ชูจงเทียนโทรศัพท์อีกรอบ ถามพวกมาเฟียเจ้าถิ่นแต่ละพื้นที่ของกรุงโซล ในที่สุดก็ได้ข่าวมาเล็กน้อยแล้ว“พวกโจรจากต่างถิ่นที่ขับรถดัมพ์ฆ่าคนโดยเฉพาะเหรอ? รถดัมพ์? ไม่ดีแล้ว!”ชูจงเทียนกังวลใจ ถ้าเป็นพวกโจรอย่างที่ได้ข่าวมาจริง ๆ เกรงว่าหลังจากที่พวกมันรู้ว่าหลี่โม่จอดรถอยู่ข้างทางแล้วจะลงมือขับไปชนทันทีนั่นมันรถดัมพ์นะ! รถเก๋งถูกรถดัมพ์ชน ย่อมจะไม่รอดอยู่แล้วนึกถึงถ้าหากหลี่โม่ถูกรถชนตายในถิ่นของตัวเอง แค่คิดเหงื่อเย็น ๆ ที่หลังของชูจงเทียนก็ซึมออกมาแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้น เกรงว่าตนเองก็คงได้ตามไปกับหลี่โม่ด้วยแน่“ทุกคนรีบไปให้เร็ว! เร่งความเร็วให้เร็วที่สุดเลย เจอไฟแดงก็ฝ่าไป ถ้ามีรถขวางทางก็ชนมันให้กระเด็น!”ชูจงเทียนตัดสินใจแล้วว่าต่อให้จะเจออุปสรรคใหญ่แค่ไหน วันนี้ก็ต้องมีชีวิตรอดไปปกป้องหลี่โม่ให้ได้“ครับ ท่านเทียนอย่าได้กังวล พวกเราอยู่ใกล้ถนนปินเจียงมาก ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”ลูกน้องเห็นชูจงเทียนกังวลมาก จึงอดปลอบใจไว้ได้ชูจงเทียนไม่สนใจลูกน้อง เขาเหลือบมองรถรอบ ๆ คิดครู่หนึ่งแล้วพูด “บอกให้ทุกคนระวังรถดัมพ์ ขอแค่เห็นรถดัมพ์อยู่บนถนนก็ให้ทุกคนขวางมันให้หยุดไว้ให้ได้”“ท่านเท
“ครับ”ลูกน้องดำเนินการตามนั้น ส่งเลขทะเบียนของรถดัมพ์ทั้งสามคันไปในกลุ่ม แล้วให้ทุกคนคอยจับตาดูให้ดี......กู้หยุนหลานเห็นหลี่โม่ที่เบาะหลังดูไม่ดีมาก ๆ เธอลงจากรถแล้วไปเปิดประตูข้างหลัง เข้าไปนั่งในรถประคองหัวของหลี่โม่ไว้ให้หลี่โม่มาหนุนตักตัวเองค่อย ๆ เช็ดเหงื่อบนหน้าของหลี่โม่ มองสีหน้าที่ซีดเผือดนั้นแล้วกู้หยุนหลานก็รู้สึกปวดใจมาก“หลี่โม่ คุณเป็นยังไงบ้าง คุณอย่าเป็นอะไรไปเด็ดขาดเลยนะ ฉันกับซีซีขาดคุณไปไม่ได้”หลี่โม่ยื่นมือออกมา กู้หยุนหลานจึงรีบยื่นมือที่ขาวราวกับหยกของเธอออกไปจับมือหลี่โม่เอาไว้“อย่าขยับมาก คุณเป็นแบบนี้ก็นอนพักดี ๆ เถอะ ไม่งั้นให้ฉันโทรเรียกกู้ภัยดีกว่า ให้เขาเอารถพยาบาลมาที่นี่ บนรถมีแพทย์ฉุกเฉินอยู่”“ไม่ต้อง ฉันนอนแบบนี้อีกสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”หลี่โม่หลับตา หัวที่อยู่บนตักของกู้หยุนหลานขยับเล็กน้อยตอนนี้สภาพร่างกายของหลี่โม่จะว่าเป็นเบาก็ไม่เบา จะว่าเป็นหนักก็ไม่หนัก เพียงแค่เพราะดื่มเหล้ามากเกินไปเท่านั้นหลี่โม่พยายามให้ทำให้ร่างกายสร่างเมา เรื่องนี้ต้องการเวลาสักหน่อยแต่ทว่าตอนนี้กลับเป็นเวลาให้ศัตรูตัวฉกาจของหลี่โม่กู้หยุนหลานเม้มปาก
ชูจงเทียนจ้องรถดัมพ์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด จากนั้นก็พูดเสียงเย็นชา “สั่งการไป บอกให้รถข้างหลังเร่งความเร็วไปขวางไว้ ถ้าขวางไม่ได้ก็ให้ชนไปเลย! ถ้าชนคันเดียวไม่จอดก็ชนสองคัน!”“ครับ”ลูกน้องประกาศออกไปทันทีชูจงเทียนมองไปข้างหน้า เห็นรถของกู้หยุนหลานจอดอยู่ข้างทาง ส่วนรถดัมพ์ที่ขับอยู่ข้างหน้าสุดได้หักทิศทางแล้ว เพื่อจะชนกับรถของกู้หยุนหลานที่อยู่เลนตรงข้ามชูจงเทียนสบถคำหยาบ จากนั้นก็ตะโกนอย่างโกรธ ๆ “เร่งความเร็วเข้าไป! ขวางรถดัมพ์คันนั้นให้ได้!”“ฮะ?”คนขับรถอึ้ง ไม่เข้าใจว่าชูจงเทียนจะให้ตัวเองเข้าไปชน หรือว่าให้รถคันข้างหลังเข้าไปชน“ฮะบ้าอะไร! รีบเร่งความเร็ว เหยียบคันเร่งให้มิด!”ลูกตาของชูจงเทียนเป็นสีแดง ตะโกนกับคนขับอย่างบ้าคลั่ง“ท่านเทียนใจเย็นนะครับ ร่างกายของคุณเป็นเงินเป็นทอง จะมาทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้ยังไงกัน ให้รถคันข้างหลังเข้าไปขวางเถอะครับ”ลูกน้องพูดเตือนด้วยใบหน้าขมขื่น ถ้าชนรถดัมพ์ขึ้นมาจริง ๆ ด้านที่เขานั่งอยู่จะเป็นทิศทางที่ได้รับแรงกระแทกจากการชนรุนแรงที่สุด“ใจเย็นบ้าอะไร! ร่างกายฉันเป็นเงินเป็นทอง! แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหลี่ อย่าว่า
หลี่โม่ยื่นมือไปเปิดประตูรถ ออกแรงผลักกู้หยุนหลานออกไปข้างนอกอันตรายมาถึงตัวขนาดนี้แล้ว หลี่โม่จึงตั้งสติได้มาก แม้ว่าจะยังดูอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่ดูเจ็บป่วยแล้วกู้หยุนหลานรีบลงจากรถ หันกลับไปพยุงหลี่โม่ ช่วยหลี่โม่ลงจากรถภายในรถเบนซ์ คนขับกับลูกน้องมีเลือดออกที่หัวสลบไปแล้ว ชูจงเทียนรู้สึกว่าในหัวของเขามีเสียงวิ๊ง ๆ อยู่ รู้สึกว่าวิญญาณจะออกจากร่างไปแล้วเขาพยายามอดกลั้นความรู้สึกมึนหัวนี้ ชูจงเทียนหยิบมือถือที่ลูกน้องถือไว้แน่นออกมา เปิดการโทรด้วยเสียงแล้วตะโกน “ขวางรถดัมพ์ไว้ ต่อให้ตายก็ขวางเอาไว้!”“รับทราบครับท่านเทียน พวกเราจะขวางไว้ด้วยชีวิต”เห็นชูจงเทียนสู้ถึงขนาดนี้แล้วเหล่าลูกน้องก็ตาแดง แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมชูจงเทียนจะต้องเสียสละชีวิตขนาดนี้ แต่ในเมื่อเจ้านายทำตัวอย่างไว้แบบนั้น พวกลูกน้องก็ไม่มีอะไรต้องถาม แค่ทำตามเจ้านายไปเท่านั้นพวกลูกน้องที่เดิมทีสงสัยก็ไม่สงสัยแล้ว แต่ละคันต่างเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าไปชนกับรถดัมพ์ภายในรถดัมพ์หลังจากถูกชน ความเจ็บปวดทำให้โจรหน้านิ่วคิ้วขมวด โจรที่มึนงงอยู่พยายามจะขยับเท้า อยากจะเหยียบคันเร่งต่อ แต่ความเจ็บป
