สาเหตุของการงานสุมหัวก็มาจากเอกสารที่เธอต้องเรียนรู้ทุกแผนก และการประกวดโครงการอาหารสำเร็จรูปด้วย พิรุณรัตน์ตั้งใจจะส่งโครงการเข้าประกวด เธอกำลังขีด ๆ เขียน ๆ อยู่ โดยมีจิรัฎร์คอยช่วยเหลือ โครงการนี้เปิดให้ทุกคนในบริษัทที่สนใจส่งไอเดีย โดยมีเงินรางวัลอยู่ที่ห้าหมื่นบาท และถ้าใครเสนอไอเดียจนผ่านขั้นตอนไปจนถึงการผลิตส่งออกจำหน่ายแล้วละก็ยังจะได้กินเปอร์เซ็นต์การขายเป็นเวลาสามเดือนอีกด้วย เรียกได้ว่างานนี้มีคนในบริษัทไม่ว่าจะตำแหน่งไหนสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงพิรุณรัตน์ด้วย
ร่างเล็กยืนประสานมือมองจิรัฎร์ที่อ่านไอเดียโครงการที่จะส่งเข้าประกวดอย่างใจจดใจจ่อ ชายหนุ่มกวาดสายตาไปตามตัวอักษรที่พิรุณรัตน์ต้องการสื่อสาร เขาชอบไอเดียของเธอที่เป็นอาหารเข้าเซต ทั้งข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำและขนม ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อยที่เห็นว่าไอเดียบางอย่างอาจจะทำได้ยาก แต่ก็ถือว่าเปิดโลก และอาจจะได้พื้นที่การตลาดหากทำออกมาจริง ๆ คนสมัยนี้ชอบความแปลกใหม่ ซึ่งพิรุณรัตน์เสนอไอเดียด้านนั้นได้ดี
“อาชักอยากจะรู้แล้วว่าน้ำอัดลมรสชาติกะเพราหมูสับจะเป็นยังไง?” มือใหญ่ปิดหน้าแท็บเล็ตลงก่อนเอ่ยสิ่งที่ตนเองคิดไว้ทันทีที่อ่านไอเดียของหญิงสาวจบ ดวงตากลมโตฉายแววความไม่มั่นใจอยู่ในนั้นแต่ยังยิ้ม ตลอดหลายอาทิตย์ที่เขาช่วยเธอเรื่องโครงการเฟ้นหาไอเดียเมนูอาหารใหม่ของบริษัท เขารู้ดีว่าพิรุณรัตน์ทุ่มเททั้งกายและใจแค่ไหน หญิงสาวจะเข้างานก่อนเวลาทำงานประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อให้ได้มีเวลาคิดวิเคราะห์โครงการที่จะส่งประกวด พอนาฬิกาบอกเวลาเริ่มเข้างานเธอก็วางมันลงแล้วจัดการกับงานบริษัทที่ต้องเรียนรู้ พักเที่ยงไม่ได้ออกไปข้างนอก หญิงสาวเลือกสั่งดิลิเวอรีเพื่อประหยัดเวลาในการคิดงาน จิรัฎร์ยิ้มภูมิใจกับคนตัวเล็กที่ตอนนี้โครงการที่ตรากตรำทำมาหลายสัปดาห์ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้วเปลาะหนึ่ง
“พี่ไนต์ว่ามันโอเคไหมคะ เรนนี่กลัวว่ามันจะแปลกไป”
“การเสนอไอเดียไม่มีผิดหรือถูกหรอกครับ เซตเมนูอาหารของเรนนี่น่าสนใจมากครับ” ข้าวกะเพราะหมูสับถึงจะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่ก็ทำให้ถูกปากยาก อันที่จริงเขาเห็นด้วยกับประโยคในโครงการที่บอกว่ากะเพราหมูสับควรเป็นอาหารประจำชาติมากกว่า เพราะไม่ได้ทำยุ่งยาก และคนไทยส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อยเข้าร้านอาหารตามสั่งคิดเมนูไม่ออกก็ต้องสั่งกะเพราะหมูสับกันทุกราย
“ถ้าพี่ไนต์ว่าน่าสนใจเรนนี่จะลองตบ ๆ เกลา ๆ อีกนิดแล้วส่งเข้าประกวดเลยนะคะ”
“ครับ”
