หลี่โม่ถามเรียบ ๆ “ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณต่อหน้า จากข้อมูลของทางผม ราชินีมังกรออกเดินทางแล้ว คาดว่าพรุ่งนี้เช้าน่าจะถึงกรุงโซล แต่ผมรู้สึกว่าเธอไม่น่าจะไปหาคุณทันที” ท่านปาพูดอย่างเคารพมาก ๆหลี่โม่ขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าราชินีมังกรจะมาล่วงหน้า“คุณคิดว่าเธอจะไปหาคุณก่อนเหรอ?”“แน่นอนครับ จางเต๋ออู่ไอ้บ้านั้นหนีกลับไปแล้ว ครั้งนี้มาพร้อมกับราชินีมังกร ผมคาดว่าเขาจะต้องพูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผม ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ว่าราชินีมังกรจะเรียกพบผมหรือเปล่า ผมก็ต้องไปพบเธอก่อน”ท่านปาเล่าสถานการณ์และบอกหลี่โม่ด้วย เลี่ยงการทำให้หลี่โม่เข้าใจผิดว่าตัวเองกับราชินีมังกรสมรู้ร่วมคิดกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วหลี่โม่ไม่ให้ยาแก้พิษกับตัวเองก็คงจบเห่แน่หลี่โม่เงียบไปครู่หนึ่ง ลูบคางแล้วพูด “ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่ามันค่อนข้างแปลก คุณบอกมาว่าทำไมราชินีมังกรต้องมาไกลขนาดนั้นเพื่อมาหาผมด้วย เธอน่าจะเกลียดผมจนอยากให้ตายไปเลยถึงจะถูก”“เอ่อ...”ท่านปาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างลึกลับ “ผมได้ยินข่าวลือมา แต่บอกก่อนนะว่ายังไม่ยืนยันว่าเป็นจริง ได้ยินข่าวลือมาว่าในมือของคุณมีกุญแจลับที่ไขคลังสมบัติของแดนมังก
ช่วงเช้าตรู่ กู้เจี้ยนกั๋วนั่งอยู่ที่นั่งหลักของห้องประชุมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายตากวาดมองผ่านกู้เจี้ยนเจียง กู้หยุนหลาน หลี่โม่ รวมทั้งคณะผู้บริหารของบริษัท "การก่อสร้างโรงงานใหม่ควรก้าวหน้าโดยเร็วที่สุด หยุนหลาน เธอคือผู้รับผิดชอบ เธอต้องเริ่มดำเนินงานก่อสร้างภายในสามวัน หากว่าทำได้ไม่ดีภายในสามวันล่ะก็ เธอก็ไปฝึกฝนมาตั้งแต่พื้นฐานซะ" กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างเย็นชา หลังจากกลับไปเมื่อคืนนี้ กู้เจี้ยนกั๋วสืบถามจากเส้นสายทุกช่องทาง ข่าวที่เขาได้รับคือ ที่ดินจะถูกตำรวจปิดล้อมเนื่องจากเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม กำหนดเวลาในการปิดล้อมก็ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของคดี เมื่อมีข่าวพวกนี้เป็นฐาน กู้เจี้ยนกั๋วจึงรู้สึกว่าตนสามารถข่มกู้หยุนหลานได้บ้าง แต่เขาไม่สามารถทำแค่ทนดูตำแหน่งในบริษัทของกู้หยุนหลานมั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ได้ ผู้บริหารหลายคนมองไปยังกู้เจี้ยนกั๋วด้วยความประหลาดใจและรู้สึกว่าความต้องการของกู้เจี้ยนกั๋วนั้นเป็นฝืนให้ทำในสิ่งที่ทำไม่ได้จริง ๆ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกว่าตนต้องพูดอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นหากกู้หยุนหลานทำไม่ได้ภายในสามวันให้ห
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน หัวหน้าจางผู้ที่ตนพยายามอย่างไรก็ยังตีสนิทด้วยไม่ได้เลย ทำไมพอเห็นหลี่โม่แล้วเข้าไปประจบเอาใจเสียได้! ลูกตาของกู้เจี้ยนเจียงและกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแทบกระเด็นออกมา ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหัวหน้าสายตรวจจางที่ว่ากันว่าเย็นชาไร้ความรู้สึกไม่สุงสิงกับใครมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมถึงมีท่าทีนอบน้อมกับหลี่โม่ได้ หลี่โม่รับเอกสารมาอ่านดูเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ลำบากคุณแล้วนะครับ เรื่องนี้จัดการได้ไม่เลวเลย" “ต่อไปหากคุณมีเรื่องอะไรขอแค่สั่งผมมาได้เลย ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้คุณพอใจครับ” หัวหน้าจางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "ได้ครับ ถ้ามีเรื่องอะไรผมจะไปหาคุณแน่นอน คุณไปทำงานต่อเถอะ” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ "ครับผม" หัวหน้าจางขานตอบสองสามคำ เมื่อเขายืดหลังตรงสีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าท่าทีถ่อมตัวเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตา กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ มองดูหัวหน้าจางจากไปอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หลี่โม่หยิบเอกสารมาตบลงบนโต๊ะดังปับ ๆ ทำให้กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ก็ได้สติกลับมา “เอกสารปลดการปิดล้อมพื้นที่อยู่นี่แล้ว พวกคุณยังมีใครสง
กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางขบฟันกรามอย่างแรง ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วพูดว่า "โอกาสมันก็มีอยู่หรอก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้" “พี่ใหญ่ โอกาสอะไรพี่ก็พูดมาเถอะ จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องลองดู” กู้เจี้ยนเจียงพูดอย่างกระตือรือร้น "กลุ่มธุรกิจจากหลงเฉิงกำลังจะมาสำรวจที่เมืองของเรา ว่ากันว่าในกลุ่มธุรกิจนั้นมีคุณชายสามหลินที่ทำธุรกิจด้านการค้าอาวุธอยู่ด้วย คุณชายสามหลินเป็นพวกชั่วร้ายอำมหิต แถมยังบ้ากามตัณหา ถ้าหากให้คุณชายสามหลินเจอกับกู้หยุนหลาน เป็นไปได้แปดในสิบเลยว่าคุณชายสามจะต้องหิ้วกู้หยุนหลานไปแน่ นายว่าเจ้าหลี่โม่มันจะมีปฏิกิริยายังไงล่ะ?" กู้เจี้ยนเจียงตาเป็นประกายและพูดด้วยรอยยิ้ม "นั่นยังต้องพูดถึงอีกเหรอ เขาต้องเดือดดาลอย่างแน่นอน จากนั้นก็ไปแก้แค้นคุณชายสามหลิน ถึงตอนนั้นเกรงว่าคนของคุณชายสามหลินอาจจะสามารถฆ่าหลี่โม่ตายได้" “ใช่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เรื่องมันก็จะเป็นไปตามนั้น ปัญหาคือจะทำให้พวกเขาเจอกับคุณชายสามหลินยังไง กำหนดการเดินทางของกลุ่มการค้าหลงเฉิงถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ส่วนรายชื่อผู้เข้าร่วมของฝั่งเราเองก็กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วด้วย ดังนั้นมันเลยเรื
รถหยุดอยู่ที่ทางเข้าอาคารหลัก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเปิดประตูรถและพูดอย่างเย็นชา "ขอเชิญท่านปาเข้ารับการตรวจด้วยครับ และเพื่อความปลอดภัยของราชินีมังกร ท่านปาจะสามารถเข้าไปได้คนเดียวเท่านั้น" ท่านปากางแขนทั้งสองออก ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นร่างกาย เขาแสร้งทำพูดอย่างไม่สนใจ "เข้าใจแล้ว ราชินีมังกรกำลังอารมณ์ดีอยู่ไหม?" “ผมไม่ทราบเรื่องนั้นหรอกครับ วันนี้ผมยังไม่ได้พบราชินีมังกรเลย” เจ้าหน้าที่องครักษ์ตอบท่านปาไปแบบส่ง ๆ ท่านปายิ้มอย่างช่วยไม่ได้และเดินตามองครักษ์เข้าไปในอาคารหลัก ภายในอาคารหลักมีคนยืนเฝ้าอยู่ทุก ๆ สามก้าวและตรวจค้นทุกห้าก้าว การป้องกันเข้มงวดมาก ท่านปาคาดว่ามาตรการป้องกันเหล่านี้คงมีไว้ให้ตนดู นี่คือการแสดงออกถึงความไม่พอใจของราชินีมังกรที่มีต่อตัวเขาและก็เป็นการข่มขวัญเขาด้วยเช่นกัน มาถึงหน้าประตูห้องรับแขกที่ปิดสนิท สาวใช้สองคนก็ผลักประตูห้องรับแขกให้เปิดออก ท่านปาโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วเอ่ยขึ้น "เสี่ยวปา แสดงความเคารพต่อราชินีมังกร" “เสี่ยวปามาแล้วเหรอ เข้ามาสิ” น้ำเสียงที่ออกจะเกียจคร้านของราชินีมังกรดังออกมา ท่านปาก้มหัวลง แล้วเ
ท่านปาไม่สนใจเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรีของตัวเองและยอมรับความผิดพลาดของเขาต่อราชินีมังกรอย่างนอบน้อม ราชินีมังกรค่อนข้างพอใจกับการแสดงออกของท่านปา เธอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจาง ๆ และพูดว่า "พอเถอะ อย่ามาแสดงละครกับฉันที่นี่เลย ฉันรู้ดีว่าในใจนายต้องการอะไร ตราบใดที่นายตั้งใจทำงาน ในอนาคตย่อมมีวันที่นายจะได้เชิดหน้าชูตา” มือของจางเต๋ออู่ที่กำลังนวดให้ราชินีมังกรชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะนวดต่อไป จางเต๋ออู่มีความสงสัยเกี่ยวกับความคิดของราชินีมังกรอยู่บ้าง รู้สึกว่าตอนนี้ควรจะเชือดไก่ให้ลิงดูเสียก่อน ใช้ชีวิตของท่านปามาสร้างอำนาจสิถึงจะถูก แต่จางเต๋อหวู่ก็เก็บงำความสงสัยเอาไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ ตอนนี้บทบาทของเขาเป็นเพียงทาสคนหนึ่งเท่านั้น ท่านปารู้สึกดีใจราวกับได้รับการอภัยโทษ รู้ว่าครั้งนี้คงนับว่าผ่านพ้นไปได้แล้ว "ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน ผมจะตั้งใจทำงานให้ดีและจะไม่มีปัญหาเช่นนี้อีกแน่ หากมีเรื่องอะไรผมจะต้องรายงานให้ท่านทราบล่วงหน้าแน่นอนครับ” “นายเป็นคนฉลาด ดังนั้นฉันจะไม่พูดอะไรที่ไม่จำเป็น ในเมื่อนายบอกว่าต้องการจะแฝงตัวอยู่ข้างกายหลี่โม่เพื่อหากุญแจลับ งั้นฉันก็จะเชื่อใจนาย ธุ
หลังจากราชินีมังกรพูดจบ ก็มองไปที่จางเต๋ออู่ด้วยสายตาลึกซึ้ง จางเต๋ออู่รีบก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด แล้วนวดขาราวหยกขาวนวลของราชินีมังกรต่อไป มุมปากของราชินีมังกรหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง สามารถควบคุมปั่นหัวพวกผู้ชายได้ง่ายดายแบบนี้ ทำให้ในใจของราชินีมังกรเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ 'มันจะดียิ่งกว่านี้หากได้กุญแจลับมา เมื่อเป็นเช่นนั้นแดนมังกรก็จะเป็นของฉัน!' ในสมัยโบราณมีอู่เจ๋อเทียนเป็นจักรพรรดินี ในตอนนี้ฉันราชินีมังกรผู้นี้จะปกครองแดนมังกรเอง! ...... รถของท่านปาขับออกจากคฤหาสน์จิงเฉิง ผู้ช่วยมองไปยังท่านปาที่สีหน้าซีดเซียว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ท่านปานึกถึงทุกรายละเอียดที่คุยกับราชินีมังกรเมื่อครู่นี้อย่างระมัดระวัง ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองประเมินราชินีมังกรต่ำไป ราชินีมังกรไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาอย่างแน่นอน! ในตอนนี้เมื่ออยู่คั่นกลางระหว่างหลี่โม่และราชินีมังกร ท่านปาก็รู้สึกเหมือนทั้งกายถูกบีบอัดจนทรมาน ท่านปานวดหน้าผากแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดหมายเลขของหลี่โม่ “นายน้อย ผมเองครับเสี่ยวปา ผมเพิ่งจะพบกับราชินีมังกรมา มีเรื่องบา
ตอนเที่ยง ทึ่เขตก่อสร้างโรงงานใหม่ หวังจงฉวนนำกำลังคนและอุปกรณ์เครื่องมือเข้ามาในพื้นที่เสียงดังโครมคราม และเริ่มเตรียมการสำหรับเริ่มงานก่อสร้าง เพื่อแสดงถึงความเอาจริงเอาจัง หวังจงฉวนถึงกับจัดเตรียมพิธีวางศิลาฤกษ์ขึ้นมาโดยเฉพาะ กู้เจี้ยนกั๋ว กู้เจี้ยนเจียง กู้หยุนหลานและหวังจงฉวนต่างถือพลั่วไว้คนละอัน อีกครู่หนึ่งแต่ละคนจะต้องพรวนดิน แค่สื่อความหมายถึงการเริ่มต้นการก่อสร้างก็ใช้ได้แล้ว “เวลาก็พอสมควรแล้วนะ เรามาเริ่มพิธีวางศิลาฤกษ์สักทีเถอะ” กู้เจี้ยนกั๋วพูดอย่างเริ่มหมดความอดทน ตอนนี้ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคุณงามความดีของกู้หยุนหลาน การมาร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์บ้าบอนี่ทำให้กู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกอับอายขายหน้าอยู่ตลอดเวลา หวังจงฉวนเหลือบมองกู้เจี้ยนกั๋ว เมื่อไม่เห็นหลี่โม่ปรากฏตัว หวังจงฉวนก็พูดอย่างไม่พอใจว่า "พิธีการใหญ่โตแบบนี้ ต้องให้หลี่โม่เข้าร่วมด้วยสิครับ" "นาย!" กู้เจี้ยนกั๋วจ้องเขม็งหวังจงฉวน เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ กู้เจี้ยนกั๋วจึงไม่ได้เกรี้ยวกราดมากนัก "หลี่โม่ไม่ใช่คนของบริษัท เขาไม่มีสถานะหรือคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์อะไรทั้งนั้น" หวังจงฉ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา