ฉินจี้เย่นั่งประจำที่ สายตาเอาแต่ลอยไปทางเฉินเสี่ยวถง ท่าทางของเขาราวกับวิญญาณไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลี่โม่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ถ้านายชอบเธอก็เข้าไปสารภาพเลยสิ เอาแต่แอบมองอยู่แบบนี้จะไปมีความหมายอะไรเล่า” “คือว่าผม เมื่อกี้ผมก็ไปแล้วนี่ครับ แต่ แต่ว่า......” ฉินจี้เย่ในตอนนี้ไร้ซึ่งความสง่าน่าเกรงขามของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉินอีกแล้ว กลับกันเหมือนเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งมีความรักเสียมากกว่า พอเห็นผู้หญิงที่ทำให้ใจสั่นไหวก็ทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา กู้หยุนหลานหัวเราะเบา ๆ แล้วขยับเข้าไปกระซิบข้างหูหลี่โม่ “แล้วคุณล่ะ ไม่ใจสั่นสักหน่อยเลยเหรอ?” “ไม่มีทางแน่นอนอยู่แล้ว หัวใจของผมมีแต่คุณเท่านั้น ใส่ใครอื่นเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว” หลี่โม่พูดอย่างจริงจัง เฉินเสี่ยวถงเงี่ยหูฟังบทสนทนาของพวกหลี่โม่ เมื่อได้ยินหลี่โม่พูดว่าใจเขาใส่ใครอื่นเข้าไปไม่ได้อีก เฉินเสี่ยวถงก็กัดฟันแน่น 'ใส่ใครอื่นเข้าไปไม่ได้บ้าบออะไร คำพูดของผู้ชายมันหลอกลวงทั้งนั้น ฉันจะต้องล่อนายมาติดกับให้ได้ ถึงตอนนั้นคอยดูซิว่าในใจของนายจะยังใส่คนอื่นเข้าไปได้อีกไหม!' เฉินเสี่ยวถงนั้นแต่เดิมเห็นการยั่วยวนหลี่โม่เป็นเพียงภารกิจเท่
หลังจากที่ทั้งสองแต่งตัวเสร็จ ก็เดินควงแขนกันออกไป กลุ่มลูกน้องเดินล้อมรอบตัวคุณชายเล็กหลินและกู้ชิงหลินไปทางลานด้านหน้าของโรงกลั่นไวน์ ในตอนที่คุณชายเล็กหลินปรากฏตัว พลันเกิดความสั่นสะเทือนในหมู่คุณชายเศรษฐีไม่น้อย เหล่าคุณชายเศรษฐีจากเมืองเช่นฉู่โจวและกรุงโซลมองไปทางคุณชายเล็กหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวั่นกลัว บุคคลมีชื่อเสียงดั่งต้นไม้มีร่ำเงา แม้ตระกูลหลินจะไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้ แต่ก็ไม่อาจขวางกั้นตำนานเรื่องเล่าของตระกูลหลินได้ คนที่เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูลหลินต่างรู้ถึงความโหดเหี้ยมของตระกูลหลิน อีกอย่างตระกูลหลินเดิมทีก็ไม่ได้ทำธุรกิจที่ขาวสะอาดอยู่แล้ว ดังนั้นเหล่าคุณชายเศรษฐีบางกลุ่มจึงจงใจรักษาระยะห่างกับคุณชายเล็กหลิน เมื่อเห็นคุณชายเล็กหลินเดินไปยังทิศทางของหลี่โม่ เหล่าคุณชายเศรษฐีก็ต่างรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น “ให้ตายเถอะ อีกเดี๋ยวน่ากลัวว่าคงจะมีเรื่องใหญ่แน่ ทางที่หลี่โม่อยู่นั่นมีสาวงามชั้นยอดอยู่ถึงสองคน เกรงว่าคุณชายเล็กหลินจะต้องพาคนไปชิงสาวงามแน่นอน” “ที่ข้าง ๆ คุณชายเล็กหลินนั่นคือกู้ชิงหลินที่ถูกตบไม่กี้นี้ไม่ใช่เหรอ กู้ชิงหลินคนนี้ไม่ธ
“โอ้โห นี่หมาจรจัดที่ไหนมันเห่าหอนกันเนี่ย ถ้ายังกล้าเห่าอีกคำเดียว ฉันจะสับแกเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาไปเป็นอาหารแมว” คุณชายเล็กหลินพูดอย่างไม่พอใจ กู้ชิงหลินเหลือบมองหลี่โม่อย่างร้ายกาจทีหนึ่งก่อนจะถลึงตาใส่ฉินจี้เย่ “คุณชายสาม เมื่อกี้นี้เจ้าหมาจรจัดนั่นมันตบฉัน ดูหน้าฉันสิคะ ยังมีรอยที่ถูกเขาตบอยู่เลย คุณต้องแก้แค้นให้ฉันนะคะ!” “วางใจได้ ฉันจะจัดการเจ้าหมาจรจัดนั่นแน่นอน ไอ้สกุลฉิน อย่านึกว่าตัวเองเก่งกาจอะไรนักเลย ตระกูลฉินของพวกแกไม่อยู่ในสายตาฉันเลยสักนิด ถ้ารู้จักดูสถานการณ์ก็คุกเข่าขอความเมตตาซะ เผื่อฉันใจดี อาจจะไว้ชีวิตสุนัขของแกก็ได้” คุณชายเล็กหลินมองฉินจี้เย่ด้วยสายตาเหยียดหยาม วางแผนจะใช้ฉินจี้เย่มาสร้างชื่อเสียงบารมี ฉินจี้เย่ยกมือขึ้นมาตั้งท่า พวกบอดี้การ์ดที่อารักขาอยู่ไม่ไกลออกไปพากันพุ่งเข้ามา “ฮ่าฮ่าฮ่า” คุณชายสามหลินหัวเราะลั่นอย่างบ้าระห่ำ ก่อนจะหันไปชักปืนอย่างองอาจแล้วเหนี่ยวไกใส่บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามา ปัง ปัง ปัง! ทุกนัดที่คุณชายสามหลินยิงออกไป ก็จะมีบอดี้การ์ดหนึ่งคนถูกยิงล้มลงกับพื้น ในเวลาเพียงพริบตาเหล่าบอดี้การ์ดใต้บังคับบัญชาของฉินจี้เย่ก็ไ
กู้หยุนหลานพอใจกับคำตอบของหลี่โม่มาก เธอจับแขนของหลี่โม่เบา ๆ เมื่อเห็นหลี่โม่มองมาที่ตนเอง กู้หยุนหลานจึงเผยใบหน้ายิ้มแย้มให้แก่เขา หลี่โม่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วโน้มหัวเข้าไปคิดจะจูบกู้หยุนหลานสักหน่อย แต่กลับถูกกู้หยุนหลานเบือนหน้าหลบไปเสียก่อน เมื่อเห็นหลี่โม่กับกู้หยุนหลานแสดงความรักหวานชื่นกันต่อหน้าสาธารณะ เฉินเสี่ยวถง กู้ชิงหลิน และคุณชายสามหลินก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดกระหน่ำอยู่ภายในใจ “กู้หยุนหลานเธอมันนังสารเลวไร้ยางอาย ยังไม่รีบเข้ามาปรนนิบัติคุณชายสามอีก!” กู้ชิงหลินตะโกนลั่นด้วยความโมโห คุณชายสามหลินแค่นเสียงอย่างเย็นชา แล้วมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาเย็นยะเยือก “แกก็คือหลี่โม่ไอ้ขยะที่เกาะผู้หญิงกินนั่นสินะ? คลานมาแล้วเห่าเหมือนหมาสิ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะยังเก็บแกมาเป็นหมาเฝ้าบ้านก็ได้ แต่ถ้าแกไม่ยอมทำตามดี ๆ ล่ะก็ หึหึ...” หลี่โม่ชำเลืองมองคุณชายสามหลิน แล้วส่ายหัวพลางพูดว่า “นายก็ช่างเป็นคนที่ไร้ความกลัวเพราะโง่เขลาจริง ๆ นึกว่าทำเป็นเท่แล้วมันจะเท่จริงงั้นเหรอ? งี่เง่าชะมัด” “กล้าดียังไงมาบอกว่าฉันงี่เง่าวะ คลานมาให้ฉันอัดซะดี ๆ ไอ้ขยะ!” คุณชายสามหลินพูดอย่างโหดเห
ฉินจี้เย่ทุ่มสุดตัว เขาเข้าใจดีว่าสิ่งที่ตนต้องการนั้นคือแสดงฝีมือ ขอเพียงการแสดงของตนสร้างความประทับใจให้หลี่โม่ได้ เขาก็ไม่มีทางตายอย่างแน่นอน ไม่เพียงจะไม่ตายเท่านั้น เขายังสามารถเข้าไปอยู่ในสายตาของหลี่โม่ได้ หากกลายเป็นลูกน้องที่อยู่รอบกายหลี่โม่ได้ก็คงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ฉินจี้เย่ที่จมูกเขียวหน้าบวมไปหมด และมีเลือดไหลออกจากหน้าผากไม่หยุด ใช้กำลังทั้งหมดในร่างกายพยุงตัวเองเหยียดตัวยืนตรง หากสู้ตอนนี้ก็คงสู้ไม่ไหวแล้วแน่นอน ที่เขาทำได้ก็แค่วางมาดเท่านั้น คุณชายเศรษฐีที่มามุงดูไม่น้อยต่างตกตะลึงกับท่าทางของฉินจี้เย่ พวกเขาต่างไม่เข้าใจว่าฉินจี้เย่ถูกอัดจนเป็นสภาพนั้นแล้ว ทำไมถึงยังยืนหยัดจะขวางทางไว้อีก หรือว่าฉินจี้เย่คิดจะปกป้องหลี่โม่จนตัวตายจริง ๆ ? อย่างนั้นแล้วหลี่โม่มีดีอะไรถึงสามารถทำให้ฉินจี้เย่เป็นแบบนี้ได้? “เหล่าฉินจะมาไม้ไหนอีก ถึงจะเป็นสุนัขรับใช้จริง แต่ถูกทุบตีจนกลายเป็นแบบนี้แล้ว เจ้านายก็ควรออกหน้าได้แล้วสิ ทำไมหลี่โม่ถึงยังนั่งนิ่งอยู่อีก คงไม่ได้จะมองเหล่าฉินตายไปทั้งอย่างนี้หรอกนะ” “วันนี้มันพลิกโลกเลยจริง ๆ ฉินจี้เย่สมองเพี้ยนไปแล้วหรือเปล่า หลี
ทันทีที่หลอดบินออกไป เปลือกตาของลุงฝูก็กระตุก แววตาเผยความตกตะลึงออกมา การดีดหลอดพลาสติกให้พุ่งออกไปตรง ๆ เป็นเรื่องยากมาก แต่การทำให้ความเร็วสูงจนแทบจะมองไม่เห็นเลยนั้นยากเสียยิ่งกว่ายาก ฟุ่บ หลอดแทงเข้าไปที่เข่าของชายฉกรรจ์ที่กำลังจะเตะเป้าของฉินจี้เย่ หลอดที่แต่เดิมแล้วอ่อนยวบ ในตอนนี้กลับแทงเข้ากระดูกเข่าราวกับเหล็กเส้น "อ๊าก!" ชายฉกรรจ์ส่งเสียงร้องลั่น เขาหงายหลังล้มลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวเข่าแล้วดิ้นไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด "เข่าฉัน!" คุณชายเล็กหลินและคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้ยินเสียงร้องของชายฉกรรจ์ พวกเขาถึงเพิ่งสังเกตเห็นหลอดปักอยู่ในเข่าของเขา ดวงตาของทุกคนพลันเบิกกว้างในทันที ทุกคนต่างคิดไม่ออกว่าหลอดแทงเข้าไปในเข่าได้อย่างไร และที่สำคัญคือเขาไม่เห็นด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนทำ ฉินจี้เย่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรู้ว่าหลี่โม่ได้ช่วยตนเอาไว้แล้ว เมื่อผ่อนลมหายใจออกมา ฉินจี้เย่ก็พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วร่าง ความเจ็บปวดที่ถูกความตึงเครียดกดเอาไว้เมื่อครู่นี้ ซัดกระหน่ำใส่สมองของฉินจี้เย่ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราด ประสาทรับรู้ทน
เฉินเสี่ยวถงได้ตัดสินใจลงไปโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์หรือความสุขในอนาคต เฉินเสี่ยวถงก็รู้สึกว่าการเดิมพันกับหลี่โม่นั้นน่าเชื่อถือมากกว่าการเดิมพันกับราชินีมังกรมาก หลี่โม่รู้สึกได้ถึงสัมผัสอันน่าขนลุกที่หลัง เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพูดเสียงทุ้มเข้ม "ถ้าคุณกลัวก็ไปนั่งด้วยกันกับภรรยาผมเถอะ" กู้หยุนหลานเอื้อมมือมาวางบนมือของเฉินเสี่ยวถงและพูดอย่างนุ่มนวล "ไม่ต้องกลัวนะ ถ้ากลัวก็จับมือของฉันเอาไว้" “ไม่ เขา เขาทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัยมากกว่า” เฉินเสี่ยวถงเอ่ยอย่างน่าสงสาร หลี่โม่ยิ้มแหยพลางส่ายหน้า “คุณไม่จำเป็นต้องจับผมไว้ก็ปลอดภัยมากเหมือนกัน แต่ถ้าคุณจับผมอยู่แบบนี้ มันจะกลายเป็นไม่ปลอดภัยไปได้นะ” "ทะ-ทำไมล่ะ?" “เพราะผมกลัวภรรยา เรื่องที่ภรรยาของผมไม่ชอบผมก็จะไม่ทำ อย่างเช่น สิ่งที่คุณทำอยู่ตอนนี้อาจทำให้ภรรยาของผมไม่ชอบใจ” หลี่โม่พูดอย่างจริงจัง กู้หยุนหลานมองค้อนหลี่โม่เล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะเอามือป้องปากหัวเราะขึ้นมา ในใจเฉินเสี่ยวถงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ที่แล้วมาพวกผู้ชายพอเห็นตนก็ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้ว แต่ตอนนี้เธอเข้าหาออดอ้อนไปก
กู้ชิงหลินตกใจจนหดตัวอยู่ในอ้อมแขนของคุณชายเล็กหลินและถามอย่างหวาดกลัว “คุณชายสาม นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ พวกเราควรทำยังไง?”“เหอะ ๆ ไม่ต้องกังวล ก็แต่ยอดฝีมือกังฟูเท่านั้นเอง รอบตัวฉันก็มีคนที่เก่ง ๆ อยู่!”สิ้นเสียงคุณชายเล็กหลิน ชายวัยกลางคนที่ใส่ชุดออกกำลังกายสีขาวก็ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังคุณชายเล็กหลินชายวัยกลางคนมีคิ้วคมและดวงตาสดใส ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเป็นประกาย ขมับของเขานูนสูง ดูมีพลัง“ลุงเป้า ต้องพึ่งลุงแล้ว” คุณชายเล็กหลินกระซิบลุงเป้าพยักหน้ายิ้ม ๆ ไปยืนข้างหน้าคุณชายสามหลิน ประเมินลุงฝูที่อยู่ตรงข้ามลุงฝูหยุดฝีเท้า มองลุงเป้าอย่างระมัดระวัง สีหน้าค่อนข้างหนักใจหลี่โม่เงยหน้ามองเฉินเสี่ยวถงแล้วพูด “พ่อบ้านของคุณเก่งนะ แต่ทำไมผมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลเฉินเลยล่ะ?”“ตระกูลของเราไม่ได้อยู่ที่นี่ ลุงฝูอยู่ในบ้านก็อยู่ในระดับธรรมดา คนที่เก่งกว่าเขามีเยอะมาก ฉันมาที่นี่เพราะหนีการแต่งงานมา ดังนั้นคุณไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลฉันก็เป็นเรื่องปกติ”เฉินเสี่ยวถงพูดโกหก หลี่โม่ยิ้มเล็กน้อยไม่ฟังคำพูดของเฉินเสี่ยวถง แต่กู้หยุนหลานให้ความสนใจคำพูดของเฉินเสี่ยวถง ดึงเฉิ