้โม๋เอ๋อร์เดินกรีดกรายแช่มช้า พาร่างระหงในอาภรณ์สีสันสดใสลวดลายดอกไห่ถังตัดกับฤดูเหมันต์ได้อย่างลงตัว มาหยุดยืนอยู่นิ่งๆ ที่ข้างรถม้า สายตากวาดมองไปรอบๆ ไม่เห็นร่างสูงของสามี ก็ให้นึกแปลกใจแค่ไม่ยอมร่วมหอด้วยเมื่อคืน เขากลับแง่งอนหลบหน้าหลบตากันถึงเพียงนี้ สงสัยอยากได้อนุชายากลับมาใจจะขาดอา...แล้วนางต้องยอมหรือไม่?คำตอบคือ ไม่!หญิงสาวปราศจากความสนใจชายผู้แง่งอน รีบรับการจับประคองจากนางกำนัลขึ้นไปบนรถม้าด้วยกิริยาแช่มช้อยทว่าทันทีที่ทหารเปิดผ้าม่านให้ ดวงเนตรกลมใสพลันเห็นเงาร่างดำทะมึนที่คล้ายเมฆหมอกก่อนพายุโหมกระหน่ำนั่งตระหง่านอยู่ในนั้น โม๋เอ๋อร์ยังมิทันได้ตั้งตัวเตรียมใจ ก็ถูกฉุดรั้งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว มือหนาของอีกฝ่ายจับกระชับข้อมือนางดึงเข้าหาแล้วโอบรอบเอวบางให้นั่งบนหน้าขาความว่องไวในกระบวนท่า พาให้คนงามตะลึงงันโม๋เอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ ร่างนุ่มนิ่งค้างซ้อนอยู่บนร่างหนา รับรู้เพียงความอุ่นร้อนวาบผ่าน โอบล้อมร่างนางทั้งหมด“เหตุใดเมื่อคืนไม่ยอมเข้าหอ” เส้นเสียงทุ้มต่ำดังเล็ดลอดจากริมฝีปากได้รูป พ่นลมร้
น้ำค้างพราวระยับบนยอดหญ้า แสงแรกอรุณรุ่งเบิกฟ้า ส่องสว่างไปทั่วนภาโม๋เอ๋อร์ลุกขึ้นแต่งตัวงดงามตั้งแต่ฟ้าสาง แล้วนั่งจิบชาอุ่นอยู่กลางโถงเรือนอย่างเดียวดาย รอบกายไม่มีใครเลยสักคนหญิงสาวนั่งเท้าคาง นัยน์ตาหรี่ปรือ เนื่องจากเมื่อคืนยังมิได้นอนเลยจนป่านนี้เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะต้องคอยระแวดระวังชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นสามี มิให้เขาได้เข้ามาเพื่อร่วมหอกับภรรยาเช่นนางหึ! ไม่ว่าสตรีนางใด ก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาทั้งนั้น! เพราะว่านางจะไม่เข้าหอกับเขาเด็ดขาด…โม๋เอ๋อร์ประกาศกร้าวในใจ ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว เหลียวมองหลังอย่างระแวดระวัง ว่าถูกสามีตามติดหรือไม่ปรากฏว่าไม่มี ...มิรู้ได้ว่าเขาหายไปทางใด?หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ไล่มองไปทั่วห้องโถง เห็นมีนางกำนัลยืนอยู่หน้าห้องแค่สองคน นอกนั้นไม่มีใครเลยมิคาดว่าหยูเสวี่ยก็หายไปเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เจออีกฝ่ายเลย เห็นเพียงจดหมายแผ่นหนึ่งวางเอาไว้ที่โต๊ะหัวเตียง มีข้อความบอกว่าต้องเร่งจัดการเรื่องราวบางประการ มิให้นางต้องเป็นห่วง ทำตัวตามปกติไปก่อน และต้องไม่ยอมเข้าหอกับรัชทายาทตำแหน่งประธานในโถงใหญ่ บนโต๊ะมีอาหารเช้าชุดหนึ่ง เหนื
ชายหนุ่มได้ยินเสียงนุ่มหวานของหญิงสาวกล่าวอีกว่า“ก่อนหน้านี้ข่าวในตำหนักแพร่สะพัดว่ารัชทายาทกับพระชายารักใคร่กันอย่างมาก มิสู้ปล่อยข่าวออกไปภายนอกให้ไกลอีกสักหน่อย แล้วรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากเข้าไว้ ตระกูลโหวแม้ยิ่งใหญ่ หากแต่ก็เป็นเพียงฝ่ายบุ๋นมาช้านาน หาได้กุมกำลังทหารกองใดไม่ การที่รัชทายาทฝ่ายบู๊ได้ใจนายท่านโหวฝ่ายบุ๋นเต็มเปี่ยม ย่อมได้ขั้วอำนาจเจ็ดตระกูลใหญ่ และเส้นสายฝ่ายต้นตระกูลโหวทั้งหมด ผนึกกำลังกับตระกูลเจียงของฮองเฮา นี่ยังไม่นับรวมหัวเรือใหญ่อีกหลายสกุล ที่จะเบนเข็มมาหาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไป”หยูเสวี่ยนิ่งขรึมชั่วครู่จึงเปรยขึ้นมาอีกคราว่า “ข้าพอจะดูออกว่าองค์รัชทายาทหาใช่บุรุษเจ้าสำราญที่ฝักใฝ่หญิงงามจนตามืดบอด เพียงแต่ไร้ใจกับพระชายาเกินไปก็เท่านั้น ส่วนการเข้าหอเพื่อดึงสตรีสกุลอื่นให้กลับมา ไม่จำเป็นเลยสักนิด และยิ่งได้สกุลเจียงของฮองเฮาช่วยออกหน้า มีหรือจะมิได้ผล”ในขณะที่หมิงจินก้มหน้าตั้งใจฟัง หยูเสวี่ยพลันช้อนตามองมาอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า“ถึงแม้พวกเขาจะแต่งงานกันแล้ว หากแต่ชายหญิงไม่ควรเข้าหอโดยไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดล้วนลำบากใจทั้งสิ้น แ
หลังพุ่มไม้ใหญ่ห่างออกมาจากเรือนชิงเยว่ไม่ไกลหยูเสวี่ยและหมิงจินกำลังยืนสังเกตการณ์คู่สามีภรรยาอยู่เงียบๆ เป็นนานสองนาน ตั้งแต่ริมอุทยานกระทั่งในเรือนชิงเยว่ ทั้งสองล้วนได้ยินคำของหวังกงกงเช่นกัน คำถามคือ ต้องการให้คู่สามีภรรยาเข้าหอกันใช่หรือไม่? คำตอบย่อมต้องใช่!แล้วบรรดาอนุพวกนั้นเล่า ต้องการให้กลับมาหรือไม่? คำตอบย่อมต้องไม่!หยูเสวี่ยหันหน้ามองหมิงจินทันที ในแววตาคู่งามเผยทุกความคิด ทั้งข่มขู่และกดดันอีกฝ่ายอย่างรุนแรง“ท่านองครักษ์มีความคิดเห็นเช่นไรหรือเจ้าคะ”หญิงสาวถามชายหนุ่มข้างกายเสียงนุ่ม ทว่าสีหน้าจริงจังมาก แววตาคมกล้ายิ่ง หมิงจินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ซ่อนแววเอื้อเอ็นดูเอาไว้พลางเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทคงคิดจะเข้าหอกับพระชายาในไม่ช้า”“ด้วยเหตุผลเรียกคืนเหล่าอนุกระนั้นหรือ?” หยูเสวี่ยพลันหลุดเสียงเข้มขึ้นมา เผยความหงุดหงิดถึงสามส่วน “หากเขาจะเข้าหอกับคุณหนูของข้าเพื่อดึงสตรีอื่นเข้ามา ก็ข้ามศพบ่าวผู้นี้ไปก่อนเถิด” กล่าวจบก็เม้มปากแน่น สีหน้าบึ้งตึงไม่พอใจหมิงจินให้รู้สึกเสียวสันหลังไม่ทราบสาเหตุ ไฉนคนงามผู้อ่อนหวาน ยามโกรธาช่างน่ากลัวยิ่งหยูเสวี่ยร
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งขึงตัวเขาอยู่ระหว่างสงครามแห่งการอบรมสอนสั่งของสองพ่อลูกผู้ยิ่งใหญ่มาช้านาน อายุแม้เกินครึ่งร้อยมาเล็กน้อย แต่เส้นผมทั้งศีรษะล้วนขาวโพลนประหนึ่งอยู่มาหลายร้อยปี เฮ่อ!ไม่นาน ...หวังกงกงก็ค้อมศีรษะขอตัวกลับ รอจนได้รับสัญญาณพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครา หวังกงกงไม่มีรอช้ารีบล่าถอยออกห่างอย่างหวาดหวั่นแล้วหายตัวไปอย่างเร็วคล้อยหลังขันทีเฒ่า รัชทายาทหนุ่มเพียงยืนนิ่งเคร่งขรึมอยู่ที่ริมอุทยานดังเดิมช่วงเดือนสิบย่างเข้าเดือนสิบเอ็ดเช่นนี้ สายลมยามราตรีนับได้ว่าเย็นเยียบยิ่งนัก หากแต่ร่างสูงคล้ายไม่รู้สึกรู้สา ยังคงยืนตระหง่านปานหินผายากสั่นคลอน ทว่าภายในใจกลับสั่นเบาๆใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ เงยขึ้น ดวงตาคมดำเข้มลึกดุจน้ำหมึกทอดมองออกไปไกลแสนไกล เห็นดวงจันทร์สีนวลผ่องส่องสว่างแขวนอยู่กลางนภากว้างไร้การเคลื่อนไหวในห้วงคำนึงพลันนึกถึงดวงเนตรงามที่มีสีเขียววูบไว ที่เกิดขึ้นมากกว่าสามครั้งของใครบางคน ทันใดนั้นหมิงเฉิงจึงได้คำตอบให้ตนเองเขาควรเชื่อฟังคำพระบิดา!ใต้ต้นเหมยฮัวห่างออกมาจากริมอุทยานที่มีร่างสูงสง่าของรัชทายาทหนุ่มยืนนิ่งเงียบงันใต้แสงจันทร์งามโม๋เอ๋อร์ที่แอบมองอยู่ก็เร