พักเที่ยงแล้วพิรุณรัตน์ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อน จิรัฎร์จึงออกมายืนรอที่หน้าแผนก สักพักปัทมาก็เดินมาหา หล่อนทักทายและใจกล้าคว้าแขนล่ำมาคล้องไว้ จิรัฎร์เลิกคิ้วมองมือที่วางไว้บนต้นแขน เขาไม่ทันได้ตั้งตัวและก็ไม่คาดคิดว่าปัทมาจะทำเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาหล่อนเป็นคนที่ดูนิ่ง ๆ ไม่รุ่มร่ามกับเขา ปัทมากระแซะเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น กวาดสายตามองไปทั่วก็พบว่าไม่มีใครอยู่บริเวณดังกล่าว
“ไปกินข้าวกับปัดไหมคะพี่ไนต์” ชายหนุ่มยิ้มตอบสุภาพ พยายามดึงแขนออก แต่เพราะหล่อนรัดแน่นจึงเหมือนยื้อกันอยู่
“มีร้านสเต็กมาเปิดใหม่ตรงซอยถัดไปน่ากินมากเลยค่ะ ไปกินกับปัดน้า...” ปัทมาทำอ้อนส่งสายตาวิบวับ
“ว้าย!” แต่แล้วหล่อนก็กระเด็นออกห่างจากจิรัฎร์ไปหลายเมตร หัวแทบคะมำแต่ยังทรงตัวได้ ปัทมาหันขวับไปมองสิ่งที่ทำให้หล่อนต้องตกอยู่สภาพเช่นนี้ ‘นังเรนนี่!’ ปัทมาคำรามในใจ
พิรุณรัตน์ออกจากห้องน้ำแล้วเห็นปัทมาทำท่าออเซาะเกาะแข้งเกาะขาจิรัฎร์ ต่อมหึงโหดเธอเลยปะทุ เจ้าตัวเดินดุ่ม ๆ ดับเครื่องชน กระแทกตัวเองกับหลังปัทมาหวังให้หล่อนล้มก้นจ้ำเบ้า แต่ปัทมาเก่งใช้ได้ที่ยังทรงตัวอยู่บนส้นสูงได้ ปากบางเหยียดออก ปรายตามองปัทมาต่ำ ๆ กระแสสายตาที่ส่งให้กันเหมือนมีไฟฟ้าสถิตดังเปรี๊ยะ ๆ ทั้งสองจ้องตากันไม่ลดละ จิรัฎร์รู้สึกอึดอัดจึงแทรกขึ้น
“ผมต้องพาน้องเรนนี่ไปทานโอมากาเสะครับ ไว้ครั้งหน้านะครับคุณปัด” ชายหนุ่มปฏิเสธอย่างนุ่มนวล แค่นั้นก็พอให้คุณหนูเรนนี่ยิ้มกว้างอวดฟันขาวเลิกส่งสายตาไฟฟ้าสถิตให้ยัยปัทมาแล้วเดินกอดแขนคนร่างสูงออกจากแผนกไป
“บ้าเอ๊ย!” ปัทมากระทืบเท้า ขัดใจจริง ๆ หล่อนมองจิรัฎร์มาตั้งแต่เข้าทำงานวันแรก เขาตรงสเปกสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การศึกษา นิสัย ฐานะก็กลาง ๆ อาจไม่ได้รวยล้น แต่ก็น่าจะมีเงินเปย์ไม่ขาด คราวนี้หล่อนรู้แล้วว่าพิรุณรัตน์ประกาศสงครามชัดเจน งานนี้ใครดีใครได้ ปัทมาจะงัดทุกไม้เด็ดที่มีออกมาเพื่อคว้าจิรัฎร์มาเป็นของตนเองให้ได้
ช่วงนี้พิรุณรัตน์รู้สึกว่างานสุมจนไม่ได้โงหัวขึ้นมาสบตาปิ๊ง ๆ กับจิรัฎร์เลย เงยหน้าขึ้นก็เจอแต่กองเอกสาร จะเห็นเขาก็แค่ส่วนบนของศีรษะที่เลยจากกองเอกสารเล็กน้อย พิรุณรัตน์ถอนหายใจเสียงดังจนจิรัฎร์ที่นั่งตรวจทานงานอยู่ต้องละสายตามามองหญิงสาว แต่เขาก็ไม่เห็นเธอเพราะกองเอกสารมากมายบังอยู่
“อยากดื่มอะไรไหมครับ อาจะไปชงมาให้” เสียงทุ้มดังขึ้นเรียกให้ร่างเล็กที่หันหลังอยู่หมุนเก้าอี้กลับมาส่งยิ้มแฉ่งยิ่งกว่าพระอาทิตย์ จิรัฎร์ยิ้มเอ็นดูเห็นความเหนื่อยล้าจาง ๆ บนใบหน้าสวย
“อยากกินชานมไข่มุกแบบหวานร้อยค่ะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวอาสั่งให้”
“ขอบคุณค่ะ”
รอประมาณสามสิบนาทีดิลิเวอรีก็มาส่ง มีชานมไข่มุกหวานร้อยหนึ่งแก้วของพิรุณรัตน์กับอเมริกาโน่เย็นแบบไม่หวานของจิรัฎร์ เมื่อหญิงสาวได้ดูดกลืนของโปรดก็ขยับตัวดุกดิกน่ารัก หลับตาพร้อมส่งยิ้มหวานอารมณ์ดี
“เหมือนได้เติมพลังเลยค่ะ อร่อยมากค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ไนต์” ชายหนุ่มแค่พยักหน้าพลางดูดอเมริกาโน่เย็นของตน รสชาติร้านนี้ดีจนเขาพยักหน้ากับตนเองค่อนข้างพอใจ
“แต่...มันยังหวานไม่ค่อยพอเท่าไหร่เลยค่ะ”
“แต่นี่ก็หวานเต็มแมกซ์ที่ร้านมีแล้วนะครับ น้องเรนนี่จะเพิ่มไซรัปไหมครับ อาจะไปหยิบให้” พิรุณรัตน์ย่นจมูกส่ายหน้ารัว ร่างเล็กลุกขึ้นถือแก้วชานมไว้ประมาณอก หญิงสาวยิ้มกว้างขณะสาวเท้าเข้ามาหาชายหนุ่ม ก่อนมาหยุดยืนมองเขาใกล้ ๆ
“เรนนี่ไม่ได้หมายถึงความหวานแบบนั้นค่ะ” เจ้าตัวทำหน้าตามีเลศนัย แค่นี้จิรัฎร์ก็เห็นลางแล้วว่าหญิงสาวจะทำอะไร เขาตีหน้าขรึมก่อนถอยห่างไปสองก้าว
“เรนนี่ขอเติมความหวานจากอาไนต์หน่อยได้ไหมคะ ขอแบบจูบหวาน ๆ จ๊วบ ๆ” หญิงสาวยื่นหน้า หลับตาพริ้มทำเสียงจ๊วบจ๊าบ
“มีเอกสารอีกกองต้องจัดการนะครับ” จิรัฎร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เอ็นดูท่าทางนั้น ก่อนเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ตากลมโตเปิดขึ้น กลอกตาสูงทำหน้าเบื่อ ไหล่เล็กตกพร้อมกับผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
“ทำไมงานมันเยอะอย่างนี้ล่ะคะพี่ไนต์ เรนนี่ป๊วดปวดหัว” ว่าแล้วก็ขอเซไปซบอกกว้างหน่อยนะ จิรัฎร์จะก้าวหนีก็ไม่ทันเสียแล้ว ศีรษะเล็กเกยอยู่กลางอก มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือแก้วชานมเริ่มทำปูไต่ เขารีบคว้าตัวปูไว้ก่อนที่มันจะไต่ลามไปจุดที่หมิ่นเหม่กว่านี้ ยันกายเล็กให้ถอยห่าง พิรุณรัตน์ทำหน้าเสียดาย แต่แค่นี้ก็เติมพลังมากพอแล้ว การได้ซบอกอุ่น ๆ ของพี่ไนต์ถือเป็นยาชูกำลังชั้นดีเลยแหละ สักนิดสักหน่อยก็ยังดี
บทที่ 5สาเหตุของการงานสุมหัวก็มาจากเอกสารที่เธอต้องเรียนรู้ทุกแผนก และการประกวดโครงการอาหารสำเร็จรูปด้วย พิรุณรัตน์ตั้งใจจะส่งโครงการเข้าประกวด เธอกำลังขีด ๆ เขียน ๆ อยู่ โดยมีจิรัฎร์คอยช่วยเหลือ โครงการนี้เปิดให้ทุกคนในบริษัทที่สนใจส่งไอเดีย โดยมีเงินรางวัลอยู่ที่ห้าหมื่นบาท และถ้าใครเสนอไอเดียจนผ่านขั้นตอนไปจนถึงการผลิตส่งออกจำหน่ายแล้วละก็ยังจะได้กินเปอร์เซ็นต์การขายเป็นเวลาสามเดือนอีกด้วย เรียกได้ว่างานนี้มีคนในบริษัทไม่ว่าจะตำแหน่งไหนสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงพิรุณรัตน์ด้วยร่างเล็กยืนประสานมือมองจิรัฎร์ที่อ่านไอเดียโครงการที่จะส่งเข้าประกวดอย่างใจจดใจจ่อ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปตามตัวอักษรที่พิรุณรัตน์ต้องการสื่อสาร เขาชอบไอเดียของเธอที่เป็นอาหารเข้าเซต ทั้งข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำและขนม ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เห็นว่าไอเดียบางอย่างอาจจะทำได้ยาก แต่ก็ถือว่าเปิดโลก และอาจจะได้พื้นที่การตลาดหากทำออกมาจริง ๆ คนสมัยนี้ชอบความแปลกใหม่ ซึ่งพิรุณรั
