“การแข่งมวยใต้ดินมันอันตรายมากจริง ๆ นะครับ คุณหลี่คุณไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเลย!” ชูจงเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดโน้มน้าว “ไม่เป็นไรหรอก ยังมีคนรอผมไปกินข้าวเที่ยงอยู่ ขอไม่คุยต่อล่ะ คุณเองก็รีบกลับไปซะ พวกมันจะได้ไม่สงสัย” ชูจงเทียนมองดูหลี่โม่จากไปและทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ หลังสั่งให้ลูกน้องปล่อยตัวลูกน้องของเฉินเจียตั๋วไปแล้ว ชูจงเทียนก็กลับไปที่สนามต่อสู้เพียงลำพัง ...... คลินิกเถื่อนแห่งหนึ่งที่อยู่ในเขตชานเมืองของกรุงโซล คุณชายเล็กหลินนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าถมึงทึงและมองกลุ่มลูกน้องที่นั่งยองอยู่เบื้องหน้า พวกลูกน้องที่แขนหักนั้น แขนเข้าเฝือกทั้งสองข้าง แต่ละคนต่างอยู่ในท่าทางแขนเหยียดตรง ดูไปแล้วช่างน่าขันเต็มประดา ในมุมห้อง ลุงเป้านอนราบอยู่บนเตียง ต้นขาเปลือยเปล่าถูกพันด้วยผ้าก๊อซหลายก้อน “คุณชายเล็ก พวกเราอยู่แต่ที่นี่ตลอดเลย มันน่าเบื่อมากจริง ๆ แขนก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แม้แต่มือถือก็เล่นไม่ได้” “อย่างน้อยก็ให้น้อง ๆ สาว ๆ มาเล่นเป็นเพื่อนพวกเราเถอะครับ วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรเลยแบบนี้จะไปอยู่ได้ยังไง” “หรือไม่ก็ให้พวกเรากลับไปก่อน กลับบ้านไ
สำหรับคุณชายเล็กหลินเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพียงแต่หากสามารถใช้เงินแก้ไขปัญหาได้ มันก็คงไม่ใช่ปัญหาหรอก หากมีใครสามารถฆ่าหลี่โม่กู้หน้าคืนมาให้คุณชายเล็กหลินได้ คุณชายเล็กหลินก็อาจถึงขั้นยอมให้เช็คเปล่าไปเลยก็ได้ “ลุงเป้า เงินไม่ใช่ปัญหาหรอก ลุงบอกมาเลยเถอะว่าจะจัดการหลี่โม่ยังไง จะห้าล้าน ห้าสิบล้านก็ไม่มีปัญหา ถ้ายังไม่พอ ฉันให้เลยร้อยล้านเอาชีวิตมันมาให้ได้!” คุณชายเล็กหลินพูดอย่างโกรธแค้น เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการสืบทอดตำแหน่งในตระกูลหลิน คุณชายเล็กหลินพร้อมที่จะทุ่มเต็มที่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกู้หน้ากลับคืนมาและต้องยึดครองกรุงโซลกับชูโจวให้ได้! ลุงเป้าหรี่ตาลง เขาครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ผมมีรุ่นน้องอยู่คนหนึ่งที่เป็นพวกเห็นเงินแล้วตาโต พวกเราต่างเรียกเขาว่าจอมละโมบ รุ่นน้องคนนี้ฝีมือต่อสู้เก่งกาจกว่าผมมากทีเดียว เพื่อเงินแล้วเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ตัวเขาเองก็สร้างอำนาจอิทธิพลอยู่ข้างนอก ทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง” “ลุงไม่ต้องพูดให้มากความ เข้าเรื่องมาเลย รุ่นน้องของลุงสามารถฆ่าไอ้หลี่โม่ได้ไหม! ขอแค่เขาฆ่าหลี่โม่ตายได้ก็เรียกเขามาได้เลย ราคาเท่าไหร่ฉันก็ยอมจ่ายได
“เขาออกเดินทางแล้วครับ คงจะมาถึงเช้ามืดนี้ พรุ่งนี้เช้าก็สามารถไปจัดการไอ้หลี่โม่ได้เลยครับ” “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ดี ฉันจะพักผ่อนให้เต็มที่สักคืนก่อน แล้วพรุ่งนี้จะได้ไปดูไอ้หลี่โม่ถูกซ้อมจนตายให้สดชื่น ถึงตอนนั้นฉันจะเหยียบย่ำศพของมันให้หนำใจ!” คุณชายเล็กหลินกลับมาที่ห้องด้วยความสะใจ เฝ้ารอให้วันรุ่งขึ้นมาถึง ...... หลี่โม่มาถึงร้านกาแฟตรงข้ามโรงพยาบาล เพียงเพิ่งจะเดินผ่านประตูร้านเข้ามาก็ได้ยินเสียงดุด่าต่อว่าดังขึ้น หนึ่งในนั้นมีเสียงที่เขารู้สึกคุ้นเคยอยู่ด้วย ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเสียงของหวังจงฉวน หลี่โม่เดินไปหาต้นเสียงจึงพบกับหวังจงฉวนกำลังยืนอยู่ที่ประตูห้องรับรองส่วนตัวและเผชิญหน้ากับชายฉกรรจ์หน้าตาดุร้ายสองสามคน “แกนี่มันหน้าหนาหน้าทนนักนะ พี่เทาของพวกเราถูกใจสาวน้อยสองคนนี้ ให้พวกหล่อนไปนั่งเป็นเพื่อน แล้วแกจะมายืนขวางยึก ๆ ยัก ๆ อะไรอยู่ตรงนี้ ถ้ายังกล้ามาขวาง ฉันจะอัดแกให้เละเป็นอาหารหมาซะเลย” “จะไปพูดไร้สาระกับพวกมันทำไม แค่ซ้อมไอ้หมาขวางทางนี้ให้สลบเหมือดไปเลย แล้วพาสาวน้อยสองคนนี้ไปก็ได้แล้ว อย่าทำให้พี่เทารอจนหงุดหงิด เดี๋ยวพวกเราจะโดนดีกันหมด” เห็นได้ชัดว่าช
“ใครมันมาเอะอะโวยวายวะ กล้าทำให้พวกเราเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้งั้นเหรอ? ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเสียใจโว้ย! ใครกล้ามาทำให้ฉันนึกเสียใจ ฉันจะทำให้มันนึกเสียใจที่พูดออกมาก่อนเอง” “หัวจื่อ มีคนอยากจะทำตัวเป็นฮีโร่ช่วยสาวงามว่ะ พวกเรามาทำให้มันรู้ซึ้งสักหน่อย ว่าการช่วยสาวงามน่ะเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายสุด ๆ ไปเลย” พวกหัวจื่อนวดข้อมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้มเหยียดหยามดูแคลนแล้วหมุนตัวมองไปทางหลี่โม่ที่อยู่ตรงประตูพร้อมกัน หลี่โม่กระดิกนิ้วเรียกพวกหัวจื่อแล้วเอ่ยอย่างดูถูก “เข้ามาพร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” “คิดว่าตัวเองเก่งนักรึไงวะ ถึงได้ให้พวกข้าเข้าไปพร้อมกัน แค่ข้าคนเดียวก็สามารถอัดแกให้ร้องหาพ่อได้แล้ว เอาหมัดฉันไปกินซะ ไอ้เด็กเวร!” หัวจื่อตะโกนดังลั่นพร้อมเหวี่ยงกำปั้นอันใหญ่อันโตนั้นใส่หลี่โม่ หัวจื่อที่เคยคว้าแชมป์คิกบ็อกซิ่งระดับจังหวัดมาได้มีความมั่นใจในหมัดของตนอย่างเต็มเปี่ยม อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่คนที่ฝึกฝนมาแล้วก็ยังไม่สามารถรับมือกับหมัดของหัวจื่อได้เลย หากไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้ติดตามพี่เทาแล้วอยู่สุขสบาย หัวจื่อก็คงคิดอยากเป็นคนดังบนอินเทอร์เน็ตแล้วไปท้าประลอ