“เรนนี่ต้องขอบคุณพี่ไนต์มาก ๆ นะคะ” นั่นไง มาแล้วเสียงหวานหยด พร้อมทั้งสายตาปิ๊งปั๊งที่ทอดมองมา หญิงสาวพาตัวเองขึ้นมานั่งที่ตักของจิรัฎร์เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะลุกหนี ชายหนุ่มต้องขืนลำคอไว้เมื่อแขนเสลาคว้ามันทั้งยังโน้มให้ต่ำลง จมูกเล็กเกลี่ยไปตามแก้มสาก ซึ่งจิรัฎร์ก็พยายามอย่างยิ่งในการเบี่ยงหน้าหนี พอทนไม่ไหวจึงลุกพรวดทั้งแบบนั้น ผลคือพิรุณรัตน์ยังคงเกาะเขาไว้เหมือนลูกลิง จิรัฎร์แกะมือของลูกลิงออก วางเธอไว้ที่โต๊ะ ถอยห่างมาอีกหลายก้าว พิรุณรัตน์ย่นจมูกทำหน้าไม่พอใจ แต่ฉับพลันก็กระโจนมาหา ยกสองมือกระพุ่มกราบที่อกเขา
“ถ้าไม่มีพี่ไนต์เรนนี่ต้องแย่แน่ ๆ” มือที่พนมกราบเปลี่ยนมาเกาะยังอกแกร่ง หญิงสาวจงใจขยำนิด ๆ เพราะเขาได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อยแล้วคว้ามือนุ่มมากุมไว้
“ทุกอย่างเป็นเพราะความพยายามและความสามารถของน้องเรนนี่ครับ อาไม่ได้ทำอะไร” ว่าจบก็ปล่อยมือนั่นแล้วเขยิบถอยออกมาอีก พยายามหาทางไม่ให้หลังตนเองชิดกำแพงมาก หรือจนมุม เพราะเขาอาจจะโดนหญิงสาวต้อนอีกก็เป็นได้ แต่คราวนี้พิรุณรัตน์ไม่ได้เดินตาม หญิงสาวกลับไปที่โต๊ะแต่ยังไม่วายส่งจูบมาให้เขา ซึ่งเขาก็เอียงตัวหลบเล็กน้อย
“แหม...แค่จูบผ่านอากาศยังไม่รับ ใจร้ายจังนะคะ” พิรุณรัตน์บ่นกระปอดกระแปดไม่ได้จริงจังนัก หญิงสาวยู่ปากแล้วส่งค้อนมาให้
“เล่นตัวจริง ๆ” บ่นอีกนิดก่อนจะนั่งประจำที่แล้วทำงานต่อ จิรัฎร์ลอบถอนหายใจ จริง ๆ เขาควรจะชินได้แล้วกับท่าทางของพิรุณรัตน์ยามอยู่ตามลำพัง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ชิน เธอรุกเขาหนักขึ้นทุกวัน มีโอกาสก็คว้ามือเขาไปหอมไปจูบ หรือบางทีก็กระโจนกอดไม่ทันตั้งตัว เขาต้องแสร้งทำหน้าเข้มคิ้วชิด จนรู้สึกว่ารอยย่นมันเพิ่มขึ้นมาเยอะในเวลาเพียงไม่นานหลังจากได้พบเธอ
บทที่ 6 ปัทมายืนมองร่างสูงที่เดินเคียงข้างพิรุณรัตน์มาแต่ไกล ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะคืบหน้าไปเยอะ อาจเป็นเพราะโพรเจกต์โครงการที่พิรุณรัตน์ส่งเข้าประกวดก็เป็นได้ หล่อนเองก็ตั้งใจจะทำโครงการนี้เหมือนกัน แต่พอไปอ้อนจิรัฎร์เขากลับตอบปฏิเสธอ้อม ๆ ว่าไม่สะดวก มารู้ทีหลังว่าช่วยพิรุณรัตน์ก็รู้สึกเจ็บใจกว่าเก่า ตั้งแต่จิรัฎร์ย้ายเข้าไปทำงานในห้องเดียวกับพิรุณรัตน์หล่อนก็แทบไม่เจอชายหนุ่ม จะเข้าไปคุยก็มีก้างขวางคอตลอด ยิ่งช่วงนี้เธอต้องหาเงินมาใช้หนี้พนันที่เสียไปด้วย ไม่รู้จะไปเอาเงินมาจากไหน ตั้งใจจะจับผู้ชายในบริษัทสักคน เล็งจิรัฎร์ไว้ก็เหมือนจะหลุดมือไปเป็นของนังเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่น ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจนัก คิดไม่เท่าไหร่เจ้าหนี้ก็โทรมาทวงหนี้จนหล่อนต้องปิดมือถือหนี โครงการที่พิรุณรัตน์ส่งประกวดผ่านเข้
“พี่ไนต์ไม่รู้เหรอคะว่าตลอดเวลาที่พี่กับหล่อนแต่งงานกัน หล่อนไม่ได้มีพี่คนเดียว ผู้หญิงคนนั้นน่ะ” พิรุณรัตน์สะอื้นพลางปาดน้ำตาออกจากแก้ม “มีคนอื่นมาตลอดเวลา เรนนี่เห็นมาตลอด แต่เรนนี่พูดไม่ได้ ตอนนั้นเรนนี่กลัวว่าพี่ไนต์จะหาว่าเรนนี่เป็นเด็กเลี้ยงแกะ โกหกพกลม แต่ตอนนี้เรนนี่โตแล้ว เรนนี่มีสิทธิ์ที่จะบอก พี่ไนต์อย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้นอีกได้ไหมคะ เรนนี่พอมีสิทธิ์ไหมที่จะรักษาหัวใจของพี่ไนต์ไว้ เรนนี่ไม่ต้องการเห็นพี่ไนต์เจ็บปวดอีกแล้ว” ม่านตาของจิรัฎร์ขยายขึ้นหลังจากฟังประโยคยาว ๆ นั้น ถ้าจะย้อนไปก็ราว ๆ เก้าปีเศษ ๆ ตอนนั้นเขาทำงานใกล้ชิดพิมพ์บุปผาจึงเกิดเป็นความรักและคบหาดูใจกันสักพัก ก่อนจะเป็นฝ่ายขอแต่งงานหล่อนเอง เพราะรู้สึกอยากสร้างครอบครัวร่วมกับหล่อน โดยไม่รู้ว่าจริง ๆ พิมพ์บุปผาไม่ได้รักตนเองมากเท่าไรนัก หญิงสาวคบหาดูใจกับพนักงานหนุ่มไอทีอยู่แล้ว แต่เพราะฝ่ายนั้นเป็นเด็กกำพร้าและทำงานอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรในบริษัท
บทที่ 7 เข้าสู่เดือนที่สี่ของการมาทำงานที่บริษัทของบิดา พิรุณรัตน์เรียนรู้งานไปได้มากและเริ่มลงมือทำโพรเจกต์บ้างแล้วตามที่พิทักษ์มอบหมาย โดยมีจิรัฎร์ช่วยเป็นลูกมือคอยดูแลไม่ห่าง ส่วนเรื่องจีบจิรัฎร์ดูเหมือนไม่ค่อยคืบหน้าสักเท่าไร ชายหนุ่มตีหน้านิ่ง ทำซึนใส่ ทั้ง ๆ ที่เธอก็เห็นอยู่ว่าบางจังหวะที่เธอหยอดเขาก็แอบยิ้ม “เอกสารอะไรคะ?” พิรุณรัตน์ถามทันทีที่คนร่างสูงเดินมาพร้อมกับกระดาษเพียงหนึ่งแผ่น “ประกาศท่องเที่ยวประจำปีของบริษัทครับ เขาให้ลงชื่อว่าใครจะไปบ้าง” “เรนนี่ไปค่าาา!” หญิงสาวชูมือสุดแขน กระโดดดึ๋งดั๋งเหมือนเด็กน้อย จิรัฎร์ยิ้มพลางส่ายหน้าเอ็นดู ต่อให
บทนำ...ร่างเล็กที่อยู่ในชุดนักเรียนคอซองสีน้ำเงินผมยาวเพียงไหล่เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อรอรับคำตอบจากผู้ชายตัวสูงชะลูดตรงหน้า จิรัฎร์ยิ้มให้เด็กหญิงจนตาหยีภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะ เด็กสาวตรงหน้าคือน้องเรนนี่ หรือ พิรุณรัตน์ บุตรสาวของเจ้านายเขาเอง “ว่าไงคะ?” เด็กหญิงเร่งเร้าต้องการรู้คำตอบ“ชื่อไนต์นี่หมายถึงตอนกลางคืน อัศวิน หรือว่า ดี คะ?” คนถูกถามยอบตัวเล็กน้อยแล้วจึงตอบข้อสงสัย“หมายถึงตอนกลางคืนครับน้องเรนนี่”“แล้วทำไมเป็นกลางคืน ไม่เป็นอัศวินล่ะคะ?” เจ้าหนูจำไมช่างสงสัยยังถามต่อ แต่คนตัวสูงไม่ได้รู้สึกรำคาญเลย กลับเอ็นดูบุตรสาวของเจ้านายเสียมากกว่า“เพราะอาไนต์เกิดตอนกลางคืนครับ”“อ๋อ…” เด็กหญิงอ้าปากกว้าง พยักหน้าหงึกหงักทำเอาจิรัฏร์เอ็นดูกว่าเดิมจนต้องโยกศีรษะน้อยเบา ๆ“ก็เหมือนเรนนี่เลยน่ะสิ”“เหมือนยังไงครับ?”“คุณแม่คลอดเรนนี่ตอนที่ฝนกำลังตกค่ะ คุณพ่อเลยตั้งชื่อว่าฝน แต่แม่บอกว่าอยากให้อินเตอร์หน่อยเลยเปลี่ยนเป็นเรนนี่ค่ะ” เด็กหญิงเรนนี่ยิ้มกว้างอวดฟันซี่เล็ก ๆ แสนน่ารักทันทีที่พูดจบ จิรัฎร์เองก็พลอยยิ้มตามไปด้วย เพราะความสดใสและน่ารักของเด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบเท่านั้น ชายหนุ
บทที่ 1 เงาที่สะท้อนภาพจากกระจกปรากฏร่างอรชรในวัย 22 ปีบริบูรณ์ หญิงสาวมีร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวนวลราวหยวกกล้วย ผมยาวดัดลอนถึงกลางหลัง ใบหน้าสวยหวานถูกเคลือบไปด้วยเครื่องสำอางราคาแพงอย่างบางเบา “ต่างหูคู่ไหนดีน้า?” ใบหน้าสวยหวานทำปากยื่น กำลังใช้ความคิด หญิงสาวมองสิ่งของชิ้นเล็กในมือทั้งซ้ายและขวาสลับกันไปมา ยังเลือกต่างหูที่จะสวมในวันนี้ไม่ได้เลย ซ้ายก็น่ารัก ขวาก็ดูเรียบหรู “เรนนี่เสร็จหรือยังลูก เดี๋ยวได้ไปทำงานสายกันพอดี” เสียงของมารดาเรียกให้สาวสวยในกระจกตัดสินใจเลือกเป็นต่างหูมุกแบบเรียบแทนต่างหูเพชรรูปโบประกายวิบที่ดูน่ารัก ด้วยเพราะวันนี้คือวันแรกที่หญิงสาวจะได้เข้าไปทำงานที่บริษัทของบิดา เรนนี่ หรือ พิรุณรัตน์ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวโอภาสภัทร คุณพิทักษ์ผู้เป็นบิดาเป็นนักธุรกิจด้านพัฒนาอาหารสำเร็จรูปหลากหลายแบบ อาทิเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ผลไม้อบแห้ง และอื่น ๆ ภายใต้แบรนด์มีน่าซึ่งนำมาจากชื่อจริงของภรรยานั่นเอง พิรุณรัตน์เรียนจบคณะบริหารธุรกิจตามที่ตั้งเจตนารมณ์ไว้ตั้งแต่แรก หญิงสาวเข้าออกบริษัทของบิดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงวิ่งเล่นสนุกสนาน รู้ทุกซอก
“เฮ้อ...” ลมหายใจหนักหน่วงถูกระบายออกจากปากได้รูป จิรัฎร์ถอดแว่นสายตาออก วักน้ำใส่หน้าเพื่อเรียกสติ เขาอายุสามสิบแปดแล้วทำไมจะไม่รู้ว่าพิรุณรัตน์คิดอย่างไรกับตนเอง หญิงสาวเริ่มมีท่าทีแปลกไปก็ตอนที่เริ่มแตกเนื้อสาว สายตาของเด็กสาวทอประกายยามมองเขาทุกครั้ง พิรุณรัตน์มักส่งยิ้มและมีท่าทีขวยเขินเวลาพบกันทุกเมื่อ แต่จิรัฎร์นั้นพยายามนิ่งเฉยและมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู พยายามเว้นระยะห่างด้วยสถานะและอายุของเด็กหญิงที่ห่างจากเขาถึงสิบหกปี แม้ตอนนี้เด็กสาววัยรุ่นในวันนั้นจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่สวยสะพรั่ง แต่เขาก็ไม่คิดเกินเลยกว่าความเอ็นดูที่มีให้หญิงสาวจิรัฎร์ หรือ อาไนต์ ของคุณหนูเรนนี่ เริ่มทำงานที่นี่ตั้งแต่อายุยี่สิบหก เขารู้จักกับพิทักษ์เพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย แม้จะอยู่คนละรุ่นและอายุห่างกันกว่าหนึ่งรอบ แต่เพราะมีใจรักชอบคล้าย ๆ กันจึงสนิทสนมและคบหาเป็นเพื่อนในชีวิตกันมาหลายปี จิรัฎร์สำนึกในบุญคุณของเพื่อนรุ่นพี่อย่างพิทักษ์อยู่เสมอ เนื่องจากเมื่อประมาณสิบสองปีก่อนบิดาของจิรัฎร์ป่วยเป็นมะเร็งระยะที่สาม ตอนนั้นชายหนุ่มทำงานที่บริษัทข้ามชาติที่หนึ่ง มีหน้าที่การงานและเงินเดือนที่เรียกว่าดีมาก
บทที่ 2จิรัฎร์ขยับเนกไทของตนเองแม้มันจะไม่ได้อึดอัดเลยสักนิด แต่ที่ทำให้รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง คงเป็นเพราะแม่สาวแก้มป่องที่ยืนกอดอกส่งสายตาคาดโทษมาที่เขา พิรุณรัตน์ส่งค้อนวงใหญ่มาให้ก่อนจะก้าวเข้ามาประชิด“อาไนต์ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลย รู้ไหมคะ?” “ครับ?” คนที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นผิดอะไรเลิกคิ้วขึ้น สายตาเลื่อนมองไปยังนิ้วเรียวที่เริ่มไต่อยู่บนช่วงแขนของเขา ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามาจนมือเรียวเล็กทาบทับอยู่กลางอก จิรัฎร์กลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอมองพิรุณรัตน์ไม่วางตา ไพล่คิดไปถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่หญิงสาวบอกเขาว่าต้องการเป็นแฟนกับเขา ตอนนั้นยังคิดว่าโตขึ้นพิรุณรัตน์ต้องเป็นสายรุกแน่ ๆ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเจอเธอรุกคืบขนาดนี้ “อาไนต์จะไปยิ้มให้ผู้หญิงคนอื่นแบบนั้นไม่ได้นะ เรนนี่ไม่ยอม” ว่าจบแขนเสลาก็คล้องเข้ากับลำคอของจิรัฎร์ ใบหน้าสวยหวานยื่นเข้ามาใกล้ หญิงสาวจงใจเป่าลมร้อนรดใบหูบรื๋อออ… ขนบนกายชายหนุ่มลุกพรึ่บ จิรัฎร์พยายามขืนลำคอไว้เมื่อหญิงสาวตั้งใจโน้มมันให้ลงมา“รอยยิ้มของอาไนต์มีให้เรนนี่คนเดียว เข้าใจไหมคะ?” “น้องเรนนี่ อาว่า...” “จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งพูดค่ะ” พิรุณรัตน์ส่าย
“น้องเรนนี่ว่าอะไรนะคะ?” ท้ายประโยคพิรุณรัตน์ตั้งใจพูดให้ปัทมาได้ยินคนเดียว หล่อนส่งสายตาดุกร้าวมาให้ แต่พิรุณรัตน์กลับตอบด้วยรอยยิ้มแฉ่งอย่างเคย “เปล่านี่คะ” ว่าจบก็ยักไหล่ เหยียดมุมปากให้คู่แข่งอย่างปัทมาได้เห็นซึ่งหน้าเพื่อเป็นการประกาศสงคราม และบอกว่าเธอจะลงสนามแล้วให้ระวังตัวไว้ให้ดี ปัทมาหน้าเจื่อน แต่ก็เพียงครู่เดียว ก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้“พี่ไนต์คะ พอดีมีเอกสารที่ปัดไม่ค่อยเข้าใจ ยังไงพี่ไนต์ช่วยมาดูให้ปัดหน่อยนะคะ”“คงไม่ได้หรอกค่ะพี่ปัด” ยังไม่ทันที่จิรัฎร์จะได้ตอบคำถามพิรุณรัตน์ก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวคว้าแขนจิรัฎร์ให้ชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ ทั้งยังเอียงศีรษะซบไหล่กว้างอีกด้วย“เช้านี้อาไนต์มีงานต้องสอนเรนนี่อีกเยอะเลยค่ะ เรนนี่ต้องรีบเรียนรู้งานเพื่อเข้ามาช่วยงานคุณพ่อน่ะค่ะ เลยต้องสอนงานอย่างใกล้ชิด รบกวนพี่ปัดไปศึกษาหาข้อมูลด้วยตนเองแทนนะคะ” อีกครั้งที่ผกามาศ นันทินีและณัฐพรมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เมื่อหยิบกาแฟได้แล้วก็ค่อย ๆ ย่องออกจากพื้นที่ที่เรียกได้ว่าระอุยิ่งกว่าสงคราม สามสาวมองหน้ากันอีกครั้งพยักหน้าพร้อมกันเป็นการรับรู้ แม้ปากจะไม่ขยับว่าขณะนี้มีศึกชิงพระเกิดข