บทที่ 5สาเหตุของการงานสุมหัวก็มาจากเอกสารที่เธอต้องเรียนรู้ทุกแผนก และการประกวดโครงการอาหารสำเร็จรูปด้วย พิรุณรัตน์ตั้งใจจะส่งโครงการเข้าประกวด เธอกำลังขีด ๆ เขียน ๆ อยู่ โดยมีจิรัฎร์คอยช่วยเหลือ โครงการนี้เปิดให้ทุกคนในบริษัทที่สนใจส่งไอเดีย โดยมีเงินรางวัลอยู่ที่ห้าหมื่นบาท และถ้าใครเสนอไอเดียจนผ่านขั้นตอนไปจนถึงการผลิตส่งออกจำหน่ายแล้วละก็ยังจะได้กินเปอร์เซ็นต์การขายเป็นเวลาสามเดือนอีกด้วย เรียกได้ว่างานนี้มีคนในบริษัทไม่ว่าจะตำแหน่งไหนสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงพิรุณรัตน์ด้วยร่างเล็กยืนประสานมือมองจิรัฎร์ที่อ่านไอเดียโครงการที่จะส่งเข้าประกวดอย่างใจจดใจจ่อ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปตามตัวอักษรที่พิรุณรัตน์ต้องการสื่อสาร เขาชอบไอเดียของเธอที่เป็นอาหารเข้าเซต ทั้งข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำและขนม ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เห็นว่าไอเดียบางอย่างอาจจะทำได้ยาก แต่ก็ถือว่าเปิดโลก และอาจจะได้พื้นที่การตลาดหากทำออกมาจริง ๆ คนสมัยนี้ชอบความแปลกใหม่ ซึ่งพิรุณรั
บทที่ 6 ปัทมายืนมองร่างสูงที่เดินเคียงข้างพิรุณรัตน์มาแต่ไกล ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะคืบหน้าไปเยอะ อาจเป็นเพราะโพรเจกต์โครงการที่พิรุณรัตน์ส่งเข้าประกวดก็เป็นได้ หล่อนเองก็ตั้งใจจะทำโครงการนี้เหมือนกัน แต่พอไปอ้อนจิรัฎร์เขากลับตอบปฏิเสธอ้อม ๆ ว่าไม่สะดวก มารู้ทีหลังว่าช่วยพิรุณรัตน์ก็รู้สึกเจ็บใจกว่าเก่า ตั้งแต่จิรัฎร์ย้ายเข้าไปทำงานในห้องเดียวกับพิรุณรัตน์หล่อนก็แทบไม่เจอชายหนุ่ม จะเข้าไปคุยก็มีก้างขวางคอตลอด ยิ่งช่วงนี้เธอต้องหาเงินมาใช้หนี้พนันที่เสียไปด้วย ไม่รู้จะไปเอาเงินมาจากไหน ตั้งใจจะจับผู้ชายในบริษัทสักคน เล็งจิรัฎร์ไว้ก็เหมือนจะหลุดมือไปเป็นของนังเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจนัก คิดไม่เท่าไหร่เจ้าหนี้ก็โทรมาทวงหนี้จนหล่อนต้องปิดมือถือหนี โครงการที่พิรุณรัตน์ส่งประกวดผ่านเข้
“พี่ไนต์ไม่รู้เหรอคะว่าตลอดเวลาที่พี่กับหล่อนแต่งงานกัน หล่อนไม่ได้มีพี่คนเดียว ผู้หญิงคนนั้นน่ะ” พิรุณรัตน์สะอื้นพลางปาดน้ำตาออกจากแก้ม “มีคนอื่นมาตลอดเวลา เรนนี่เห็นมาตลอด แต่เรนนี่พูดไม่ได้ ตอนนั้นเรนนี่กลัวว่าพี่ไนต์จะหาว่าเรนนี่เป็นเด็กเลี้ยงแกะ โกหกพกลม แต่ตอนนี้เรนนี่โตแล้ว เรนนี่มีสิทธิ์ที่จะบอก พี่ไนต์อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกได้ไหมคะ เรนนี่พอมีสิทธิ์ไหมที่จะรักษาหัวใจของพี่ไนต์ไว้ เรนนี่ไม่ต้องการเห็นพี่ไนต์เจ็บปวดอีกแล้ว” ม่านตาของจิรัฎร์ขยายขึ้นหลังจากฟังประโยคยาว ๆ นั้น ถ้าจะย้อนไปก็ราว ๆ เก้าปีเศษ ๆ ตอนนั้นเขาทำงานใกล้ชิดพิมพ์บุปผาจึงเกิดเป็นความรักและคบหาดูใจกันสักพัก ก่อนจะเป็นฝ่ายขอแต่งงานหล่อนเอง เพราะรู้สึกอยากสร้างครอบครัวร่วมกับหล่อน โดยไม่รู้ว่าจริง ๆ พิมพ์บุปผาไม่ได้รักตนเองมากเท่าไรนัก หญิงสาวคบหาดูใจกับพนักงานหนุ่มไอทีอยู่แล้ว แต่เพราะฝ่ายนั้นเป็นเด็กกำพร้าและทำงานอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรในบริษัท
บทที่ 7 เข้าสู่เดือนที่สี่ของการมาทำงานที่บริษัทของบิดา พิรุณรัตน์เรียนรู้งานไปได้มากและเริ่มลงมือทำโพรเจกต์บ้างแล้วตามที่พิทักษ์มอบหมาย โดยมีจิรัฎร์ช่วยเป็นลูกมือคอยดูแลไม่ห่าง ส่วนเรื่องจีบจิรัฎร์ดูเหมือนไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไร ชายหนุ่มตีหน้านิ่ง ทำซึนใส่ ทั้ง ๆ ที่เธอก็เห็นอยู่ว่าบางจังหวะที่เธอหยอดเขาก็แอบยิ้ม “เอกสารอะไรคะ?” พิรุณรัตน์ถามทันทีที่คนร่างสูงเดินมาพร้อมกับกระดาษเพียงหนึ่งแผ่น “ประกาศท่องเที่ยวประจำปีของบริษัทครับ เขาให้ลงชื่อว่าใครจะไปบ้าง” “เรนนี่ไปค่าาา!” หญิงสาวชูมือสุดแขน กระโดดดึ๋งดั๋งเหมือนเด็กน้อย จิรัฎร์ยิ้มพลางส่ายหน้าเอ็นดู ต่อให
บทนำ...ร่างเล็กที่อยู่ในชุดนักเรียนคอซองสีน้ำเงินผมยาวเพียงไหล่เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อรอรับคำตอบจากผู้ชายตัวสูงชะลูดตรงหน้า จิรัฎร์ยิ้มให้เด็กหญิงจนตาหยีภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะ เด็กสาวตรงหน้าคือน้องเรนนี่ หรือ พิรุณรัตน์ บุตรสาวของเจ้านายเขาเอง “ว่าไงคะ?” เด็กหญิงเร่งเร้าต้องการรู้คำตอบ“ชื่อไนต์นี่หมายถึงตอนกลางคืน อัศวิน หรือว่า ดี คะ?” คนถูกถามยอบตัวเล็กน้อยแล้วจึงตอบข้อสงสัย“หมายถึงตอนกลางคืนครับน้องเรนนี่”“แล้วทำไมเป็นกลางคืน ไม่เป็นอัศวินล่ะคะ?” เจ้าหนูจำไมช่างสงสัยยังถามต่อ แต่คนตัวสูงไม่ได้รู้สึกรำคาญเลย กลับเอ็นดูบุตรสาวของเจ้านายเสียมากกว่า“เพราะอาไนต์เกิดตอนกลางคืนครับ”“อ๋อ…” เด็กหญิงอ้าปากกว้าง พยักหน้าหงึกหงักทำเอาจิรัฏร์เอ็นดูกว่าเดิมจนต้องโยกศีรษะน้อยเบา ๆ“ก็เหมือนเรนนี่เลยน่ะสิ”“เหมือนยังไงครับ?”“คุณแม่คลอดเรนนี่ตอนที่ฝนกำลังตกค่ะ คุณพ่อเลยตั้งชื่อว่าฝน แต่แม่บอกว่าอยากให้อินเตอร์หน่อยเลยเปลี่ยนเป็นเรนนี่ค่ะ” เด็กหญิงเรนนี่ยิ้มกว้างอวดฟันซี่เล็ก ๆ แสนน่ารักทันทีที่พูดจบ จิรัฎร์เองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย เพราะความสดใสและน่ารักของเด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบเท่านั้น ชายหนุ
บทที่ 1 เงาที่สะท้อนภาพจากกระจกปรากฏร่างอรชรในวัย 22 ปีบริบูรณ์ หญิงสาวมีร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวนวลราวหยวกกล้วย ผมยาวดัดลอนถึงกลางหลัง ใบหน้าสวยหวานถูกเคลือบไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพงอย่างบางเบา “ต่างหูคู่ไหนดีน้า?” ใบหน้าสวยหวานทำปากยื่น กำลังใช้ความคิด หญิงสาวมองสิ่งของชิ้นเล็กในมือทั้งซ้ายและขวาสลับกันไปมา ยังเลือกต่างหูที่จะสวมในวันนี้ไม่ได้เลย ซ้ายก็น่ารัก ขวาก็ดูเรียบหรู “เรนนี่เสร็จหรือยังลูก เดี๋ยวได้ไปทำงานสายกันพอดี” เสียงของมารดาเรียกให้สาวสวยในกระจกตัดสินใจเลือกเป็นต่างหูมุกแบบเรียบแทนต่างหูเพชรรูปโบประกายวิบที่ดูน่ารัก ด้วยเพราะวันนี้คือวันแรกที่หญิงสาวจะได้เข้าไปทำงานที่บริษัทของบิดา เรนนี่ หรือ พิรุณรัตน์ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวโอภาสภัทร คุณพิทักษ์ผู้เป็นบิดาเป็นนักธุรกิจด้านพัฒนาอาหารสำเร็จรูปหลากหลายแบบ อาทิเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ผลไม้อบแห้ง และอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์มีน่าซึ่งนำมาจากชื่อจริงของภรรยานั่นเอง พิรุณรัตน์เรียนจบคณะบริหารธุรกิจตามที่ตั้งเจตนารมณ์ไว้ตั้งแต่แรก หญิงสาวเข้าออกบริษัทของบิดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงวิ่งเล่นสนุกสนาน รู้ทุกซอก
“เฮ้อ...” ลมหายใจหนักหน่วงถูกระบายออกจากปากได้รูป จิรัฎร์ถอดแว่นสายตาออก วักน้ำใส่หน้าเพื่อเรียกสติ เขาอายุสามสิบแปดแล้วทำไมจะไม่รู้ว่าพิรุณรัตน์คิดอย่างไรกับตนเอง หญิงสาวเริ่มมีท่าทีแปลกไปก็ตอนที่เริ่มแตกเนื้อสาว สายตาของเด็กสาวทอประกายยามมองเขาทุกครั้ง พิรุณรัตน์มักส่งยิ้มและมีท่าทีขวยเขินเวลาพบกันทุกเมื่อ แต่จิรัฎร์นั้นพยายามนิ่งเฉยและมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู พยายามเว้นระยะห่างด้วยสถานะและอายุของเด็กหญิงที่ห่างจากเขาถึงสิบหกปี แม้ตอนนี้เด็กสาววัยรุ่นในวันนั้นจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่สวยสะพรั่ง แต่เขาก็ไม่คิดเกินเลยกว่าความเอ็นดูที่มีให้หญิงสาวจิรัฎร์ หรือ อาไนต์ ของคุณหนูเรนนี่ เริ่มทำงานที่นี่ตั้งแต่อายุยี่สิบหก เขารู้จักกับพิทักษ์เพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แม้จะอยู่คนละรุ่นและอายุห่างกันกว่าหนึ่งรอบ แต่เพราะมีใจรักชอบคล้าย ๆ กันจึงสนิทสนมและคบหาเป็นเพื่อนในชีวิตกันมาหลายปี จิรัฎร์สำนึกในบุญคุณของเพื่อนรุ่นพี่อย่างพิทักษ์อยู่เสมอ เนื่องจากเมื่อประมาณสิบสองปีก่อนบิดาของจิรัฎร์ป่วยเป็นมะเร็งระยะที่สาม ตอนนั้นชายหนุ่มทำงานที่บริษัทข้ามชาติที่หนึ่ง มีหน้าที่การงานและเงินเดือนที่เรียกว่าดีมาก