ตอนที่
[7] จบสิ้นกันเสียที ค่ำคืนนี้ของคนตระกูลฉีจึงไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป นางไม่ได้ดูต่อว่าพวกเขาจัดการอย่างไร ด้านหลังมีเพียงห่อผ้าน้อย ๆ รีบหาทางลัดเลาะออกจากจวนมาพร้อมกับอ้ายมี่ด้วยหัวใจที่ด้านชา ออกจากจวนก็ง่ายถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดที่ผ่านมานางจึงไม่เคยคิดจะทำ เรื่องเมื่อครู่หากจะว่านางใจร้าย นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาใจร้ายกับนางก่อนหรือ และเรื่องราวของนางกับตระกูลฉีไม่ได้จบลงง่าย ๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน เพราะนางจะทำให้พวกเขาเสียใจที่ตัดสินใจละทิ้งคนที่พวกเขาเรียกว่า ‘ตัวซวย’ ออกจากจวนไปทั้งชาติก่อนและชาตินี้!! นางจะพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นว่านางมิใช่ตัวซวยแต่อย่างใด แต่จะเป็นคนที่พลิกสถานการณ์ให้กับแคว้นตี้เสียด้วยซ้ำ หากแต่วันนี้การได้จัดการถงเจี้ยนอย่างสาสมและได้ก้าวออกมาจากจวนตระกูลฉีก็ถือว่าเป็นความสำเร็จก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ของนางแล้ว เริ่มต้นได้ดี “คุณหนูดึกดื่นเช่นนี้เราจะไปที่ไหนต่อกันดีเจ้าคะ” อ้ายมี่มีความหวาดกลัวอยู่ในหัวใจหลายส่วน ด้วยตนก็เพิ่งได้ออกจากจวนเมื่อไม่นานมานี้ยามที่ต้องออกไปทำภารกิจลับให้คุณหนูและยามนี้ก็เป็นการออกจากจวนที่อยู่มาตั้งแต่เด็กอย่างถาวรในใจจึงรู้สึกวูบโหวงไม่น้อย จื่อหรานดึงมือของสาวรับใช้ไปกุมไว้เพื่อทำให้อีกฝ่ายเห็นว่ายังมีนางที่อยู่ตรงนี้ “เราไปพักที่โรงเตี๊ยมกันก่อนเถิด จากนั้นจะอย่างไรต่อพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” ท่ามกลางเส้นทางที่มีเพียงแสงจากดวงจันทร์สีเหลืองนวลทอแสงลงมา เส้นทางที่พวกนางเดินอยู่ไม่ได้มีคนพลุกพล่านอันใดเพราะเป็นเขตบ้านเรือนของขุนนาง แต่เมื่อเดินพ้นออกมาก็พบว่าด้านนอกไม่ได้เงียบเฉกเช่นที่ควรจะเป็น ร้านค้าหลายร้านก็ยังคงเปิดทำการ โรงเตี๊ยม ร้านอาหารต่าง ๆ โดยเฉพาะหอโคมเขียวที่มักจะเป็นที่ปลดปล่อยอารมณ์ของเหล่าบุรุษหลายคนที่อยู่ในตรอกซอยหนึ่งก็ยิ่งคึกคักกว่าที่ใด นางเลือกโรงเตี๊ยมขนาดกลางที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ราคาพอรับได้เพื่อใช้เป็นที่หลับนอนในคืนนี้ ดวงตาราวกับเมล็ดซิ่งทอดมองไปยังท้องนภาพลางตกอยู่ในภวังค์ของตน ชีวิตใหม่ของนาง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ยามเหม่าของวันรุ่งขึ้น สองนายบ่าวรีบออกจากโรงเตี๊ยมพลางแต่งกายด้วยชุดที่รัดกุม สวมหมวกม่านแพรเพื่อปิดบังหน้าตา ภารกิจเช้านี้เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่สำคัญมาก นั่นก็คือการโหมกระพือเรื่องเมื่อคืนให้คนในเมืองหลวงได้รับรู้! ไม่นานในช่วงสายของวันทุกคนก็ได้รู้ข่าวที่แสนโสมมของคนตระกูลฉีกันอย่างถ้วนหน้า ข่าวนี้ทำให้สายตาของคนทั้งเมืองหลวงล้วนแต่มองตระกูลฉีเปลี่ยนไป