“ไม่ใช่ภาพหลอนแน่นอนอยู่แล้ว พี่หลี่โม่สุดยอดขนาดนี้แหละ เป็นความสุดยอดที่คุณไม่สามารถจินตนาการได้เลย” เฉินเสี่ยวถงราวกับเป็นแฟนคลับของหลี่โม่อย่างไรอย่างนั้น หัวจื่อมองพวกเพื่อน ๆ ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างตะลึงงัน รู้สึกว่าหัวใจร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม เลือดทั่วร่างค่อย ๆ เย็นเฉียบลง ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งนาทีเลยด้วยซ้ำ ชายฉกรรจ์ที่ปกติแล้วต่อสู้กับคนสามถึงห้าคนได้สบายด้วยตัวคนเดียวกลับถูกหลี่โม่จัดการจนสลบเหมือดกับพื้น นี่มันเกินขอบเขตจินตนาการของหัวจื่อไปแล้ว “พี่ชาย เมื่อกี้พวกเราคงจะเข้าผิดห้องหาผิดคนน่ะ เราจะไปเดี๋ยวนี้ ช่วยปล่อย ๆ ไปได้ไหมครับ?” หัวจื่อยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแต่ก็ยังรักษามารยาท “นายบอกว่าหาผิดแล้วมันจะจบงั้นเหรอ? งั้นฉันจะบอกให้ว่าคนที่ฉันหาก็คือแกแล้วกัน แกทำร้ายพี่ชายเมียฉันแล้วคิดจะหนีเหรอ เป็นคนอย่าไร้ความรับผิดชอบนักสิ” หลี่โม่ควงกำปั้นไปมา ไม่มีความคิดที่จะปล่อยหัวจื่อไปแม้แต่น้อย หัวจื่อสงสัยว่าตนได้ไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้ต้องมาเจอกับหลี่โม่ “พี่ชาย คุณไม่ไว้หน้ากันเอาซะเลย เจ้านายของผมคือหลงเทาแห่งหลินเจียงนะ ถ้าฉลาดสักหน่อยก็ปล่อยผมไปสักครั้ง พว
โซซัดโซเซกลับมาถึงห้องส่วนตัว เมื่อหลงเทาเห็นมุมปากและใบหน้าเปื้อนเลือดที่บวมเหมือนหัวหมูของหัวจื่อ สีหน้าของเขาก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที “หัวจื่อ แกทำบ้าอะไรของแก ฉันบอกให้ไปพาผู้หญิงสองคนนั้นกลับมา แล้วทำไมแกถึงทำตัวเองกลายเป็นหัวหมูแบบนี้ได้ พี่น้องคนอื่น ๆ ล่ะ?” หลงเทาถามอย่างค่อนข้างหัวเสีย “พี่เทา เราถูกคนทำร้าย พี่น้องคนอื่น ๆ ต่างก็ถูกซัดจนสลบกันหมด เหลือผมคนเดียวที่พอจะต้านทานได้” หัวจื่อน้ำตาไหลพรากด้วยความคับข้องใจ ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยรู้สึกไม่เป็นธรรมขนาดนี้มาก่อนเลย หลงเทาเลิกคิ้วและพูดด้วยความประหลาดใจ “พวกแกมีกันตั้งหลายคนแต่ทำอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ? หรือว่าไปเจอเจ้าถิ่นของเมืองหลงเฉิงมาหรือไง? พวกแกจะทำอะไรรอบคอบหน่อยได้ไหม เรื่องเล็ก ๆ ก็ยังทำให้ดีไม่ได้!” “ไม่ใช่ว่าพวกเราสะเพร่านะครับ อีกฝ่ายมีแค่คนเดียว แค่คนเดียว แต่ในชั่วพริบตามันก็คว่ำพี่น้องคนอื่นได้หมด ผมยังแตะต้องมันไม่ได้เลยแม้แต่ปลายนิ้วก็ถูกซัดจนมีสภาพแบบนี้แล้ว! พี่เทา พี่ต้องล้างแค้นให้พวกพี่น้องด้วยนะครับ!” หัวจื่อร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางพูด รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง หลงเทาชะงักไปเล็ก
มือปืนทั้งสองคนยกปืนขึ้นและเล็งปืนไปที่หลี่โม่ทำมุม 45 องศา ทั้งกู้หยุนหลานและเฉินเสี่ยวถงต่างก็ประสบพบเจออะไรมามากจึงไม่ได้รู้สึกอะไรที่เห็นพวกหลงเทาถือปืน แต่หวังจงฉวนนั้นตกใจมากจนรีบหดตัวเข้าไปในมุมโซฟาทันที “ปืน พวกเขามีปืน!” หวังจงซวนพูดด้วยเสียงเบาด้วยใบหน้าซีดเผือด “พี่คะ ไม่ต้องกังวล แค่ปืนเองนะ” กู้หยุนหลานเอ่ยปลอบขวัญหวังจงฉวน “ปืนนะ! เธอไม่กลัวเหรอ?” “กลัวอะไรกัน ไม่ได้ถูกเอาปืนจ่อครั้งแรกเสียหน่อย แต่ตราบใดที่หลี่โม่ยังอยู่ด้วย ก็ไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยสักครั้ง” กู้หยุนหลานพูดตามความเป็นจริง สมองของหวังจงฉวนราวกับหยุดทำงานไปทันที คิดไม่ถึงว่ากู้หยุนหลานกับหลี่โม่จะมีประสบการณ์โชกโชนจนเห็นปืนพกราวกับเป็นเรื่องธรรมดา หลี่โม่มองหลงเทาพลางแย้มยิ้ม เขาเอื้อมมือไปคว้าเมล็ดแตงกำหนึ่งไว้ในมือ "นายถือปืนแล้วคิดว่าจะขู่ฉันได้งั้นเหรอ? อ่อนต่อโลกไปหน่อยมั้ง" “หึหึ อ่อนต่อโลกงั้นเหรอ? ปืนของฉันมันเอาไว้ฆ่าคน ไม่ใช่ปืนของเล่นนะโว้ย” หลงเทาโบกปืนไปมาเล็กน้อย ก่อนจะเล็งปืนไปที่กลางหน้าผากของหลี่โม่ "อยากลองไหมล่ะ? ดูซิว่าหลังจากที่ฉันเหนี่ยวไกแล้ว หน้าผากของแกจะเป็นรูหรื
“อ๊าก! มือฉัน! มือหักแล้ว!” หลงเทาส่งเสียงร้องลั่นอย่างน่าเวทนา ปืนในมือร่วงลงที่พื้น ในตอนนั้นเองเขาก็เชื่อคำพูดของหัวจื่อแล้ว ทว่าในตอนที่เชื่อมันก็สายไปเสียแล้ว มือปืนทั้งสองอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วส่งปืนไปที่มือซ้าย แต่พวกเขาก็ฉลาดมากไม่ได้ยกปืนขึ้นมาอีกครั้ง การที่หลี่โม่ใช้เมล็ดแตงเจาะข้อมือของพวกเขาก็เป็นการบอกแล้วว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นไม่มีทางจะเทียบกันได้ ต่อให้มีปืนอย่างในมือก็ยังไม่ใช่คู่มือของหลี่โม่แม้แต่น้อย ปืนจริงกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต่างจากของเล่นเลย “พี่เทา พี่ พี่เชื่อแล้วใช่ไหม ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้เรื่อง แต่อีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ” หัวจื่อพูดขณะนอนกุมท้องอยู่ที่พื้น หลงเทาหน้าดำคร่ำเครียด แทบอยากจะเตะหัวจื่อให้ตายคาที่เสียเลย อยู่ดีไม่ว่าดีจะมาพูดอะไรตอนนี้วะ! “พี่ชาย ผมผิดไปแล้ว ผมยอมรับความผิด คุณพูดมาได้เลยว่าต้องการยังไง คุณบอกยังไงผมก็จะทำอย่างนั้น” หลงเทาเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้เต็มที่ ขอแค่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็พอแล้ว “พวกนายไม่ใช่คนกรุงโซล แล้วมาทำอะไรที่กรุงโซลกันล่ะ” หลี่โม่ถามพลางแทะเมล็ดแตง “พวกเรา คือว่า เพราะว่าคุณชายสามหล
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา