กู้เจี้ยนเจียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหากู้ชิงหลิน "ฮัลโหล ชิงหลิน ลูกรู้เรื่องงานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์องุ่นหรือเปล่า?" กู้ชิงหลินที่กำลังดูเสื้อผ้ากับเพื่อนสาวสองสามคน พูดด้วยความประหลาดใจ "พ่คะ พ่อก็รู้เรื่องงานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์องุ่นด้วยเหรอคะ? หูตาไวจังเลยนะคะ หนูกับพวกเพื่อน ๆ กำลังดูเสื้อผ้ากันอยู่ เพื่อเตรียมแต่งตัวสวย ๆ ไปร่วมงานนี่ล่ะค่ะ” "สวีอวิ๋นอวิ๋นเพื่อนสนิทของกู้หยุนหลานจะไปด้วยหรือเปล่า พ่อคิดว่าหล่อนกับเพื่อนของลูกต่างก็ชอบร่วมกิจกรรมแบบนี้กันนี่" กู้ชิงหลินเลิกคิ้ว แล้วถามอย่างงุนงงยิ่งกว่าเดิม "พ่อคะ พ่อกำลังวางแผนอะไรอยู่น่ะ หรืออยากให้หนูแนะนำสวีอวิ๋นอวิ๋นให้เหรอคะ? ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่พวกที่รับมือได้ง่าย ๆ นะคะ หล่อนเล่นละครเก่งเป็นที่สุด” "พ่อจะให้แกแนะนำหล่อนให้เพื่ออะไรกันล่ะ ลุงของแกมีแผนการ เขาต้องการวางแผนให้กู้หยุนหลานเข้าร่วมงานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์ ก็เพราะว่าไม่รู้ว่าจะหาทางจัดการทำให้กู้หยุนหลานไม่รู้สึกสงสัยได้ยังไง ถ้าเพื่อนสนิทของแกชวนหล่อนไปร่วมงานได้ เรื่องมันก็จะง่ายขึ้นเยอะ” เมื่อกู้เจี้ยนกั๋วเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว กู้ชิงหลินพลันรู้สึ
กู้หยุนหลานยิ้มอย่างออดอ้อน ขณะกำลังจะพูดเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น “ช่วยหยิบมือถือให้ฉันหน่อย ใครโทรมาตอนนี้กันนะ” กู้หยุนหลานขับรถอยู่จึงไม่สะดวกหยิบมือถือ หลี่โม่จึงหยิบกระเป๋าของกู้หยุนหลานขึ้นมา แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าออกมาดู "สวีอวิ๋นอวิ๋นโทรมา คุณจะรับไหม?” "อวิ๋นอวิ๋นโทรมาเหรอ ต้องรับสายอยู่แล้วสิ คุณรับสายแล้วเปิดลำโพงให้หน่อยนะ" หลี่โม่รับสายแล้วเปิดลำโพง เสียงของสวีอวิ๋นอวิ๋นก็ดังออกมาออกมาจากโทรศัพท์ "หยุนหลาน เธอยุ่งอยู่หรือเปล่า?" “ฉันกำลังขับรถกลับบริษัทน่ะ เธอมีอะไรหรือเปล่า?” “ฉันมีเรื่องนิดหน่อยต้องหาเธอจริง ๆ นั่นแหละ เธอไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม พวกเราไปเสริมสวยกัน จากนั้นค่อยไปดูเสื้อผ้า ฉันมีเรื่องอะไรอยากจะบอกเธอ” สวีอวิ๋นอวิ๋นกลอกตาพลางเอ่ย “เอ่อ มีเรื่องสำคัญงั้นเหรอ? ที่บริษัทยังมีงานที่ต้องทำอยู่น่ะ” สวีอวิ๋นอวิ๋นพูดอย่างค้อน ๆ "บริษัทจะไปมีงานอะไรนักเล่า ฉันมาหาเธอเพราะว่ามีเรื่องสำคัญต้องให้เธอช่วยแนะนำหน่อย เธอรีบมาเร็ว ๆ เข้าสิ ไม่อย่างนั้นฉันจะเลิกเป็นเพื่อนกับเธอนะ" กู้หยุนหลานยิ้มแห้งแล้วพูดอย่างหมดหนทาง "ก็ได้ บอกมา
"โอ้โห อวิ๋นอวิ๋นของเรามีคนที่ชอบแล้วเหรอเนี่ย?" กู้หยุนหลานพูดหยอกเย้า สวีอวิ๋นอวิ๋นกุมหน้าผากของเธอและพูดอย่างหมดหนทาง "ที่บ้านแนะนำคนคนหนึ่งให้ฉันรู้จัก เขาเป็นคุณชายลูกเศรษฐี ฉันไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับเขาเลย ก็เลยอยากขอคำปรึกษากับเธอยังไงเล่า" "ลูกเศรษฐีงั้นเหรอ" กู้หยุนหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหล่าคุณชายลูกเศรษฐีเป็นพวกที่กู้หยุนหลานไม่ค่อยชอบนัก พวกลูกเศรษฐีทั้งหลายรอบตัวเธอต่างเป็นพวกเสแสร้ง แต่คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงนั้นมีเพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่ต่างเอาเงินของครอบครัวมาใช้ข้างนอกอย่างไร้ประโยชน์ทั้งนั้น สวีอวิ๋นอวิ๋นรู้ว่ากู้หยุนหลานมักจะมีอคติกับพวกลูกเศรษฐี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ปฏิเสธการตามจีบของคุณชายเศรษฐีที่ร่ำรวยมากมายแต่กลับมาอยู่กับหลี่โม่หรอก เมื่อมองไปยังหลี่โม่ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็รู้สึกว่าหลี่โม่ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ได้อยู่ในสายตาของกู้หยุนหลาน ไอ้กระจอกที่ไม่มีอะไรเลยได้แต่งงานกับผู้หญิงขาวรวยสวยแบบนี้ “ใช่ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เคยติดต่อกับพวกลูกเศรษฐีไม่น้อย แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรกับพวกเขาเลย แม้จะบอกว่าฉันเองก็อยากแต่งงานกับคุณชายเศร
"หยุนหลานอย่าลังเลเลย ฉันรู้ว่าเธอไม่ชอบงานเลี้ยงที่พวกลูกเศรษฐีจัดขึ้นมา แต่ฉันเองก็หมดหนทางแล้วเหมือนกัน ความสุขของฉันขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ เธอช่วยฉันตรวจสอบให้หน่อยน้าาา"สวีอวิ๋นอวิ๋นจับแขนของกู้หยุนหลานพร้อมทำท่าทางออดอ้อน กู้หยุนหลานพูดอย่างจนใจ "ก็ได้ ๆ ฉันไปก็ได้ แต่งานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์องุ่นฟังดูแล้วไม่ได้เป็นทางการนัก ฉันเดาว่าพวกลูกเศรษฐีนั่นจะต้องหาสาว ๆ สวย ๆ ไปร่วมงานไม่น้อยแน่" “มันก็เป็นธรรมเนียมทั่วไปอยู่แล้วนี่ สำหรับพวกคนรวยก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ หวังแค่ว่าเขาจะไม่ทำให้มันเกินไปเท่านั้น การแต่งเข้าตระกูลร่ำรวยก็ต้องแบกรับภาระนี้อยู่แล้ว” สวีอวิ๋นอวิ๋นเอ่ยอย่างขุ่นเคืองใจ บริกรเดินมาพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่นสามถ้วย ความไม่พอใจบนใบหน้าของสวีอวิ๋นอวิ๋นพลันถูกลบออกไปในพริบตา "มาเถอะ หยุนหลานเธอลองชิมดริปคอฟฟี่ของร้านเขาดูสิ มันยอดจริง ๆ นะ" บริกรรูปหล่อชำเลืองมองสวีอวิ๋นอวิ๋นและกู้หยุนหลานเล็กน้อย เมื่อเห็นความงามของทั้งสองคน ทันใดนั้นเขาก็นึกอยากจะตีสนิทด้วยขึ้นมา การเริ่มทักทายสาวสวยที่มาดื่มกาแฟ กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับบริกรสุดหล่อคนนี้ไปแล้ว ด้วยรูปร่
“คุณ คุณพูดเหลวไหล!” บริกรรูปหล่อลนลานเล็กน้อย “ผมยังพูดไม่จบ เมื่อครู่คุณบอกว่าให้ใช้เมล็ดกาแฟคั่วสดใหม่ในการชง นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง เมล็ดกาแฟคั่วใหม่จะต้องรอ Degas ก่อน ระยะเวลาห้าถึงสิบวันตามระดับการคั่ว กาแฟที่ชงด้วยเมล็ดกาแฟคั่วใหม่ ๆ มันไม่อร่อยหรอกครับ" “ส่วนที่คุณบรรยายถึงกลิ่นของกาแฟบลูเมาท์เทนเมื่อครู่นั้นผิดไปไกลเลยล่ะ เรื่องรายละเอียดผมไม่ขอแก้นะ ผมแค่อยากจะบอกว่า ถึงคุณอยากจะแกล้งอวดรู้ต่อหน้าสาว อย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นถ้าถูกคนแหย่เข้าหน่อยจะหน้าแตกเอาได้ง่าย ๆ นะครับ” บริกรรูปหล่อหน้าแดงก่ำ ก่อนหันหลังจากไปด้วยความโกรธ ส่วนสวีอวิ๋นอวิ๋นนั้นยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งกว่า เพียงแค่เห็นท่าทีโมโหเพราะความอับอายของบริกรรูปหล่อ สวีอวิ๋นอวิ๋นก็สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่หลี่โม่พูดนั้นเป็นความจริง แต่เมื่อนึกถึงการแสดงออกของตนเองเมื่อครู่นี้ สวีอวิ๋นอวิ๋นรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา "หยุนหลาน เอาเป็นว่าตกลงกันแล้วนะ วันมะรืนต้องไปงานเลี้ยงที่โรงกลั่นไวน์องุ่นด้วยกันนะ ฉันขอตัวก่อนล่ะ" สวีอวิ๋นอวิ๋นกำชับด้วยรอยยิ้มแห้ง หลังจากลุกเดินจากไปสีหน้าก็กลายเป็
สาวสวยที่จะส่งมอบให้กับคุณชายสามหลินต้องไม่ใช่พวกสาวสวยธรรมดา ๆ จะต้องเป็นดุจเทพธิดาลงมาเท่านั้น มาตรฐานที่สูงเช่นนี้ ทำให้สาวสวย80-90เปอร์เซ็นต์ต่างก็ไม่เข้าตาพี่หลงเลย “พี่หลง ครั้งนี้เชื่อถือได้หรือเปล่า จริง ๆ แล้วสาวสวยที่เจอสองครั้งที่แล้วก็ไม่เลวทั้งนั้น ทำไมพี่ถึงรู้สึกว่ายังไม่ได้ล่ะครับ?” ลูกน้องถามแกมบ่น เพื่อตามหาสาวสวยที่เหมาะสม พวกลูกน้องของพี่หลงเหล่านี้จึงต้องยุ่งไม่น้อย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายไม่เป็นที่น่าพอใจ พี่หลงพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง "แกยังอยากมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ อีกไหม ถ้ายังอยากอยู่ก็ตั้งใจทำงานว่าง่าย ๆ ไปซะ ถ้าไม่อยากอยู่แล้วฉันจะส่งแกไปโลกหน้าเดี๋ยวนี้เลย" ลูกน้องพลันตัวสั่นสะท้านและพลันตื่นตระหนกขึ้นมา "พี่หลงใจเย็น ๆ ผมแค่พูดไร้สาระไปเท่านั้นจริง ๆ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วครับ” “เฮอะ! ทุกคนเตรียมพร้อมแล้ว ข้างกายผู้หญิงคนนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งอยู่ ถ้าเขาขัดขวางก็ฆ่าได้ทันทีเลย” พี่หลงพูดอย่างเหี้ยมโหด ลูกน้องสองคนชักปืนออกมา หลังจากบรรจุกระสุนก็ปลดเซฟตี้ออกพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ ...... หลี่โม่กับกู้หยุนหลานลงลิฟต์มาถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออ
พี่หลงพาพวกลูกน้องสองคนสาวเท้าก้าวเดินไปอย่างแข็งแกร่งองอาจ ทุกครั้งที่เดินเช่นนี้ พี่หลงจะรู้สึกฮึกเหิมเป็นพิเศษ ราวกับว่าตนเองได้กลายเป็นเสี่ยวหม่าเกอในภาพยนตร์ ขณะที่พี่หลงกำลังเดินไปด้วยความรู้สึกฮึกเหิมนั้น เขาก็เห็นร่างสามร่างลอยละลิ่วผ่านหน้าไป เอ๊ะ ทั้งสามร่างนั้นดูคุ้น ๆ นะ ดูจากขนาดและเสื้อผ้าของทั้งสามคนแล้ว เหมือนว่าจะเป็นลูกน้องของตนนี่! ดวงตาของพี่หลงเบิกกว้างในทันที เขามองชายร่างกำยำสามคนที่กระแทกเข้ากับผนังและร่วงลงกับพื้นอย่างละเอียด ไม่ผิด เป็นลูกน้องของตนจริง ๆ ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันวะ ลูกน้องสามคนนี้เป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม กล้าสู้ได้แม้แต่คนหนึ่งต่อสิบ แล้วทำไมถึงได้ลอยมาด้วยกันแบบนี้ ยอดฝีมือ ต้องมียอดฝีมือแน่ ๆ ! พี่หลงตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว คนที่สามารถซัดลูกน้องที่แข็งแกร่งของตนลอยไปได้ จะต้องเป็นยอดฝีมือเท่านั้น พี่หลงดึงปืนพกออกจากหลังเอวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อยและคำรามเสียงต่ำ "ชักปืนออกมา กระจายกำลังเป็นรูปแบบสามเหลี่ยม!" ลูกน้องทั้งสองเองก็นับว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อพี่หลงเตือนสติ ทั้งสองก็ชักปืนออกมาแล้วและรีบ
หลี่โม่ยกปืนพกที่แย่งมา แล้วเหนี่ยวไกไปที่พี่หลงปัง ปัง ปังเสียงปืนดังสามนัด ลูกกระสุนเข้าที่ไหล่ทั้งสองข้างและขาขวาของพี่หลง แขนข้างที่ถือปืนอยู่ห้อยลง น้ำหนักของปืนดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นหนักพันปอนด์ ถือไว้ไม่ได้อีกเลยตุ้บปืนพกร่วงหล่นลงพื้น พี่หลงเองก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเช่นกัน ขาข้างที่ถูกยิงไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ จึงทำได้เพียงคุกเข่าลงแล้วถึงได้รู้สึกทนได้สักหน่อย“ยิงสิ ยิงสิโว้ย”พี่หลงตะคอกลูกน้องที่เหลืออยู่อย่างอ่อนแรงลูกน้องที่เหลือตกใจจนนิ่งอึ้งไปและมองหลี่โม่ราวกับเห็นผี“ทิ้งปืนซะ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก” หลี่โม่พูดเรียบ ๆลูกน้องลังเลเล็กน้อยแล้วทิ้งปืนลงพื้น จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างประคองไว้ตรงหัวพร้อมกับหมอบลงพื้น“พวกแกมันโง่ ฉันมีลูกน้องอย่างพวกแกได้ยังไงกัน แกจะทำให้ฉันตาย!” พี่หลงตะคอกออกมาด้วยความโกรธหลี่โม่โยนลูกน้องที่พี่หลงเอามาเป็นโล่ลงที่พื้น เดินไปตรงหน้าลูกน้องที่ยกมือทั้งสองข้างประคองไว้ตรงหัวพร้อมกับหมอบลงพื้น แล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ “บอกที่มาของพวกแกมา สี่คนนั้นก็เป็นคนของพวกแกสินะ จุดประสงค์ของพวกแกคืออะไร?”“พวกเรามาจากพระราชวัง คนคนนั้น