หลี่โม่ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ แล้วยุ่งอยู่กับการทำอาหารเช้าในห้องครัว หวังฟางดึงเฉินเสี่ยวถงมานั่งที่โซฟา ถามไถ่เรื่องราวที่เธอกับหวังจงฉวนพบเจอเมื่อวาน เฉินเสี่ยวถงรู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อยไม่รู้ว่าจะควรจะพูดอย่างไร จึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางก็หยุนหลาน “แม่คะ อย่าพูดถึงเรื่องที่จบไปแล้วเลย เดิมทีพี่เขาก็ไม่เหมาะกับเสี่ยวถงอยู่แล้ว แม่เองก็หยุดจับคู่พวกเขาได้แล้วนะคะ” กู้หยุนหลานเอ่ยอย่างค่อนข้างระอา “แม่ทำผิดยังไงกัน ช่วงนี้สถานการณ์ลูกพี่ลูกน้องของลูกก็กำลังดีเลย ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันจะไปออกทีวีด้วยนะ” หวังฟางรู้สึกว่าหลายชายของตนก็ไม่เลวเลยจริง ๆ อย่างน้อยก็ดีกว่าลูกเขยไร้ประโยชน์ตรงหน้าคนนี้เป็นไหน ๆ “เสี่ยวถงเอ๋ย หนูต้องฟังน้านะ จงฉวนน่ะหนูต้องพิจารณาเด็กคนนี้ให้ดี คนหนุ่มสาวไปมาหาสู่กันให้มาก ๆ เดี๋ยวก็ปิ๊งกันเองนั่นแหละจ้ะ” เฉินเสี่ยวถงยิ้มอย่างอึดอัดใจแล้วเอ่ยว่า “อื้ม ๆ ค่ะคุณน้า งั้นฉันจะพยายาม ฉันจะไปดูว่าพี่หลี่โม่มีอะไรให้ช่วยมั้ย คุณน้าคุยกับพี่หยุนหลานก่อนเถอะค่ะ” เมื่อหาข้ออ้างให้หนีไปได้แล้ว เฉินเสี่ยวถงก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องครัว หลี่โม่ที่กำลัง
“อ๋อ เมื่อกี้นี้พวกเธอคุยอะไรกันอยู่เหรอ?” กู้หยุนหลานแสร้งถามอย่างไม่คิดอะไร ถึงอย่างไรเฉินเสี่ยวถงก็เป็นสาวงามคนหนึ่งเหมือนกัน พร้อมกับที่กู้หยุนหลานก็พอจะรู้สึกได้ว่าเฉินเสี่ยวถงเหมือนจะคิดไม่ซื่อกับหลี่โม่อยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างระแวดระวังในตอนที่เฉินเสี่ยวถงอยู่กับหลี่โม่ตามลำพัง “ก็ไม่ได้คุยอะไรกันนะคะ ฉันพูดอะไรพี่หลี่โม่ก็ชอบเมินอยู่เรื่อย ทำฉันโมโหแทบตายเลยจริง ๆ” เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างโมโห ซึ่งในใจก็โกรธอยู่จริง ๆ เช่นกัน “หลี่โม่ก็เป็นแบบนั้นแหละ เขามีอีคิวต่ำไปสักหน่อย อย่าไปคิดหยุมหยิมกับเขาเลย เธอนั่งกินไปก่อนเถอะ ฉันจะเข้าไปดูหน่อย” กู้หยุนหลานกดเฉินเสี่ยวถงให้นั่งลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องครัว หลี่โม่เห็นกู้หยุนหลานเดินเข้ามา ก็พลันโบกมือให้กู้หยุนหลานด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วคีบแฮมที่เพิ่งทอดเสร็จขึ้นมาหนึ่งชิ้นพลางเอ่ย “ที่รัก มาชิมสิ เพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ รสชาติดีไม่เลวเลยนะ” “ทำไมฉันถึงเห็นเหมือนว่าคุณกำลังร้อนตัวอยู่หน่อย ๆ เลยล่ะ เมื่อกี้นี้คงไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีมาใช่ไหม” กู้หยุนหลานเอ่ยด้วยสีหน้าขึงตึง “ไม่ยุติธรรมเลยนะที่รัก ผมจะไปทำเรื่องไม่ดีได้ย
เฉินเสี่ยวถงไม่อยากถูกเขี่ยทิ้ง ถ้าหากถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้ว หลี่โม่กับกู้หนุนหลานไม่แยแสตน อย่างนั้นก็นับว่าความพยายามที่ผ่านมาสูญเปล่าทั้งหมด หลี่โม่ยกนมวัวกับแซนด์วิชจานหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว เขานั่งลงข้าง ๆ กู้หยุนหลานแล้วเอ่ยขึ้น “ช่วงบ่ายผมอาจจะมีธุระนิดหน่อย ถึงเวลาแล้วคงต้องออกไปหน่อยนะ” “ธุระอะไรเหรอ?” กู้หยุนหลานถามอย่างสงสัย “เหล่าชู คือว่าเหล่าชูเขาเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะ ผมจะไปช่วยเขาดู ถึงยังไงเมื่อก่อนเขาเองก็ช่วยผมไว้ไม่น้อย” หลี่โม่พูดอย่างคลุมเครือ เรื่องที่จะไปงานแข่งขันมวยใต้ดินนานาชาตินั้น เขาไม่มีทางให้กู้หยุนหลานรู้เด็ดขาด ดังนั้นหลี่โม่จึงคิดหาข้ออ้างที่ดูน่าเชื่อถือขึ้นมา เฉินเสี่ยวถงเอียงหัวมองหลี่โม่ รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นโอกาสก็ได้ ดูเหมือนว่าตอนบ่ายคงต้องแอบตามหลี่โม่ออกไป หลังจากนั้นก็จะมีเวลามากมายให้อยู่กับหลี่โม่ตามลำพัง ถึงตอนนั้นดูซิว่าหลี่โม่จะยังแสร้งทำเป็นพวกตายด้านอย่างไรได้อีก 'เฮอะ!' 'ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ชายที่ฉันยั่วยวนมาไม่ได้!' เฉินเสี่ยวถงกำมือขวาแน่น ในใจแอบให้กำลังใจตัวเองอย่างลับ ๆ กู้หยุนหลานไม่ได้สืบถามอะไรต่อ
หลี่โม่ชักแขนออกอย่างใจเย็น กลัวเพียงว่ากู้หยุนหลานจะเข้าใจผิด กู้หยุนหลานดึงมือของเฉินเสี่ยวถงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เฉินเสี่ยวถงแตะต้องผู้ชายของตนต่อไป “หลี่โม่ คนคนนี้คือใครเหรอ?” กู้หยุนหลานถามอย่างสงสัย “ผมชื่อคังเหวินซิน จากตระกูลคังแห่งปินไห่ คือว่า ผมประทับใจทักษะการขับรถของคุณหลี่ เลยอยากจะขอฝากตัวเป็นศิษย์คุณหลี่เรียนเทคนิกการขับรถ ผมมีความจริงใจอย่างยิ่งจริง ๆ นะครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินที่ทำท่าทางเหมือนจะคุกเข่าลงได้ทุกเมื่อ หลี่โม่จึงเอ่ยอย่างค่อนข้างลำบากใจ “นายอย่าขวางทาง พวกเรากำลังจะไปตอกบัตรทำงานนะ เรื่องสอนเทคนิกการขับรถอะไรนั่นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว นายเลิกคิดไปซะเถอะ” “คุณหลี่อย่าทำแบบนี้สิครับ ผมจริงใจจริง ๆ นะ ถ้าคุณไม่ยอมตกลงรับผมเป็นศิษย์ ผมจะนั่งอยู่ที่ประตูบ้านคุณไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น” กู้หยุนหลานดึงหลี่โม่เบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณคุยกับเขาดี ๆ สิ ฉันว่าเขาเองก็มีความจริงใจอยู่นะ สอนเขาขับรถก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ถึงยังไงคุณเองก็อยู่ว่าง ๆ นี่นา” ในมุมมองของกู้หยุนหลาน หลี่โม่นั้นถึงอย่างไรก็มีเวลาว่างมากมาย แค่เจียดเวลาสัก
หลี่โม่เพิ่งจะออกมาได้ไม่ถึงนาที โทรศัพท์บนโต๊ะของกู้หยุนหลานก็ดังขึ้นมา คุยโทรศัพท์ไม่ถึงนาที กู้หยุนหลานก็รีบวิ่งออกจากห้องทำงาน เธอกำชับให้เฉินเสี่ยวถงอยู่ที่ห้องทำงานอย่าไปไหน ส่วนตนเองต้องไปที่ไซด์ก่อสร้าง รอจนกู้หยุนหลานออกไปแล้ว เฉินเสี่ยวถงเองก็แอบออกจากห้องทำงาน แอบย่องออกจากตึกบริษัทแล้ววิ่งตะบึงไปถึงข้างถนน ในตอนนี้อย่าว่าแต่เงาของหลี่โม่เลย แม้แต่เงาของกู้หยุนหลานก็ยังไม่เห็น เฉินเสี่ยวถงมุ่ยปากกระทืบเท้า ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง รู้สึกว่าตนเองช่างขี้แพ้จริง ๆ โอกาสดีขนาดนี้ยังคว้าเอาไว้ไม่ได้ ได้แต่มองหลี่โม่จากไปต่อหน้าต่อตา ตอนนี้อยากจะไล่ตามหลี่โม่ไปก็ไม่รู้ว่าควรจะไล่ตามไปทางไหนดี รถเบนซ์ค่อย ๆ ขับมาจอดที่ข้างทาง กระจกรถฝั่งคนขับเลื่อนเปิด คังเหวินซินเอียงหัวแล้วพูดขึ้น “คุณหนูเฉิน จะไปไหนเหรอครับ? ให้ผมรับใช้ได้นะ” “นี่นายคิดจะลวนลามซือเหนียงงั้นเหรอ?” (1) เฉินเสี่ยวถงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เอ๊ะ? ซือ ซือเหนียง......ภรรยาของอาจารย์น่าจะเป็นกู้หยุนหลานไม่ใช่เหรอ คุณคือคนที่อาจารย์เก็บ......” คังเหวินซินยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา จนสุดท้ายก็ปิดปากเงียบ เพราะ
“ท่านอาจารย์เข้าไปในสนามกีฬาต่อสู้แล้ว เราต้องตามไปไหม?”“ต้องตามเข้าไปสิ”เฉินเสี่ยวถงจ้องมองร่างของหลี่โม่ ครุ่นคิดว่าหลี่โม่มาทำอะไรที่นี่ หรือว่าจะมาชกมวยกับใคร?รถเมอร์เซเดสเบนซ์เพิ่งจะขับถึงทางเข้าสนามกีฬา ก็ถูกชายร่างกำยำในชุดรักษาความปลอดภัยขวางไว้คังเหวินซินลดหน้าต่างรถลงแล้วถาม “ข้างในจอดรถไม่ได้เหรอ?”“จอดน่ะจอดได้ครับ แต่ต้องมีบัตรเชิญถึงจะจอดรถได้ คุณมีบัตรไหมครับ? ไม่มีบัตรก็เข้าไปไม่ได้”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดจานับว่าสุภาพดี“บัตรเชิญอะไรกัน ฉันเข้าไปเที่ยวเล่นไม่ได้เหรอ?”คังเหวินซินแสร้งถามโง่ ๆ“เหอะ ๆ วันนี้มีการแข่งสำคัญ ใครไม่มีบัตรก็เข้าไม่ได้ครับ คุณไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า”“แล้วบัตรเชิญต้องทำยังไงล่ะ เอามาให้ฉันหน่อยสิ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำมือให้คังเหวินซินจอดรถไว้ที่ประตูห้องรักษาความปลอดภัย“นายหญิง คุณนั่งอยู่ในรถนะครับ ผมจะไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น”หลังจากที่คังเหวินซินจอดรถแล้ว เขาก็ลงจากรถแล้วเดินตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปในห้องรักษาความปลอดภัยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถือ
หลี่โม่เข้าไปในสนามกีฬาต่อสู้ จากนั้นลูกน้องของชูจงเทียนคนหนึ่งก็พาหลี่โม่ตรงไปที่ห้องพัก“คุณหลี่ครับ พักก่อนนะครับ ผมจะไปบอกคุณเทียน ตอนนี้เขาถูกชาวต่างชาติดึงตัวไว้อยู่ ไปไหนมาไหนไม่ได้อย่างอิสระเลย”หลี่โม่พยักหน้า เดินเข้าไปนั่งในห้องพัก หยิบมือถือออกมาเล่นอย่างสบาย ๆลูกน้องเดินไปที่สนามฝึกตามหาชูจงเทียน แล้วกระซิบรายงานที่ข้างหูของชูจงเทียนชูจงเทียนเหลือบมองทอมป์สันที่อยู่ข้าง ๆ แล้วพูดยิ้ม ๆ “หลี่โม่ผู้เล่นไวด์การ์ดที่เป็นตัวแทนกรุงโซลของเรามาถึงแล้ว ผมจะไปพบเขาสักหน่อย”“อ๋อ ผู้เล่นเจ้าบ้านของเรามาแล้ว งั้นเชิญเขามาที่นี่สิ นู่หล่างกำลังจะฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนแข่งพอดี หลี่โม่ไม่ได้เข้าร่วมการฝึกซ้อมในช่วงนี้ ต้องยังไม่รู้จักคู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน ให้เขาดูสักหน่อยก็นับว่าเป็นการทำความเข้าใจ”คำพูดของทอมป์สันดูเหมือนจะมีเจตนาดี แต่จริง ๆ แล้วคำพูดเหล่านั้นไม่ได้เจตนาดีเลย ทั้งหมดนั้นก็เพื่อจะให้หลี่โม่เห็นความโหดร้ายของนู่หล่าง หลี่โม่จะได้มีความรู้สึกทางจิตวิทยาขอแค่มีความรู้สึกไม่ดีในใจ ตอนขึ้นเวทีแข่งจะต้องกลัวไปหมดทุกอย่างแน่นอน สุดท้ายก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่จะแพ
“นี่มันศิลปะการต่อสู้ที่เร็วแบบไม่มีใครโค่นได้ในโลกเหรอ? ความเร็วของเขาค่อนข้างดีทีเดียว” หลี่โม่พูดเรียบ ๆนักมวยทั้งสิบคนบนเวทีต่างมองดูนู่หล่างถมึงทึง แต่ไม่มีใครกล้าพุ่งเข้าไปก่อนความดุร้ายและความโหดเหี้ยมของนู่หล่างในการฝึกฝนทุกวันนี้ ทิ้งความทรงจำลึกซึ้งไว้ให้กับพวกเขา แถมยังสร้างแผลในใจพวกเขาด้วยแม้ว่าเขาจะรู้ว่า ถ้าทั้งสิบคนต่อสู้ร่วมกันจะมีความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะนู่หล่าง แต่คนที่จะพุ่งเข้าไปก่อนจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยจะมีใครยอมตายก่อนล่ะ?จะมีใครยอมสละชีวิตตนเองเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น? สรุปคือในบรรดานักมวยทั้งสิบคนนี้ไม่มีคนแบบนั้นอยู่นักมวยทั้งสิบคนต่างเฝ้าดู ต่างรอให้นู่หล่างเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีเลือกผู้โชคร้ายที่จะตายก่อนเขายิ้มอย่างดุร้าย แลบลิ้นสีแดงออกมาเลียมุมริมฝีปากล่าง มองนักมวยทั้งสิบคนไม่เหมือนกับว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ แต่มองราวกับว่าพวกเขาเหมือนอาหารเลิศรส“ฮึ่ม!”เสียงคำรามราวกับสัตว์ร้ายดังออกมาจากปากของนู่หล่าง ขาทั้งสองออกแรงกระทืบพื้น แล้วร่างกายของเขาก็กระโดดออกมาราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ชายกำยำผิวขาวที่แข็งแกร่งราวกับหมีกลายเป็นเป้าหมายแ