ตอนที่[11]ครอบครัวใหม่ที่ไม่ธรรมดา กล่าวว่าจะได้ไปพบกับสมาชิกคนอื่นในครอบครัวนางก็พบว่าเรื่องราวมันไม่ธรรมดาตั้งแต่เริ่มต้น ท่านยายกล่าวว่าจะล่วงหน้าไปที่สถานที่นัดพบก่อนหนึ่งวันให้นางรออยู่ที่บ้านแล้วจะมีคนมารับในวันพรุ่งนี้ “คุณหนู เหตุใดบ่าวจึงคิดว่าเรื่องราวมันเต็มไปด้วยความซับซ้อนไม่ธรรมดาเจ้าคะ” แม้แต่อ้ายมี่ยังจับสังเกตได้ “คุณหนูจะลองคิดดูใหม่หรือไม่เจ้าคะ” แม้จะดีใจกับคุณหนูที่จะมีครอบครัวใหม่ แต่หากเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสงสัยเช่นนี้นางก็อยากจะให้คุณหนูลองทบทวนข้อเสนอดูอีกครั้ง “ทุกอย่างเต็มไปด้วยความน่าสงสัยก็จริง แต่ข้าคิดว่าเรื่องราวที่รออยู่ภายภาคหน้าคงจะไม่น่าหวาดหวั่นเท่าใดนัก แต่หากว่ามันอันตราย ข้าจะพาเจ้าหนีออกมาให้เร็วที่สุดดีหรือไม่” นี่เป็นการตัดสินใจของจื่อหราน หากว่าเรื่องมันไม่ชอบมาพากลจริง ๆ ก็แค่พากันหนีอีกครั้งก็แค่นั้น ท้ายที่สุดอ้ายมี่ก็พยักหน้ายอมรับการตัดสินใจของผู้เป็นนาย ในเช้าวันรุ่งขึ้นมีรถม้าคันใหญ่มาจอดรอที่หน้าเรือนตามเวลาที่ท่านยายบอกไว้ไม่ขาดไม่เกิน ผู้ที่ก้าวลงรถม้าคือสตรีวัยกลางคนที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลาท่าทางภูมิฐาน “ท่านคือคุณหนูจื่อห
ตอนที่[12]ไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น ผู้ที่มาใหม่เพียงแค่เห็นชายอาภรณ์ของเขาที่เดินมาหยุดอยู่ด้านข้างนางก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่ก็เป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา คงเป็นเชื้อพระวงศ์สักคนเช่นเดียวกันกับคนอยู่ด้านหน้าของนาง แต่แล้วสิ่งที่นางสงสัยก็ได้รับความกระจ่างเมื่อท่านยาย ไม่สิ ไทเฮาเอ่ยทักทายคนผู้นั้น “ซื่อจื่อไม่ได้พบกันนาน นึกว่าจะคิดถึงย่าแต่กลับมาจับผิดย่าหรือนี่” “คนที่หลานจับผิดหาใช่เสด็จย่าแต่เป็นผู้อื่นต่างหาก” ว่าแล้วดวงตาคมกริบก็ตวัดสายตาไปมองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ เซี่ยไทเฮาถอนหายใจออกมา รู้สึกเหนื่อยใจกับหลานชายคนโปรดแต่ก็ทำอันใดไม่ได้เพราะนี่คือหลานชายคนโปรดที่ช่วยแบ่งเบาภาระของแคว้นไปได้หลายอย่าง โดยเฉพาะตรวจสอบในเรื่องความโปร่งใสและความถูกต้องภายในแคว้น “หรานเออร์ คนที่อยู่ข้างเจ้าคือชินอ๋องซื่อจื่อ เสวี่ยจิ้น โอรสองค์โตของชินอ๋องและเป็นหลานชายคนโตของข้าเอง อ้อ ส่วนข้าคือเซี่ยไทเฮา” ไทเฮาแนะนำหลานชายไม่พอยังแนะนำตนเองด้วย “จื่อหรานคารวะไทเฮา คารวะชินอ๋องซื่อจื่อเจ้าค่ะ” เซี่ยจื่อหรานแม้จะคุกเข่าอยู่หลังจากที่คาระวะไทเฮาแล้วก็เบี่ยงกายไปคารวะผู้ที่อยู่ด้านข้างโดยไม่ได้เงยหน้า
ตอนที่[12]ไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น “ก็นางได้ยินว่าตัวข้านั้นบ่นว่าผมเริ่มขาวขึ้นทุกวัน เช่นนี้ร่างกายก็คงจะโรยราไม่นานก็จะจากไป” กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ส่งแววตาเอื้อเอ็นดูให้หลานสาวก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วจากนั้นวันรุ่งขึ้นผมของนางก็กลายเป็นสีขาวเสียแล้ว พร้อมกล่าวว่าตอนนี้สีผมเราเหมือนกันแล้วและต่อไปเราจะแข็งแรงไปด้วยกันอีก จะไม่ให้ข้าบอกว่านางน่ารักได้อย่างไร” “หึ ช่างเอาใจถูกวิธีนัก” ชินอ๋องซื่อจื่อ “…..” เซี่ยจื่อหราน “จิ้นเออร์ เจ้าอย่ามองน้องในแง่ร้าย จะมีสตรีที่ใดจะยอมเปลี่ยนสีผมของตนให้กลายเป็นสีของคนแก่เช่นนี้” เซี่ยไทเฮา “ก็สตรีที่คิดการใหญ่อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ” “จิ้นเออร์ เจ้านี่นะ” เซี่ยไทเฮาส่ายพระพักตร์พลางถอนหายใจอีกครั้ง “ว่าแต่เจ้าใช้วิธีการใดหรือ” ชินหวางเฟยยังคงสนใจเกี่ยวกับสีผมของหญิงสาว “หม่อมฉันใช้….” “เสด็จแม่คงจะไม่คิดเปลี่ยนสีผมเป็นสีขาวหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ต้องคิดเปลี่ยนหรอกอีกไม่กี่ปีก็คงจะขาวหมดแล้วกระมัง” “ซื่อจื่อเจ้าว่าแม่แก่หรือ!!” ครานี้ชินหวางเฟยหันไปถลึงตาใส่บุตรชายอย่างเสียกิริยาแต่ถึงอย่างนั้นทำไปก็คล้ายก็ทำใส่กำแพงหนา เพราะดูเหมือนบุตรชายจะไม่
ตอนที่[13]แต่งตั้งได้ก็ปลดได้ นางเดินตามผู้สูงศักดิ์มาที่สวนบุปผาไม่ไกลจากท้องพระโรงนัก เมื่อสองขาของเขาหยุดลง นางจึงหยุดฝีเท้าที่เดินตามหลังของเขาลงเช่นกัน ชินอ๋องซื่อจื่อหมุนกายกลับมาประจันหน้ากับสตรีที่เพิ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่ปรากฏอารมณ์ใด “แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรในการเข้าหาเสด็จย่า” “เจ้าคะ?” “อยู่ต่อหน้าข้ามิต้องเสแสร้งอันใด บอกจุดประสงค์ของการที่เจ้าพยายามเข้าหาเสด็จย่ามาเถิด แล้วข้าจะไม่เอาความใด ๆ” “…..” เซี่ยจื่อหรานถอนหายใจเล็กน้อย บุรุษผู้นี้มีความสงสัยผู้อื่นอย่างเข้มข้นจริง ๆ “ข้าน้อยยอมรับว่าพยายามเข้าหาไทเฮาจริง ๆ เจ้าค่ะ” “เจ้ายอมรับแล้ว?” หึ ในที่สุดก็หางโผล่ เสวี่ยจิ้นเหยียดยิ้มออกมา “ข้าน้อยยอมรับว่าคราแรกที่เข้าหาไทเฮา มิใช่ว่าด้วยฐานะไทเฮาของพระองค์แต่เป็นเพียงท่านยายผู้หนึ่งจะสามารถช่วยให้ข้ามีที่หลับนอนไปสักระยะได้ก็เท่านั้น” “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่รู้ว่าเสด็จย่าคือไทเฮาผู้สูงศักดิ์ของแคว้นตี้?” ซื่อจื่อหนุ่มเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อเท่าใดนัก “เจ้าค่ะ ไม่รู้ แต่ก็ไม่คิดว่าท่านยายจะเป็นคนธรรมดา ในใจแม
ตอนที่[13]แต่งตั้งได้ก็ปลดได้ “ไม่โกรธเจ้าค่ะ เพราะหลานก็ไม่ได้เล่าเรื่องของตนเองทั้งหมดให้ท่านยายฟัง….” เซี่ยจื่อหรานก้มหน้าลงเพราะรู้สึกผิด “เรื่องที่เจ้าเป็นคนตระกูลฉี และถูกตระกูลฉีขับไล่ออกมานั้นยายรู้ตั้งแต่วันแรก ๆ แล้ว แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า หาได้ต้องรู้สึกผิดอันใด เป็นยายก็คงไม่อยากจะกล่าวถึงพวกเขาให้เป็นเสนียดปาก” ฉับพลันสีหน้าของหญิงชราก็เต็มไปด้วยความโกรธ “ท่านยาย….” “และเจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องเหล่านี้ในครอบครัวของเราล้วนรู้เรื่องกันหมด” คำว่าครอบครัวของเรา คงรวมถึงผู้ที่อยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นั้นด้วยสินะ ทว่าเขากลับไม่ได้เอ่ยถามอันใดนางแม้แต่น้อย “หรานเออร์ เจ้าอยากให้ยายช่วยเจ้าแก้แค้นหรือไม่” จู่ ๆ ท่านยายก็เอ่ยในสิ่งที่นางไม่คาดคิด “ท่านยาย เรื่องนี้หลานขอจัดการเองก่อนเจ้าค่ะ” “นั่นหมายความว่าเจ้าต้องการแก้แค้นจริง ๆ?” ไทเฮาเลิกพระขนงขึ้น “ท่านยายกำลังทดสอบหลานหรือเจ้าคะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มบางเบา “ก็เพียงอยากรู้ความคิดเจ้าก็เท่านั้น” “หลานยอมรับว่าต้องการเอาคืนที่พวกเขาทำกับหลานไว้ ส่วนวิธีการนั้นคงต้องค่อยเป็นค่อยไปเจ้าค่ะ แล้วก็…แล้วก็จะเ
ตอนที่[14]จ้องจับผิด สองวันที่ว่ามาถึงอย่างรวดเร็ว ก่อนออกเดินทางนางยังได้มากินอาหารเช้ากับไทเฮาที่พระตำหนักฉือหนิง “หรานเออร์ ออกไปด้านนอกนั่นเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ป่านั่นก็เต็มไปด้วยอันตราย หากพลาดพลั้งจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเจ้าได้” หลังมื้ออาหารเช้าจบลงเซี่ยไทเฮาได้พูดคุยพร้อมจับมือหลานสาวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง “เสด็จย่าไม่ต้องเป็นห่วงถึงเพียงนั้น องครักษ์ที่จะเดินทางไปด้วยมีเป็นครึ่งร้อยไหนจะหลานอีก…. ที่รับรองว่าจะช่วยดูแลท่านหญิงไม่ให้คลาดสายตาเลยทีเดียว” ระหว่างนั้นชินอ๋องซื่อจื่อก็มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง “ให้มันน้อย ๆ หน่อยจิ้นเออร์สายตาจ้องจับผิดเช่นนั้นของเจ้า” เซี่ยไทเฮาตรัสพลางส่ายพระเศียรด้วยความกลุ้มใจ “อย่าเรียกว่าจ้องจับผิดเลยพ่ะย่ะค่ะ เรียกว่าใส่ใจเป็นพิเศษจะดีกว่า” ว่าแล้วก็ใช้สายตาคมดั่งมีดมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายผู้เป็นย่าอย่างมีนัย “ได้เวลาแล้ว พวกเรารีบออกเดินทางเถิดท่านหญิง” “เจ้าค่ะ” การเดินทางไปตำหนักซินหยาน เห็นว่าจะใช้เวลาราวสองชั่วยาม ในรถม้าที่นางกำลังโดยสารไปนั้นมีตัวนาง อ้ายมี่ ชินหวางเฟยและท่านหญิงเสวี่ยเร่อ ส่วนชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื
ตอนที่[15]สิ่งที่ตามหา เจ้าสิ่งที่เหมือนต้นหญ้านี่หรือคือสิ่งที่นางตามหา? เสวี่ยจิ้นมองสิ่งที่อยู่ในมือของเซี่ยจื่อหรานอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าเซียงเหมาเจ้าค่ะ เป็นพืชสารพัดประโยชน์” “เหตุใดมันจึงเหมือนหญ้านัก” “ที่จริงมันก็ถือว่าพืชที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกับหญ้า หากแต่เป็นหญ้าที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายมากมายเลยเจ้าค่ะ หลัก ๆ หากนำมาเป็นยาก็ช่วยบำรุงระบบภายในร่างกายให้ทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยในการชำระล้างและกำจัดของเสียที่เป็นอันตรายออกจากร่างกายรวมถึงบรรเทาอาการปวดและการอักเสบได้ด้วยเจ้าค่ะ หากนำไปทำเป็นอาหารก็จะช่วยทำให้อาหารชนิดนั้นมีกลิ่นหอมยิ่งขึ้น” การอธิบายเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นที่ได้ยินต่างก็พยักหน้าเข้าใจ แต่ไม่ใช่เสวี่ยจิ้น เขาหรี่ตามองหญิงสาวอย่างมีคำถาม “ท่านหญิงเหตุใดจึงมีความรู้เรื่องสมุนไพรดีนัก มิใช่ว่าท่านอยู่แต่ในเรือนหรือ” “ในเรือนก็มีตำราเพคะ” “ตำราสมุนไพรหายากในตระกูลฉีนี่เป็นไปได้หรือ โดยเฉพาะมอบให้กับบุตรสาวที่….” เสวี่ยจิ้นชะงักไปเมื่อคิดได้ว่าเขากล่าวล่วงล้ำอีกฝ่ายมากเกิน ทั้งสบสายตาว่านางกำลังสะเทือนใจหรือไม่ หากแต่สตรีตรงหน้
ตอนที่[16]ลอยมากับน้ำ เมื่อเช้าหลังจากตื่นขึ้นมา นางก็จัดการนำเซียงเหมาไปแช่น้ำไว้ให้ส่วนรากได้ดูดซึมน้ำไม่ให้ต้นแห้งเหี่ยวก่อนที่จะนำไปปลูกที่เมืองหลวง ส่วนชวนซินเลี่ยนนางก็จัดการแยกส่วนเมล็ดและส่วนอื่น ๆ ออกจากกัน เมล็ดนางจะเก็บไปขยายพันธุ์ต่อ แต่ส่วนอื่นนางจะตากแห้งไว้เก็บเป็นตัวต้นแบบสำหรับทดลองยามกลับไป ในยามที่จัดการเหล่าสมุนไพรในใจเอาแต่คิดว่าวันนี้ขอให้นางได้พบชนิดอื่น ๆ ที่เหลือ แต่ไม่คาดคิดว่าเพียงเข้าป่ามาไม่นานแค่เปลี่ยนเส้นทางจากเมื่อวานนางก็พบกับสิ่งที่ตามหาอีกแล้ว กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์นี่มัน เซิ่งหลัวเล่อ (กะเพรา) ดีจริงที่มันมีเมล็ดที่แก่แล้วด้วย เซี่ยจื่อหรานยินดีที่ได้พบแต่คนอื่นต่างพากันทำจมูกฟุดฟิดด้วยเพราะกลิ่นมันเริ่มตีชัดขึ้นมายามที่ขยับเข้าไปใกล้ “จื่อหรานนี่ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เจ้าตามหาหรือ เหตุใดกลิ่นมันจึงได้….” เสวี่ยเร่อเอ่ยพลางทำจมูกฟุดฟิดไปด้วย “นี่น่ะเป็นอีกหนึ่งในของดี ที่สำคัญทำอาหารอร่อยด้วย” เซี่ยจื่อหรานเอ่ยพร้อมทำสายตาเจ้าเล่ห์ เพียงเท่านั้นเสวี่ยเร่อก็รู้ว่าวันนี้ตนจะได้กินของอร่อยอีกแล้วเป็นแน่ เมื่อคืนมิใช่เพียงแค่บิดาที่ไม่พอใจ นาง
ตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว “ใช่ ช่างไม่นึกถึงข้าวแดงแกงร้อน และบุญคุณที่ข้าอุ้มท้องเจ้ามาตั้งหลายเดือนเลยสักนิด” เสิ่นเจียงไม่อาจปั้นหน้ากล่าวดี ๆ กับอีกฝ่ายได้เช่นกัน จึงได้ชี้หน้าใส่บุตรสาวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หึ คำก็บุญคุณสองคำก็บุญคุณ พวกท่านเลี้ยงข้าดีนักหรือ อาหารที่ข้าได้รับนั้นแย่ยิ่งกว่าของบ่าวในเรือนเสียอีกกระมัง หากจะพูดถึงเรื่องบุญคุณข้าว่า…. ข้าน่าจะชดใช้ให้พวกท่านไปแล้วตั้งแต่ที่พวกท่านคิดแผนร้ายเพื่อจัดการกับข้าในคืนนั้น” “แล้วอย่างไร สุดท้ายคนที่แต่งกับถงเจี้ยนก็คือข้ามิใช่หรือ ฉีจื่อหรานเป็นเพราะเจ้า ข้าถึงต้องแต่งกับคนชั่วเช่นนั้น เป็นเพราะเจ้าข้าถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้” ฉีเยว่เผิงกล่าวแล้วก็ยกมือขึ้นจับใบหน้าตนเอง “การที่ท่านแต่งกับถงเจี้ยนมันเกี่ยวอันใดกับข้าแล้วการที่ใบหน้าของท่านเสียโฉมแล้วมันเกี่ยวกันอันใดกับข้าพี่ห้า ไปทำชั่วอันใดเข้าล่ะ หน้าถึงได้เละเช่นนั้น” “นี่ นังน้องชั่ว!” ฉีเยว่เผิงทำท่าจะเข้าไปจัดการกับเซี่ยจื่อหราน หากแต่ยังไม่ได้ทำอันใดก็มีมือปริศนาตบเข้าที่ใบหน้าจนล้มฟุบลงไป มิใช่เพียงแค่ฉีเยว่เผิงสมาชิกทุกคนของตระกูลฉีก็ถูกฝ่ามือปริศนาตบแบบไ
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว บ่าวในเรือนล้วนหาทางหลบหนีแต่ก็ไร้ทางออก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็ฟุบลงอย่างไร้เรี่ยวแรง อาการป่วยเช่นนี้พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน อาการช่างกำเริบรวดเร็วฉับพลันเหลือเกิน หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้พวกเขาคงไม่กลับเข้ามาในจวน ไม่สิ คงไม่ดูหมิ่นคุณหนูหกเช่นนั้น หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ ด้านเจ็ดคนพ่อแม่ลูกตระกูลฉีที่พยายามจะออกที่หน้าประตูหลัก เมื่อไม่สามารถทำได้ก็พยายามคิดหาหนทางกันแทบหัวแตก จนท้ายที่สุดฉีเยว่เผิงกลับนึกถึงเส้นทางหนึ่งที่ตนเคยจำได้ว่ามันมีรอยแยกระหว่างกำแพงที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม “ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ พวกเราไปที่ท้ายจวนกันเถิดข้ามีวิธีออกจากจวนได้แล้ว” ทุกคนเมื่อเห็นว่ามีทางรอดจึงได้แย้มยิ้มออกมาแม้ว่าร่างกายจะอิดโรยจากอาการป่วยแทบเดินไม่ไหวกันเต็มที ฉีเยว่เผิงคิดว่าหากออกไปรักษาจนหายดีทั้งอาการป่วยและใบหน้าแล้ว จากนั้นตนจะเอาคืนฉีจื่อหรานให้สาสม และชินอ๋องซื่อจื่อก็ต้องตกเป็นของนางในที่สุด ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นที่งานเลี้ยงในเมืองหลวงแล้วรู้สึกประทับใจเ
ตอนที่[27]ถูกทอดทิ้งเป็นอย่างไร ครอบครัวที่ได้เกี่ยวดองกับบุตรสาวตระกูลฉีต่างก็เร่งให้สะใภ้ของตนไปขอขมาท่านหญิงเซี่ยเพื่อจะได้เข้ารับการรักษาหรือรับยามากิน แต่สตรีที่เกลียดชังน้องสาวอย่างฝังลึกมีหรือจะยินยอม เมื่อเห็นว่าสะใภ้อย่างไรก็ไม่ยอม สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดตระกูลเหล่านั้นจึงได้ให้บุตรชายเขียนหนังสือหย่าขาดจากภรรยาเสีย บุรุษเหล่านั้นหาได้เป็นคนดีอันใดอยู่แล้ว เพราะความกลัวตายจึงได้รีบหย่าภรรยาโดยเร็ว หนำซ้ำก่อนจะขับไล่อีกฝ่ายออกจากจวนยังตบตีทำร้ายร่างกายที่พวกนางไม่ได้ดังใจอีก สุดท้ายเหล่าสตรีตระกูลฉีเลยต้องพาร่างกายและจิตใจอันบอบช้ำกลับบ้านเดิมของตนเพราะไม่มีที่ไป ยิ่งเมื่อเห็นสภาพของบุตรสาวแต่ละคนฉีหวังก็กล่าวออกมาอย่างมีโทสะว่า “หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปขอร้องนังตัวซวยนั่นเด็ดขาด!!”โดยที่ระหว่างนั้นไม่ได้สังเกตอาการตนเองแม้แต่น้อยว่าเริ่มมีอาการระคายคอแล้ว “ฝีมือท่านหรือ” เซี่ยจื่อหรานเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังจิบชาสมุนไพรอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะคัดแยกสมุนไพรของนางที่เรือนซิ่งฝู “ก็ผู้ใดให้พวกเขามาเผาร้านของเรากัน ก็ต้องสั่งสอนไปเสียบ้าง” เซี่ยจื่อหรานรู้สึกทำหน้า