ใจความสำคัญของข่าวคือ ตระกูลฉีสนับสนุนให้หลานชายที่เป็นญาติฝั่งฉีฮูหยินร่วมรักกับบ่าวชายอย่างโจ่งแจ้งที่เรือนของคุณหนูหก คุณหนูหกนั้นไม่เห็นด้วยกับการกระทำในครั้งนี้ สุดท้ายจึงถูกไล่ออกจากจวนในกลางดึกเมื่อคืนที่ผ่านมา จนถึงยามนี้ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด นอกจากข่าวนี้จะเป็นที่น่าตกใจสำหรับผู้คนแล้ว คำว่า ‘คุณหนูหก’ ยังทำให้พวกเขาเพิ่งนึกขึ้นได้หรือบางคนก็เพิ่งได้รู้ว่า….แท้จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้มีบุตรสาวเพียงห้าคน แต่แท้จริงมีถึงหกคนเลยทีเดียว เมื่อมีเรื่องตั้งต้น ผู้คนก็คิดต่อไปเรื่อย ๆ เหตุใดที่ผ่านมาตระกูลฉีจึงพาเพียงบุตรสาวห้าคนไปร่วมงานต่าง ๆ แล้วเหตุใดบุตรสาวคนที่หกจึงไม่มีผู้ใดพบเห็น สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่ จื่อหรานได้หว่านเมล็ดพันธุ์ของความสงสัยเข้าไปในจิตใจของผู้คนจนสำเร็จ เช้านี้จึงรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก่อนจะรีบไปถอนเงินส่วนหนึ่งที่ฝากไว้แล้วพาบ่าวรับใช้ไปกินของอร่อยที่สอบถามจากคนแถวนั้นเพื่อจะได้ทำธุระในเรื่องต่อไปต่อ “เราจะเช่าบ้านในเมืองหลวงหรือเจ้าคะ” อ้ายมี่เอ่ยถามเจ้านายระหว่างที่นั่งกินอาหารกันด้วยความสงสัย นางนึกว่าคุณหนูจะไปจากเมืองหลวงเสียอีก จะได้ไม่ต้องพบกับคนตระกูลฉีรวมถึงทิ้งเรื่องราวแย่ ๆ ไว้เบื้องหลัง “ข้ายังไปจากเมืองหลวงตอนนี้ไม่ได้หรอกอ้ายมี่ มีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี ไม่สิ อาจจะสองปีนับจากนี้ หลังจากนั้นเราค่อยไปจากเมืองหลวงกัน เจ้าจะร่วมทำสิ่งที่สำคัญกับข้าหรือไม่อ้ายมี่ แต่ข้าบอกไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เสี่ยงมาก ชีวิตของเจ้าอาจจะไม่ปลอดภัย” “คุณหนู….” อ้ายมี่จับมือของเจ้านายเอาไว้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแน่วแน่ “ไม่ว่าในอนาคตจะอันตรายเพียงใด ขอเพียงมีคุณหนูอยู่ บ่าวก็จะอยู่เคียงข้างคุณหนูเจ้าค่ะ เราจะไม่จากกันไปที่ใด ต่อให้คุณหนูจะไล่บ่าวก็เถอะ” “ใครจะไล่เจ้ากัน รีบกินเถิด จะได้ไปหาบ้านกัน” จื่อหรานยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับสาวรับใช้คนสนิท อ้ายมี่รู้สึกว่าสายตาของตนกำลังพร่ามัว รอยยิ้มคุณหนูภายใต้หมวกม่านแพรใบใหญ่นั้นงดงามเสียเหลือเกิน นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูยิ้มแบบปกติ ไม่ใช่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดหวั่นเฉกเช่นในยามที่ฟื้นขึ้นมา กล่าวว่าจะไปหาบ้านแต่เหตุใดคุณหนูของตนจึงเอาแต่มองหาบ้านร้างหรือบ้านเก่า ๆ ที่ห่างไกลผู้คนกันเล่า หรือคุณหนูชินกับความลำบากในตระกูลฉีไปเสียแล้ว อ้ายมี่คิดอย่างไม่เข้าใจ จริงอยู่ว่าต้องประหยัดเงิน แต่บ้านที่เถาวัลย์ขึ้นเช่นนี้จะรอดหรือ จื่อหรานมองอ้ายมี่ด้วยความเอ็นดู สิ่งที่นางต้องการคือบ้านที่ห่างไกลผู้คนและมีพื้นที่เพาะปลูกพอสมควร ในช่วงแรกอาจจะไม่มาก แต่เมื่อเก็บเงินได้ นางจะค่อย ๆ ขยายพื้นที่เพื่อทำการเพาะปลูกครั้งใหญ่ ในหนึ่งปีนับจากนี้จะมีโรคระบาดที่รุนแรงมากระบาดในแคว้นตี้ที่นางอยู่แห่งนี้…. ไม่แน่ใจว่าต้นเหตุนั้นเกิดจากสิ่งใด แต่ในยามที่นางตายจากไปแล้วได้พบกับโลกอนาคต ที่นั่นก็มีการเกิดโรคระบาดเช่นนี้ อาการของผู้คนที่นั่นก็คล้ายกับที่คนในแคว้นของนางประสบนัก แต่หากการรักษาที่นี่ไม่เหมือนกับที่นั่น สุดท้ายจึงได้ล้มป่วยแล้วพากันตกตายเป็นจำนวนมาก ไม่สิ ตายกันเกือบทั้งเมือง!! หากแต่ที่โลกอนาคตนั้นนอกจากผู้คนจะไม่เป็นอันใดแล้ว ร่างกายของพวกเขายังแข็งแรงขึ้น เพียงเพราะสามารถคิดค้นสูตรการกินสมุนไพรทั้งสดและแห้งหลายชนิดรวมกัน จนสามารถต้านทานโรคและเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ ดังนั้น เมื่อนางได้ย้อนเวลากลับมา หนึ่งอย่างที่นางต้องการจะทำนั่นก็คือนางตั้งใจว่าจะช่วยประชาชนแคว้นตี้ให้รอดพ้นจากโรคระบาดให้จงได้ และการกระทำในครั้งนี้นอกจากจะได้ช่วยคนในแคว้นแล้วนางยังจะได้แก้แค้นคนบางคนอีกด้วย ในอดีตคนในเมืองหลวงล้วนแต่ต้องตายเกือบหมด ไม่เว้นแม้แต่คนตระกูลฉี ที่นางรู้เพราะก่อนที่นางจะถูกดึงไปยังโลกอนาคต นางได้เห็นภาพจุดจบของที่นี่บางส่วนก่อนไป เนื่องด้วยว่าโรคระบาดเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ทันให้ทุกคนได้ตั้งตัวหรือแม้แต่ตั้งรับใด ๆ ความตายก็มาพรากเอาชีวิตไปเสียแล้ว แม้แต่ชนชั้นสูงในเมืองหลวงที่สุดท้ายมีเงินหรือมีอำนาจเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ด้านประชาชนทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง กลับมาที่คนตระกูลฉี ครานี้เมื่อนางกลับมาแล้ว นางจะให้พวกเขาตายง่าย ๆ เช่นนั้นได้อย่างไร มันควรจะต้องเจ็บปวดทั้งกายและใจ รวมถึงสูญสิ้นทุกอย่างในขณะที่ผู้อื่นล้วนแต่รอดชีวิตและก้าวหน้าสิถึงจะถูก ให้สาสมกับที่พวกเขาวางแผนการชั่วเพื่อให้คนภายนอกเข้ามาย่ำยีคนในครอบครัวของตนเองเพียงเพราะความเกลียดชังและความอิจฉาริษยา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความลึกล้ำแค่นหัวเราะออกมาเมื่อคิดว่าหากยามนั้นสำเร็จมันจะน่าสะใจเพียงใดและในระหว่างนั้นเองที่หางตาของหญิงสาวมองเห็นบางอย่าง ครานี้ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความสดใส ก่อนจะเดินไปยังบ้านหลังหนึ่งด้วยความมั่นใจ“ท่านยายทำอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ”
ตอนที่[8]บ้านใหม่ หญิงชราสองคนชะงักมือที่กำลังทำบางอย่างลง สายตาทอดมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัยก่อนจะพบกับสตรีสองคนที่อยู่ในอาภรณ์สีเข้มปกปิดร่างกายมิดชิด และทันทีที่สตรีที่เป็นผู้เอ่ยเสียงเรียกพวกนางในตอนแรกถอดหมวกม่านแพรที่ปิดบังใบหน้าออก ทันใดนั้นหญิงชราทั้งสองก็พบว่าบริเวณนี้คล้ายมีเหล่ามวลบุปผชาติแข่งกันเบิกบานชูช่ออย่างคึกคัก ทั้งที่ที่นี่ไม่มีบุปผาที่ว่าแม้แต่ดอกเดียว ช่างงดงามยิ่ง แม้ว่าช่วงชีวิตจะเคยได้พบเจอกับสตรีงดงามมามากมายหลายคนแต่สตรีตรงหน้าล้วนแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทว่าเมื่อคิดได้ว่าสตรีผู้งดงามมาทำอันใดที่เรือนห่างไกลผู้คนเช่นนี้ ความระแวดระวังก็เกิดขึ้นโดยทันที อีกฝ่ายมีจุดประสงค์อันใดกันแน่ จื่อหรานรู้ว่าทั้งสองกำลังคิดสิ่งใดจึงถือวิสาสะก้าวข้ามเขตประตูเรือนเข้าไปเพื่อเข้าไปแนะนำตัวกับทั้งคู่ทันที “ท่านยายทั้งสอง ข้ามีนามว่าจื่อหรานส่วนนี่คือบ่าวของข้านามว่าอ้ายมี่….” เมื่อครู่นางเห็นว่าประตูเรือนของพวกเขาปิดไม่สนิทเท่าใดจึงสามารถมองเห็นได้ว่าในเรือนนี้มีสตรีสองคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำบางอย่างอยู่และเรือนหลังนี้ช่างตรงความต้องการของนางเหลือเกิน พื้นที่ก็มีพอสมค
ตอนที่[8]บ้านใหม่ ในครัวมีพวกเนื้อแห้ง ผลไม้แห้งและผักที่ตากแห้งเอาไว้จำนวนหนึ่ง รวมถึงข้าวสารและเครื่องปรุงที่จำเป็นก็มีครบ นางจึงได้รีบก่อไฟเพื่อหุงข้าว อาหารเที่ยงนี้นางจะทำแบบง่าย ๆ เช่น เนื้อแห้งผัดใส่ผักและไข่ตุ๋น อาหารสุดทำง่ายแต่อร่อยของโลกอนาคต ส่วนของหวานก็จะเป็นผลไม้แห้งตุ๋นใส่น้ำตาลแบบง่าย ๆ ผ่านไปครึ่งชั่วยามอาหารทั้งหมดก็วางบนโต๊ะขนาดกลางเรียบร้อย เจ้าของบ้านต่างมองอาหารเหล่านั้นด้วยความสนใจ หน้าตาของอาหารดูแล้วชวนน้ำลายสอนัก จื่อหรานและอ้ายมี่ช่วยกันเตรียมตะเกียบและข้าวขาวสองถ้วยให้ทั้งสองคน หากแต่มีผู้หนึ่งนั่งลงอย่างรวดเร็วกับอีกผู้หนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น “ท่านยายไม่กินหรือเจ้าคะ” จื่อหรานถามผู้ที่ยืนอยู่ด้วยความสงสัย “เอ่อคือ….” “จี้ชง รีบนั่งลงเถิด นังหนูทั้งสองอุตส่าห์ทำอาหารให้กิน” “เอ่อ จะ เจ้าค่ะ” หืม เจ้าค่ะเช่นนั้นหรือ จื่อหรานมองทั้งคู่สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย “จี้ชงคือบ่าวรับใช้ของข้า” ในที่สุดท่านยายที่นั่งอยู่ก็เอ่ยขึ้น “ข้าเคยร่ำรวย มีบ่าวรับใช้มากมาย และจี้ชงคือบ่าวคนสนิท หากแต่ยามนี้…...” หญิงชรายังกล่าวไม่จบ จื่อหรานก็รีบนั
ตอนที่[9]เข้าป่าตามหาสมุนไพร “ท่านยายเจ้าคะ ข้าอยากสอบถามว่าในเมืองหลวงมีป่าที่ใดที่มีสมุนไพรและให้คนสามารถเข้าไปเก็บได้บ้างเจ้าคะ” หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้วจื่อหรานจึงได้สอบถามในสิ่งที่ตนอยากรู้ซึ่งเป็นภารกิจต่อไปที่นางต้องทำ “หืม เจ้าอยากจะไปเก็บสมุนไพรเช่นนั้นหรือ” “เจ้าค่ะ ระหว่างที่อยู่ที่นี่นอกจากปลูกผักแล้ว ข้าก็อยากจะปลูกสมุนไพรด้วย ท่านยายจะว่าอันใดหรือไม่เจ้าคะ” กล่าวแล้วส่งสายตาออดอ้อน เซี่ยเถาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “เรื่องว่าข้าไม่ว่าอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่าสมุนไพรที่เจ้าต้องการจะอยู่ในป่าแถวนี้หรือไม่ เหตุใดไม่ไปดูตามขายร้านสมุนไพรเล่า” “ที่จริงเมื่อเช้านี้เราสองคนเดินหาตามร้านต่าง ๆ แล้วพบแค่บางตัวเท่านั้นเจ้าค่ะ” นี่เป็นเรื่องที่นางหนักใจ หากหาได้ไม่ครบจะทำอย่างไร แต่นางจะต้องลองดูก่อน หากไม่มีที่ร้านก็ต้องเข้าป่า ไม่แน่มันอาจจะมีแต่คนไม่รู้จักก็เป็นได้ “จี้ชงเจ้ารู้จักป่าที่ให้คนเข้าไปเก็บสมุนไพรได้หรือไม่” “รอสักครู่นะเจ้าคะ” จู่ ๆ ท่านยายจี้ชงก็เดินออกไปนอกเรือน นางสงสัยไม่น้อยว่าอีกฝ่ายออกไปเพราะเหตุใด หรือจะไปถามไถ่เพื่อนบ้านแต่ระหว่างที่นางเด
ตอนที่[10]เราเหมือนกันแล้ว“เช่นนั้นท่านยายรับเงินนี่ไปเถิดเจ้าค่ะ” จื่อหรานยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เซี่ยเถาด้วยเพราะความเกรงใจอย่างถึงที่สุด “หรานเออร์ไม่ต้องคิดมากนี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” หากแต่หญิงชรากับกล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่เดือดร้อนอันใด ซึ่งนี่ต่างจากท่าทางของชาวบ้านธรรมดายิ่งนัก “พวกข้ามารบกวนท่านยายแท้ ๆ หากไม่รับเป็นเงิน เช่นนั้นคืนนี้ให้ข้านวดให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”ในโลกอนาคตนั้นการนวดถือว่าได้รับความนิยมไม่น้อยเพราะสามารถคลายความเมื่อยล้าได้ นางก็ได้ไปเรียนรู้มาไม่น้อยเช่นกัน“เจ้าสามารถนวดได้ด้วยหรือ” เด็กสาวผู้นี้ทำให้เซี่ยเถาแปลกใจได้อีกหน คนผู้นี้มีอันใดที่ทำไม่ได้บ้าง นี่ช่างเสียดายแทนบ้านเดิมของนางเสียจริงที่ปล่อยให้สิ่งล้ำค่าเช่นนี้หลุดออกมาได้ ทว่าเมื่อคิดถึงบ้านเดิมของเด็กสาวแล้วดวงตาที่ราวกับรัตติกาลลึกล้ำก็ปรากฏขึ้น คนชั่วเหล่านั้นไม่สมควรที่จะเป็นครอบครัวของหรานเออร์แม้แต่น้อย!กล่าวถึงเหล่าคนชั่วที่ว่ายามนี้เรือนตระกูลฉีต่างกำลังลุกเป็นไฟด้วยข่าวของถงเจี้ยนนั้นโหมกระพือเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อทุกคนในจวนโดยเฉพาะฉีหวัง เขาเป็นขุนนางที่มีหน้ามีตาผู้
ตอนที่[10]เราเหมือนกันแล้วและแล้วจื่อหรานก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เพราะผ่านไปเพียงสิบวันผักที่ปลูกก็งอกงามเขียวขจีขึ้นจนเต็มแปลงไปหมดเซี่ยเถาแทบจะทำป้ายประกาศถึงความเก่งกล้าสามารถของจื่อหรานไปติดจนทั่วเมืองหลวงให้ทุกคนได้รับรู้“หรานเออร์เจ้าช่างวิเศษนัก” หญิงชรากอดจื่อหรานแน่นพลางมองไปที่ผลผลิตที่ตนได้ลงมือปลูกเมื่อหลายวันก่อน ในที่สุดมันก็สำเร็จ“ดีใจด้วยนะเจ้าคะท่านยายเซี่ย ท่านยายจี้” จี้ชงนั้นก็ดีใจไม่แพ้ผู้เป็นนาย เพราะตนเห็นตั้งแต่ต้นว่าผู้เป็นนายพยายามที่จะปลูกผักมานานเท่าไรแต่มันก็ไม่เคยสำเร็จเสียที หากแต่วันนี้พอมีจื่อหรานเข้ามาความพยายามหลายปีก็สามารถสำเร็จได้อย่างง่ายดาย และนานเพียงใดแล้วที่ตนไม่ได้เห็นผู้เป็นนายยิ้มกว้างมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ ตั้งแต่นายท่านผู้เฒ่าจากไป….ความประทับใจของหญิงชราทั้งสองต่อเด็กสาวนามว่าจื่อหรานยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน และเมื่อวันหนึ่งก็ทำให้เซี่ยเถาตัดสินใจบางอย่างได้ เพราะตนเพียงบ่นว่าปีนี้ผมของตนขาวขึ้นกว่าปีที่แล้วมา บ่งบอกถึงร่างกายที่ใกล้โรยราและสุดท้ายไม่นานก็คงร่วงหล่นไม่น่าเชื่อว่าวันรุ่งขึ้นก็ต้องพบกับความตกใจ เพราะผมของจื่อหรานนั
ตอนที่[11]ครอบครัวใหม่ที่ไม่ธรรมดา กล่าวว่าจะได้ไปพบกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวนางก็พบว่าเรื่องราวมันไม่ธรรมดาตั้งแต่เริ่มต้น ท่านยายกล่าวว่าจะล่วงหน้าไปที่สถานที่นัดพบก่อนหนึ่งวันให้นางรออยู่ที่บ้านแล้วจะมีคนมารับในวันพรุ่งนี้ “คุณหนู เหตุใดบ่าวจึงคิดว่าเรื่องราวมันเต็มไปด้วยความซับซ้อนไม่ธรรมดาเจ้าคะ” แม้แต่อ้ายมี่ยังจับสังเกตได้ “คุณหนูจะลองคิดดูใหม่หรือไม่เจ้าคะ” แม้จะดีใจกับคุณหนูที่จะมีครอบครัวใหม่ แต่หากเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสงสัยเช่นนี้นางก็อยากจะให้คุณหนูลองทบทวนข้อเสนอดูอีกครั้ง “ทุกอย่างเต็มไปด้วยความน่าสงสัยก็จริง แต่ข้าคิดว่าเรื่องราวที่รออยู่ภายภาคหน้าคงจะไม่น่าหวาดหวั่นเท่าใดนัก แต่หากว่ามันอันตราย ข้าจะพาเจ้าหนีออกมาให้เร็วที่สุดดีหรือไม่” นี่เป็นการตัดสินใจของจื่อหราน หากว่าเรื่องมันไม่ชอบมาพากลจริง ๆ ก็แค่พากันหนีอีกครั้งก็แค่นั้น ท้ายที่สุดอ้ายมี่ก็พยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของผู้เป็นนาย ในเช้าวันรุ่งขึ้นมีรถม้าคันใหญ่มาจอดรอที่หน้าเรือนตามเวลาที่ท่านยายบอกไว้ไม่ขาดไม่เกิน ผู้ที่ก้าวลงรถม้าคือสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาท่าทางภูมิฐาน “ท่านคือคุณหนูจื่อห
ตอนที่[12]ไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น ผู้ที่มาใหม่เพียงแค่เห็นชายอาภรณ์ของเขาที่เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างนางก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่ก็เป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา คงเป็นเชื้อพระวงศ์สักคนเช่นเดียวกันกับคนอยู่ด้านหน้าของนาง แต่แล้วสิ่งที่นางสงสัยก็ได้รับความกระจ่างเมื่อท่านยาย ไม่สิ ไทเฮาเอ่ยทักทายคนผู้นั้น “ซื่อจื่อไม่ได้พบกันนาน นึกว่าจะคิดถึงย่าแต่กลับมาจับผิดย่าหรือนี่” “คนที่หลานจับผิดหาใช่เสด็จย่าแต่เป็นผู้อื่นต่างหาก” ว่าแล้วดวงตาคมกริบก็ตวัดสายตาไปมองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ เซี่ยไทเฮาถอนหายใจออกมา รู้สึกเหนื่อยใจกับหลานชายคนโปรดแต่ก็ทำอันใดไม่ได้เพราะนี่คือหลานชายคนโปรดที่ช่วยแบ่งเบาภาระของแคว้นไปได้หลายอย่าง โดยเฉพาะตรวจสอบในเรื่องความโปร่งใสและความถูกต้องภายในแคว้น “หรานเออร์ คนที่อยู่ข้างเจ้าคือชินอ๋องซื่อจื่อ เสวี่ยจิ้น โอรสองค์โตของชินอ๋องและเป็นหลานชายคนโตของข้าเอง อ้อ ส่วนข้าคือเซี่ยไทเฮา” ไทเฮาแนะนำหลานชายไม่พอยังแนะนำตนเองด้วย “จื่อหรานคารวะไทเฮา คารวะชินอ๋องซื่อจื่อเจ้าค่ะ” เซี่ยจื่อหรานแม้จะคุกเข่าอยู่หลังจากที่คาระวะไทเฮาแล้วก็เบี่ยงกายไปคารวะผู้ที่อยู่ด้านข้างโดยไม่ได้เงยหน้า
ตอนที่[12]ไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น “ก็นางได้ยินว่าตัวข้านั้นบ่นว่าผมเริ่มขาวขึ้นทุกวัน เช่นนี้ร่างกายก็คงจะโรยราไม่นานก็จะจากไป” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ส่งแววตาเอื้อเอ็นดูให้หลานสาวก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วจากนั้นวันรุ่งขึ้นผมของนางก็กลายเป็นสีขาวเสียแล้ว พร้อมกล่าวว่าตอนนี้สีผมเราเหมือนกันแล้วและต่อไปเราจะแข็งแรงไปด้วยกันอีก จะไม่ให้ข้าบอกว่านางน่ารักได้อย่างไร” “หึ ช่างเอาใจถูกวิธีนัก” ชินอ๋องซื่อจื่อ “…..” เซี่ยจื่อหราน “จิ้นเออร์ เจ้าอย่ามองน้องในแง่ร้าย จะมีสตรีที่ใดจะยอมเปลี่ยนสีผมของตนให้กลายเป็นสีของคนแก่เช่นนี้” เซี่ยไทเฮา “ก็สตรีที่คิดการใหญ่อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” “จิ้นเออร์ เจ้านี่นะ” เซี่ยไทเฮาส่ายพระพักตร์พลางถอนหายใจอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าใช้วิธีการใดหรือ” ชินหวางเฟยยังคงสนใจเกี่ยวกับสีผมของหญิงสาว “หม่อมฉันใช้….” “เสด็จแม่คงจะไม่คิดเปลี่ยนสีผมเป็นสีขาวหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องคิดเปลี่ยนหรอกอีกไม่กี่ปีก็คงจะขาวหมดแล้วกระมัง” “ซื่อจื่อเจ้าว่าแม่แก่หรือ!!” ครานี้ชินหวางเฟยหันไปถลึงตาใส่บุตรชายอย่างเสียกิริยาแต่ถึงอย่างนั้นทำไปก็คล้ายก็ทำใส่กำแพงหนา เพราะดูเหมือนบุตรชายจะไม่
ตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว “ใช่ ช่างไม่นึกถึงข้าวแดงแกงร้อน และบุญคุณที่ข้าอุ้มท้องเจ้ามาตั้งหลายเดือนเลยสักนิด” เสิ่นเจียงไม่อาจปั้นหน้ากล่าวดี ๆ กับอีกฝ่ายได้เช่นกัน จึงได้ชี้หน้าใส่บุตรสาวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หึ คำก็บุญคุณสองคำก็บุญคุณ พวกท่านเลี้ยงข้าดีนักหรือ อาหารที่ข้าได้รับนั้นแย่ยิ่งกว่าของบ่าวในเรือนเสียอีกกระมัง หากจะพูดถึงเรื่องบุญคุณข้าว่า…. ข้าน่าจะชดใช้ให้พวกท่านไปแล้วตั้งแต่ที่พวกท่านคิดแผนร้ายเพื่อจัดการกับข้าในคืนนั้น” “แล้วอย่างไร สุดท้ายคนที่แต่งกับถงเจี้ยนก็คือข้ามิใช่หรือ ฉีจื่อหรานเป็นเพราะเจ้า ข้าถึงต้องแต่งกับคนชั่วเช่นนั้น เป็นเพราะเจ้าข้าถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้” ฉีเยว่เผิงกล่าวแล้วก็ยกมือขึ้นจับใบหน้าตนเอง “การที่ท่านแต่งกับถงเจี้ยนมันเกี่ยวอันใดกับข้าแล้วการที่ใบหน้าของท่านเสียโฉมแล้วมันเกี่ยวกันอันใดกับข้าพี่ห้า ไปทำชั่วอันใดเข้าล่ะ หน้าถึงได้เละเช่นนั้น” “นี่ นังน้องชั่ว!” ฉีเยว่เผิงทำท่าจะเข้าไปจัดการกับเซี่ยจื่อหราน หากแต่ยังไม่ได้ทำอันใดก็มีมือปริศนาตบเข้าที่ใบหน้าจนล้มฟุบลงไป มิใช่เพียงแค่ฉีเยว่เผิงสมาชิกทุกคนของตระกูลฉีก็ถูกฝ่ามือปริศนาตบแบบไ
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว บ่าวในเรือนล้วนหาทางหลบหนีแต่ก็ไร้ทางออก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็ฟุบลงอย่างไร้เรี่ยวแรง อาการป่วยเช่นนี้พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน อาการช่างกำเริบรวดเร็วฉับพลันเหลือเกิน หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้พวกเขาคงไม่กลับเข้ามาในจวน ไม่สิ คงไม่ดูหมิ่นคุณหนูหกเช่นนั้น หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ ด้านเจ็ดคนพ่อแม่ลูกตระกูลฉีที่พยายามจะออกที่หน้าประตูหลัก เมื่อไม่สามารถทำได้ก็พยายามคิดหาหนทางกันแทบหัวแตก จนท้ายที่สุดฉีเยว่เผิงกลับนึกถึงเส้นทางหนึ่งที่ตนเคยจำได้ว่ามันมีรอยแยกระหว่างกำแพงที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม “ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ พวกเราไปที่ท้ายจวนกันเถิดข้ามีวิธีออกจากจวนได้แล้ว” ทุกคนเมื่อเห็นว่ามีทางรอดจึงได้แย้มยิ้มออกมาแม้ว่าร่างกายจะอิดโรยจากอาการป่วยแทบเดินไม่ไหวกันเต็มที ฉีเยว่เผิงคิดว่าหากออกไปรักษาจนหายดีทั้งอาการป่วยและใบหน้าแล้ว จากนั้นตนจะเอาคืนฉีจื่อหรานให้สาสม และชินอ๋องซื่อจื่อก็ต้องตกเป็นของนางในที่สุด ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นที่งานเลี้ยงในเมืองหลวงแล้วรู้สึกประทับใจเ
ตอนที่[27]ถูกทอดทิ้งเป็นอย่างไร ครอบครัวที่ได้เกี่ยวดองกับบุตรสาวตระกูลฉีต่างก็เร่งให้สะใภ้ของตนไปขอขมาท่านหญิงเซี่ยเพื่อจะได้เข้ารับการรักษาหรือรับยามากิน แต่สตรีที่เกลียดชังน้องสาวอย่างฝังลึกมีหรือจะยินยอม เมื่อเห็นว่าสะใภ้อย่างไรก็ไม่ยอม สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดตระกูลเหล่านั้นจึงได้ให้บุตรชายเขียนหนังสือหย่าขาดจากภรรยาเสีย บุรุษเหล่านั้นหาได้เป็นคนดีอันใดอยู่แล้ว เพราะความกลัวตายจึงได้รีบหย่าภรรยาโดยเร็ว หนำซ้ำก่อนจะขับไล่อีกฝ่ายออกจากจวนยังตบตีทำร้ายร่างกายที่พวกนางไม่ได้ดังใจอีก สุดท้ายเหล่าสตรีตระกูลฉีเลยต้องพาร่างกายและจิตใจอันบอบช้ำกลับบ้านเดิมของตนเพราะไม่มีที่ไป ยิ่งเมื่อเห็นสภาพของบุตรสาวแต่ละคนฉีหวังก็กล่าวออกมาอย่างมีโทสะว่า “หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปขอร้องนังตัวซวยนั่นเด็ดขาด!!”โดยที่ระหว่างนั้นไม่ได้สังเกตอาการตนเองแม้แต่น้อยว่าเริ่มมีอาการระคายคอแล้ว “ฝีมือท่านหรือ” เซี่ยจื่อหรานเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังจิบชาสมุนไพรอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะคัดแยกสมุนไพรของนางที่เรือนซิ่งฝู “ก็ผู้ใดให้พวกเขามาเผาร้านของเรากัน ก็ต้องสั่งสอนไปเสียบ้าง” เซี่ยจื่อหรานรู้สึกทำหน้า