ปัง ปัง ปังเสียงปืนดังขึ้นรัว ๆ ลูกน้องของชูจงเทียนต่างร้องอย่างน่าสงสารแล้วล้มลงพื้นติด ๆ กัน หลี่โม่ดึงกู้หยุนหลานไปหลบหลังประตูรถเบนซ์ แล้วดึงประตูให้คุ้มกันกู้หยุนหลานมากที่สุดหลังจากพวกลูกน้องของชูจงเทียนทยอยหลบไปที่รถแล้ว ก็มองไปรอบ ๆ อย่างตกใจพวกลูกน้องเอามาแค่กระบองเท่านั้น ไม่มีทางสู้กับปืนได้เลย ตอนนี้ได้ยินเสียงปืนก็ต่างมึนงงกัน ไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไร“มีปืนได้ยังไงกัน นี่มันกล้าเกินไปแล้ว กลางวันแสก ๆ แบบนี้ ไม่สนใจกฎของราชาเลยหรือไง? พวกเราเป็นแก๊งกันอยู่ที่นี่ก็ใช้แค่กระบอกเท่านั้นเอง”“ล้มไปแล้วหกคน ทางนั้นก็ยิงไปแค่หกนัด ไอ้นี่มันนักแม่นปืนนี่ ต้าเหยี่ยนแกอย่าโผล่หัวออกไปเชียวนะ! ระวังจะถูกปืน…”ปัง!คนที่ชื่อต้าเหยี่ยนโผล่หัวออกไปมองข้างนอกแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นก็ถูกปืนยิงเข้าที่หัวระเบิดแล้วเห็นหัวของต้าเหยี่ยนกระจุยแบบนั้น คนอื่น ๆ ก็ตกใจจนตัวสั่น ชั่วพริบตาก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีหวังเสียแล้ว“หลบกันให้ดีนะ! อย่าได้โผล่หัวออกมา ทางนั้นมันต้องเป็นนักแม่นปืนแน่ ๆ ไม่ใช่คนที่พวกเราจะจัดการได้!”“รีบโทรแจ้งตำรวจเร็ว มีเรื่องอะไรให้โทรแจ้งตำรวจ!”พวกลูกน้อ
อารมณ์ของจางเต๋ออู่บ้าคลั่งราวกับคนป่วยจิตผู้คุ้มกันเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่แน่ใจเท่าไหร่ รู้สึกเหมือนว่าหน่วยลับเองก็จะมีปัญหาเข้าแล้ว“ผมจะไปสั่งการที่เกิดเหตุเอง” ผู้คุ้มกันก้มหน้าพูด“แก? พวกแกไปแล้วใครจะคุ้มกันฉัน!” จางเต๋ออู่ตะโกนอย่างโมโห“ผมคนเดียวครับ พวกเขาอีกสามคนยังอยู่”จางเต๋ออู่เงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าข้อเสนอของผู้คุ้มกันก็ไม่เลว ถ้าหน่วยลับมีปัญหาก็ยังมีผู้คุ้มกันที่คอยดูอยู่“ดี งั้นแกไป ทำอะไรให้มันเรียบร้อยนะ ถ้ายังติด ๆ ขัด ๆ แบบนี้ แกก็ไปสู้กับไอ้พวกบ้าที่ยุโรปเลย”ผู้คุ้มกันยิ้มขมขื่นและพูดอย่างจริงจัง “ผมจะพยายามเต็มที่ครับ”จางเต๋ออู่โบกมือ ผู้คุ้นกันจึงหันหลังออกจากห้องทำงานไป“หน่วยลับ กุ่ยอีครับผม”ผู้คุ้มกันออกจากห้องทำงานแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาติดต่อหน่วยลับ“ผมคือหน่วยลับ เชิญกุ่ยอีเข้ามา”“ผมมารับช่วงต่ออำนาจสั่งการของพวกคุณ ตอนนี้เชื่อมต่อโดรนให้พวกคุณเรียบร้อย เป้าหมายอยู่ตรงรถเบนซ์ที่อยู่จุดกึ่งกลาง รอบนอกยังมีอันธพาลเจ้าถิ่นของกรุงโซลอีกเกือบร้อย ตอนนี้เจาะยางรถในที่เกิดเหตุได้เลย ป้องกันไม่ให้พวกมันขับรถฝ่าทะลุวงออกมา“รับทราบ”หล
หัวหน้าหน่วยลับมองลูกทีมที่อยู่ไม่ไกลล้มลงไปสองคนก็ประหลาดใจเล็กน้อย“หลบให้ดี อีกฝ่ายมีนักแม่นปืน ทีมหนึ่ง ทีมสองเตรียมโจมตี!”“ทีมหนึ่งเตรียมพร้อม”“ทีมสองเตรียมพร้อม”ในหนึ่งหน่วยลับมีสิบสองคน ในนั้นจะแบ่งออกเป็นสี่ทีมต่อสู้เล็กทีมละสามคนทีมหนึ่งกับทีมสองกำลังเผชิญหน้าอยู่ตรงตำแหน่งของหลี่โม่ อีกทั้งสองทีมเล็กทำมุมเก้าสิบองศาด้วย ซึ่งเป็นมุมปิดล้อมที่ดีที่สุดพอดี“ไป!”ตึง ตึง ตึงเสียงฝีเท้ารัว ๆ ดังขึ้น ทั้งสองทีมพุ่งตรงไปยังทางที่หลี่โม่เพิ่งยิงไปเมื่อกี้หลี่โม่หลับตาเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า มือขวายกขึ้นอีกครั้งแล้วยิงไปในทิศทางนั้นทันทีปัง ปัง ปัง!“โอ๊ย!”เสียงร้องน่าสงสารดังขึ้นทีมเล็กทีมแรกมีสามคน มีสองคนถูกหลี่โม่ยิงหัวโดยไม่ได้มองตอนยิง ส่วนอีกคนหลบได้ กระสุนเฉียดไปทางใบหู โดนหูไปครึ่งหนึ่งคนที่กลายเป็นมีใบหูครึ่งหนึ่งนั้น ยกปืนขึ้นมากราดยิงไปที่ตำแหน่งของหลี่โม่ กระสุนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วทำลายกระจกรถตู้ทั้งหมดไปหัวหน้าทีมเล็กทีมที่สองทำสัญญาณมือให้รีบไปข้างหน้า เตรียมตัวจะพุ่งเข้าไปต่อสู้กับหลี่โม่ในระยะประชิดพวกอันธพาลตกใจเสียงปืนจนกุมหัวหมอบลงไปหลังร
ผู้คุ้มกันที่กำลังรีบขับรถมา ได้ยินรายงานของหัวหน้าหน่วยลับแล้วก็เริ่มมีจิตสังหารเกิดขึ้นแล้ว“พวกคุณจะอยู่ให้มันเป็นขยะไปเฉย ๆ หรือไง!”“พวกเราพยายามเต็มที่แล้ว แต่อีกฝ่ายเก่งเกินไป”“กราดยิงไปซะ ใช้อาวุธหนักแล้วฆ่ามันไปเลย!”ผู้คุ้มกันพูดอย่างโกรธแค้นหัวหน้าหน่วยลับอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันพูด “ครับ!” “เตรียมระเบิดให้พร้อม แล้วโจมตีเข้าไป”หัวหน้าหน่วยลับรับคำสั่งอย่างเย็นชาหน่วยลับเอาปืนยิงระเบิดออกจากระเป๋าอาวุธแล้วเอามาติดตั้งที่ปืน เตรียมพร้อมที่จะยิงระเบิดโจมตีหลี่โม่พุ่งตัวออกมาอย่างเร็วราวกับวิญญาณ ในตอนที่หน่อวยลับออกมาจากที่ซ่อน เตรียมจะยิงระเบิดโจมตี ปากกระบอกปืนของหลี่โม่ก็เล็งไปที่พวกเขาแล้ว“ศัตรูโจมตี! ยิงสิ รีบยิงเร็วเข้า! ”หางตาของหน่วยลับกระตุก ตะโกนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งนิ้วของหน่วยลับหลบออกมาจากปืนยิงระเบิดแล้ว แต่ตอนที่กำลังจะกลับไปลั่นไกปืนนั้น หลี่โม่ก็ลั่นไกปืนมารัว ๆ แล้วปัง ปัง ปังเสียงปืนดังรัว จากนั้นสมาชิกหน่วยลับที่เหลืออยู่สี่คนก็ค่อย ๆ ล้มลงหลี่โม่ไม่ได้ไปดูร่างของหน่วยลับที่ตาย กลับหันไปมองท้องฟ้าโดรนลำหนึ่งบินอยู่กลางอากาศ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา