“ถ้านายรู้ก็รีบบอกมาสิ เร็ว ๆ เข้า” คังเหวินซินเร่งเร้าอย่างร้อนใจ “ผมได้ยินมาว่าหลี่โม่เป็นไอ้ขยะชื่อดังของกรุงโซล เป็นเขยแต่งเข้าของตระกูลกู้ที่เป็นตระกูลอันดับสามของกรุงโซล แต่ว่าช่วงนี้ดูเหมือนจะว่ากันว่าหลี่โม่ได้ผงาดขึ้นมาแล้ว ก็งานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์ที่พวกเราไม่ได้ไปนั่นไงครับ ลือว่าในงานเลี้ยงหลี่โม่ตบหน้าคุณชายสามหลินด้วย” “คุณชายสามหลิน?” คังเหวินซินตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะนึกย้อนไปถึงฉากที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้ เหมือนว่าศพที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุรถชนนั่น จะมีศพที่เหมือนกับคุณชายเล็กหลินอยู่ด้วย หลี่โม่ฆ่าคุณชายเล็กหลินอย่างนั้นเหรอ? โอ้โหแม่เจ้า! คังเหวินซินรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบ รู้สึกราวกับว่าตนเข้าไปมีส่วนร่วมในวังวนขนาดใหญ่เสียแล้ว เรื่องแบบนี้ขอเพียงล่วงรู้เข้าแล้ว ก็คงจะไม่ได้เจอจุดจบดี ๆ แน่ “พระเจ้าช่วย เหมือนว่าเมื่อกี้เทพแห่งรถหลี่จะฆ่าคุณชายสามหลินไปแล้ว ฉันเห็นศพที่ดูน่าจะเป็นคุณชายสามหลิน เรื่องนี้ควรจะทำยังไงดี” คังเหวินซินตื่นตระหนกจนอกสั่นขวัญหาย “พี่คัง พี่ไม่ได้มองผิดไปหรอกเหรอ ข้างกายคุณชายสามหลินมีแต่ยอดฝีมือทั้งนั้น ต่อให้อยากจะฆ่าก็ทำไม่ได
ลุงอู่ตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด จู่ ๆ คุณชายเล็กหลินก็ตาย ความคิดแรกของลุงอู่คือคงจะถูกอริลอบทำร้าย ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการคัดเลือกผู้นำตระกูลในอนาคต การลอบทำร้ายคู่แข่งต่างถือเป็นธรรมเนียมทั่วไป “พวกเรา พวกเรามีคนตั้งเยอะแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คุณชายเล็กหลินไปล่วงเกินคนที่ร้ายกาจ แม้แต่ลุงเป้าเองก็ยังไม่ใช่คู่มือของมัน สุดท้ายลุงเป้าก็จ้างจอมละโมบที่เป็นรุ่นน้องของเขามาแต่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี” “ไอ้เวรเอ๊ย! ไปเจอใครมา ใครเป็นคนฆ่าคุณชายเล็กหลิน!” ลุงอู่ถามด้วยเสียงเฉียบขาด “ดูจากสภาพที่เกิดเหตุแล้วคุณชายเล็กหลินกับลุงเป้าคงจะฆ่ากันเองครับ ตอนที่ผมกำลังแกล้งตายเพื่อซ่อนตัวอยู่ ดูเหมือนว่าลุงเป้าจะร้องขอชีวิต หลี่โม่บอกว่าถ้าลุงเป้าฆ่าคุณชายสามแล้วจะปล่อยลุงเป้าไป ลุงเป้าก็เลยต่อสู้กับคุณชายสามและท้ายที่สุดทั้งสองคนสู้กันจนตายไปด้วยกัน” ลุงอู่ฟังจนสับสนงุนงงไปหมด เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าสถานการณ์นั้นมันเป็นอย่างไร นายน้อยผู้สง่างามแห่งตระกูลหลิน ถึงกับถูกบอดี้การ์ดข้างกายตัวเองสังหารเลยอย่างนั้นเหรอ “ถ่ายรูปที่เกิดเหตุส่งมาให้ฉัน หลังจากนั้นก็เขียนอธิบายมาเ
หลี่โม่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ แล้วยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้าในห้องครัว หวังฟางดึงเฉินเสี่ยวถงมานั่งที่โซฟา ถามไถ่เรื่องราวที่เธอกับหวังจงฉวนพบเจอเมื่อวาน เฉินเสี่ยวถงรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อยไม่รู้ว่าจะควรจะพูดอย่างไร จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางก็หยุนหลาน “แม่คะ อย่าพูดถึงเรื่องที่จบไปแล้วเลย เดิมทีพี่เขาก็ไม่เหมาะกับเสี่ยวถงอยู่แล้ว แม่เองก็หยุดจับคู่พวกเขาได้แล้วนะคะ” กู้หยุนหลานเอ่ยอย่างค่อนข้างระอา “แม่ทำผิดยังไงกัน ช่วงนี้สถานการณ์ลูกพี่ลูกน้องของลูกก็กำลังดีเลย ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันจะไปออกทีวีด้วยนะ” หวังฟางรู้สึกว่าหลายชายของตนก็ไม่เลวเลยจริง ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าลูกเขยไร้ประโยชน์ตรงหน้าคนนี้เป็นไหน ๆ “เสี่ยวถงเอ๋ย หนูต้องฟังน้านะ จงฉวนน่ะหนูต้องพิจารณาเด็กคนนี้ให้ดี คนหนุ่มสาวไปมาหาสู่กันให้มาก ๆ เดี๋ยวก็ปิ๊งกันเองนั่นแหละจ้ะ” เฉินเสี่ยวถงยิ้มอย่างอึดอัดใจแล้วเอ่ยว่า “อื้ม ๆ ค่ะคุณน้า งั้นฉันจะพยายาม ฉันจะไปดูว่าพี่หลี่โม่มีอะไรให้ช่วยมั้ย คุณน้าคุยกับพี่หยุนหลานก่อนเถอะค่ะ” เมื่อหาข้ออ้างให้หนีไปได้แล้ว เฉินเสี่ยวถงก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องครัว หลี่โม่ที่กำลัง
“อ๋อ เมื่อกี้นี้พวกเธอคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” กู้หยุนหลานแสร้งถามอย่างไม่คิดอะไร ถึงอย่างไรเฉินเสี่ยวถงก็เป็นสาวงามคนหนึ่งเหมือนกัน พร้อมกับที่กู้หยุนหลานก็พอจะรู้สึกได้ว่าเฉินเสี่ยวถงเหมือนจะคิดไม่ซื่อกับหลี่โม่อยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างระแวดระวังในตอนที่เฉินเสี่ยวถงอยู่กับหลี่โม่ตามลำพัง “ก็ไม่ได้คุยอะไรกันนะคะ ฉันพูดอะไรพี่หลี่โม่ก็ชอบเมินอยู่เรื่อย ทำฉันโมโหแทบตายเลยจริง ๆ” เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างโมโห ซึ่งในใจก็โกรธอยู่จริง ๆ เช่นกัน “หลี่โม่ก็เป็นแบบนั้นแหละ เขามีอีคิวต่ำไปสักหน่อย อย่าไปคิดหยุมหยิมกับเขาเลย เธอนั่งกินไปก่อนเถอะ ฉันจะเข้าไปดูหน่อย” กู้หยุนหลานกดเฉินเสี่ยวถงให้นั่งลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องครัว หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานเดินเข้ามา ก็พลันโบกมือให้กู้หยุนหลานด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วคีบแฮมที่เพิ่งทอดเสร็จขึ้นมาหนึ่งชิ้นพลางเอ่ย “ที่รัก มาชิมสิ เพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ รสชาติดีไม่เลวเลยนะ” “ทำไมฉันถึงเห็นเหมือนว่าคุณกำลังร้อนตัวอยู่หน่อย ๆ เลยล่ะ เมื่อกี้นี้คงไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีมาใช่ไหม” กู้หยุนหลานเอ่ยด้วยสีหน้าขึงตึง “ไม่ยุติธรรมเลยนะที่รัก ผมจะไปทำเรื่องไม่ดีได้ย
เฉินเสี่ยวถงไม่อยากถูกเขี่ยทิ้ง ถ้าหากถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้ว หลี่โม่กับกู้หนุนหลานไม่แยแสตน อย่างนั้นก็นับว่าความพยายามที่ผ่านมาสูญเปล่าทั้งหมด หลี่โม่ยกนมวัวกับแซนด์วิชจานหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว เขานั่งลงข้าง ๆ กู้หยุนหลานแล้วเอ่ยขึ้น “ช่วงบ่ายผมอาจจะมีธุระนิดหน่อย ถึงเวลาแล้วคงต้องออกไปหน่อยนะ” “ธุระอะไรเหรอ?” กู้หยุนหลานถามอย่างสงสัย “เหล่าชู คือว่าเหล่าชูเขาเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ ผมจะไปช่วยเขาดู ถึงยังไงเมื่อก่อนเขาเองก็ช่วยผมไว้ไม่น้อย” หลี่โม่พูดอย่างคลุมเครือ เรื่องที่จะไปงานแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาตินั้น เขาไม่มีทางให้กู้หยุนหลานรู้เด็ดขาด ดังนั้นหลี่โม่จึงคิดหาข้ออ้างที่ดูน่าเชื่อถือขึ้นมา เฉินเสี่ยวถงเอียงหัวมองหลี่โม่ รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นโอกาสก็ได้ ดูเหมือนว่าตอนบ่ายคงต้องแอบตามหลี่โม่ออกไป หลังจากนั้นก็จะมีเวลามากมายให้อยู่กับหลี่โม่ตามลำพัง ถึงตอนนั้นดูซิว่าหลี่โม่จะยังแสร้งทำเป็นพวกตายด้านอย่างไรได้อีก 'เฮอะ!' 'ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ชายที่ฉันยั่วยวนมาไม่ได้!' เฉินเสี่ยวถงกำมือขวาแน่น ในใจแอบให้กำลังใจตัวเองอย่างลับ ๆ กู้หยุนหลานไม่ได้สืบถามอะไรต่อ
หลี่โม่ชักแขนออกอย่างใจเย็น กลัวเพียงว่ากู้หยุนหลานจะเข้าใจผิด กู้หยุนหลานดึงมือของเฉินเสี่ยวถงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เฉินเสี่ยวถงแตะต้องผู้ชายของตนต่อไป “หลี่โม่ คนคนนี้คือใครเหรอ?” กู้หยุนหลานถามอย่างสงสัย “ผมชื่อคังเหวินซิน จากตระกูลคังแห่งปินไห่ คือว่า ผมประทับใจทักษะการขับรถของคุณหลี่ เลยอยากจะขอฝากตัวเป็นศิษย์คุณหลี่เรียนเทคนิกการขับรถ ผมมีความจริงใจอย่างยิ่งจริง ๆ นะครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินที่ทำท่าทางเหมือนจะคุกเข่าลงได้ทุกเมื่อ หลี่โม่จึงเอ่ยอย่างค่อนข้างลำบากใจ “นายอย่าขวางทาง พวกเรากำลังจะไปตอกบัตรทำงานนะ เรื่องสอนเทคนิกการขับรถอะไรนั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นายเลิกคิดไปซะเถอะ” “คุณหลี่อย่าทำแบบนี้สิครับ ผมจริงใจจริง ๆ นะ ถ้าคุณไม่ยอมตกลงรับผมเป็นศิษย์ ผมจะนั่งอยู่ที่ประตูบ้านคุณไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น” กู้หยุนหลานดึงหลี่โม่เบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณคุยกับเขาดี ๆ สิ ฉันว่าเขาเองก็มีความจริงใจอยู่นะ สอนเขาขับรถก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ถึงยังไงคุณเองก็อยู่ว่าง ๆ นี่นา” ในมุมมองของกู้หยุนหลาน หลี่โม่นั้นถึงอย่างไรก็มีเวลาว่างมากมาย แค่เจียดเวลาสัก
หลี่โม่เพิ่งจะออกมาได้ไม่ถึงนาที โทรศัพท์บนโต๊ะของกู้หยุนหลานก็ดังขึ้นมา คุยโทรศัพท์ไม่ถึงนาที กู้หยุนหลานก็รีบวิ่งออกจากห้องทำงาน เธอกำชับให้เฉินเสี่ยวถงอยู่ที่ห้องทำงานอย่าไปไหน ส่วนตนเองต้องไปที่ไซด์ก่อสร้าง รอจนกู้หยุนหลานออกไปแล้ว เฉินเสี่ยวถงเองก็แอบออกจากห้องทำงาน แอบย่องออกจากตึกบริษัทแล้ววิ่งตะบึงไปถึงข้างถนน ในตอนนี้อย่าว่าแต่เงาของหลี่โม่เลย แม้แต่เงาของกู้หยุนหลานก็ยังไม่เห็น เฉินเสี่ยวถงมุ่ยปากกระทืบเท้า ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกว่าตนเองช่างขี้แพ้จริง ๆ โอกาสดีขนาดนี้ยังคว้าเอาไว้ไม่ได้ ได้แต่มองหลี่โม่จากไปต่อหน้าต่อตา ตอนนี้อยากจะไล่ตามหลี่โม่ไปก็ไม่รู้ว่าควรจะไล่ตามไปทางไหนดี รถเบนซ์ค่อย ๆ ขับมาจอดที่ข้างทาง กระจกรถฝั่งคนขับเลื่อนเปิด คังเหวินซินเอียงหัวแล้วพูดขึ้น “คุณหนูเฉิน จะไปไหนเหรอครับ? ให้ผมรับใช้ได้นะ” “นี่นายคิดจะลวนลามซือเหนียงงั้นเหรอ?” (1) เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เอ๊ะ? ซือ ซือเหนียง......ภรรยาของอาจารย์น่าจะเป็นกู้หยุนหลานไม่ใช่เหรอ คุณคือคนที่อาจารย์เก็บ......” คังเหวินซินยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา จนสุดท้ายก็ปิดปากเงียบ เพราะ
“ท่านอาจารย์เข้าไปในสนามกีฬาต่อสู้แล้ว เราต้องตามไปไหม?”“ต้องตามเข้าไปสิ”เฉินเสี่ยวถงจ้องมองร่างของหลี่โม่ ครุ่นคิดว่าหลี่โม่มาทำอะไรที่นี่ หรือว่าจะมาชกมวยกับใคร?รถเมอร์เซเดสเบนซ์เพิ่งจะขับถึงทางเข้าสนามกีฬา ก็ถูกชายร่างกำยำในชุดรักษาความปลอดภัยขวางไว้คังเหวินซินลดหน้าต่างรถลงแล้วถาม “ข้างในจอดรถไม่ได้เหรอ?”“จอดน่ะจอดได้ครับ แต่ต้องมีบัตรเชิญถึงจะจอดรถได้ คุณมีบัตรไหมครับ? ไม่มีบัตรก็เข้าไปไม่ได้”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดจานับว่าสุภาพดี“บัตรเชิญอะไรกัน ฉันเข้าไปเที่ยวเล่นไม่ได้เหรอ?”คังเหวินซินแสร้งถามโง่ ๆ“เหอะ ๆ วันนี้มีการแข่งสำคัญ ใครไม่มีบัตรก็เข้าไม่ได้ครับ คุณไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า”“แล้วบัตรเชิญต้องทำยังไงล่ะ เอามาให้ฉันหน่อยสิ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำมือให้คังเหวินซินจอดรถไว้ที่ประตูห้องรักษาความปลอดภัย“นายหญิง คุณนั่งอยู่ในรถนะครับ ผมจะไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น”หลังจากที่คังเหวินซินจอดรถแล้ว เขาก็ลงจากรถแล้วเดินตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือ