หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย “เรื่องนั้นคงจะไม่ได้ ผมเองก็ยังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับท่านปามาเหมือนกัน ในการวางแผนพรุ่งนี้ถึงจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมา” ฉินจี้เย่กังวลว่าหลี่โม่จะกลับคำจึงอธิบายขึ้นมาอีกว่า “ผมแค่รับผิดชอบในการติดต่อกำลังคนเท่านั้น ไม่ได้รับหน้าที่เรื่องการสั่งการเคลื่อนไหว แต่มีบุคคลลึกลับคนหนึ่งมาเป็นคนสั่งการ ว่ากันว่าเขาเคยเป็นราชาทหาร หลังจากเกษียณเขาก็ได้ตั้งทีมทหารรับจ้างขึ้นมา ในวันพรุ่งนี้ทีมทหารรับจ้างจะเป็นคนจัดการเรื่องการโจมตีหลัก คุณกับพวกนักฆ่าเหล่านั้นแค่รับหน้าที่คอยสนับสนุนเท่านั้น” “ราชาทหารงั้นเหรอ? สมัยนี้มีราชาทหารไม่น้อยเลย แทบจะเป็นคำขนานนามที่มาตรฐานต่ำไปแล้ว” หลี่โม่ส่ายหัวพลางเอ่ยขึ้น ราชาทหาร จอมทัพอะไรพวกนั้น ตำนวนเล่าขานต่าง ๆ นานาเต็มไปหมด ตอนนี้ไม่ว่าในกองทัพไหน ถ้าไม่มีคนที่ได้ฉายาว่าราชาทหารสักคนสองคนก็คงจะอายจนไม่กล้าออกมาทักทายใครแล้ว ในมุมมองของหลี่โม่ ราชาทหารในปัจจุบันนี้ก็เป็นเพียงผู้ที่แข็งแกร่งในกองทัพเท่านั้น ความจริงจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ว่ากันว่าคนผู้นี้ฝีมือไม่ได้ต่ำชั้นเลย เขาเคยผ่านสนามรบมาจริง ๆ ต่อ
หลี่โม่กลับมาถึงบ้าน กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางตื่นขึ้นมาจากการหมดสติแล้ว กู้หยุนหลานได้ทำอาหารเย็นเอาไว้และทั้งสามคนก็กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สีหน้าของกู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางยังนับว่าปกติดี หลี่โม่เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกวางใจได้อย่างสมบูรณ์ หวังฟางมองหลี่โม่อย่างไม่ค่อยพอใจ “แกไปไหนมาอีกแล้ว? แกบอกว่าตัวเองเป็นกุ๊ยไม่มีงานทำไม่ใช่หรือไง แล้วแกไปทำอะไรอยู่ได้ทั้งวัน” “มีธุระต้องออกไปทำนิดหน่อยน่ะครับ” หลี่โม่อธิบายอย่างสบาย ๆ สายตาของเขามองไปทางกู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกหลี่โม่ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว “แกจะไปมีธุรงธุระอะไรได้ กลัวจะออกไปเที่ยวเล่นไปวัน ๆ สิไม่ว่า วัน ๆ หยุนหลานยุ่งแค่ไหนรู้บ้างไหม ไม่รู้จักแบ่งเบาให้หยุนหลานเสียบ้างเลย” “แม่คะ อย่าว่าหลี่โม่เลย หลี่โม่เขาออกไปช่วยทำธุระให้หนูน่ะค่ะ อย่าไปดุเขาเลย” หวังฟางค้อนมองกู้หยุนหลานเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก กู้หยุนหลานทานกับข้าวสองอย่างด้วยความเร่งรีบสองสามคำ แล้วตามหลี่โม่กลับไปที่ห้อง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม วันนี้ฉันเป็นห่วงแทบตายอยู่แล้ว” กู้หยุนหลานกอดหลี่โม่และซบหน้าผากล
“ได้เข็มขัดทองด้วยจริง ๆ เหรอ?” “จริงแน่นอนอยู่แล้วสิครับ ผมมีรูปอยู่นะ แล้วก็มีวิดีโอของเขาตอนไปแข่งที่ต่างประเทศด้วย ลองดูสิครับ” กู้ซิ่งเหว่ยเปิดภาพให้กู้เจี้ยนกั๋วดู จากนั้นก็เปิดเล่นวิดีโอให้ดูอีกที เมื่อเห็นฉากต่อสู้อันดุเดือดรวมทั้งฉากน็อกเอาท์คู่ต่อสู้ในตอนสุดท้าย เลือดของกู้เจี้ยนกั๋วก็เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย “ดูไม่เลวเลยจริง ๆ งั้นก็ลองจ้างมาดู คืนนี้กู้หยุนหลานทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัท ส่วนไอ้หลี่โม่เองก็คงจะอยู่เป็นเพื่อนด้วย เป็นโอกาสที่ดีเลย” “จ้างมาน่ะก็ได้อยู่หรอก แต่เงินที่ต้องใช้มันเยอะไปหน่อย หนึ่งล้านเลยนะครับ” กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตบโต๊ะและพูดว่า “เอาสิ ขอแค่สามารถสั่งสอนไอ้ขยะหลี่โม่นั่นได้ หนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน" กู้ซิ่งเหว่ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและเริ่มทำการติดต่อไปทันที หลังจากนั้นไม่นานกู้ซิ่งเหว่ยก็วางโทรศัพท์ลงและพูดว่า “พ่อ ผมจะไปเจอกับเขานะ อธิบายสถานการณ์สักหน่อย คืนนี้รอดูการแสดงสนุก ๆ ได้เลย” “รีบไปสิ ฉันจะรอข่าวดี” กู้ซิ่งเหว่ยรีบออกไปอย่างกระตือรือร้นแล้วขับรถไปที่ค่ายมวยที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเข้ามาในค่ายม
กู้ซิ่งเหว่ยเดินเข้าไปในอาคารบริษัทพร้อมกับพี่ซานและนักมวยลูกน้องของเขาอย่างว่องไว “พี่ชาน เดี๋ยวจบงานแล้วผมเลี้ยงมื้อดึกเอง พวกเรามาสนุกไปกับซีฟู้ดบาร์บีคิวกันเถอะ" กู้ซิ่งเหว่ยกล่าวอย่างตื่นเต้น ตราบใดที่สามารถจัดการหลี่โม่และบดขยี้ไอ้ไร้ประโยชน์นั่นลงกับพื้นได้ ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะดื่มฉลองกันทั้งคืน เพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจในช่วงนี้ออกมาให้เต็มที่ หลังจากถูกบีบให้พ่ายแพ้อยู่ในกำมือของหลี่โม่มาหลายต่อหลายครั้ง ก็ทำให้กู้ซิ่งเหว่ยรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างมาก จนแม้ในฝันก็ยังฝันว่าได้เหยียบหลี่โม่ไว้ใต้เท้า “ได้เลย นายสบายใจได้ ฉันจะอัดมันจนลุกขึ้นมาไม่ได้อีกแน่นอน ฉันจะทำให้มันเดินไม่ได้อีก ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเหมือนซากหมาตายไปเลย” พี่ซานเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามต่อหลี่โม่ คิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงเป็นแค่ไอ้กุ๊ยที่พอจะต่อสู้ได้ และอย่างดีที่สุดก็เป็นคนที่เคยฝึกวิชามาท่าดีทีเหลวเท่านั้น กู้ซิ่งเหว่ยพาพี่ซานและพรรคพวกมาถึงประตูห้องทำงานของกู้หยุนหลาน แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่ซาน ที่นี่แหละครับ ผมไม่ขอออกหน้า ขอรออยู่ข้าง ๆ ก่อนนะครับ” หลังจากพูดจบกู้ซิ่งเหว่ยก็แอบอยู่ที่ห
“อ๊าก!” นักมวยร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ถูกต่อยจนล้มหงายหลังลงไปกับพื้น เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของนักมวยที่ล้มลงไปแล้ว คนที่เหลือก็ใจสั่นสะท้าน รู้ว่าคราวนี้คงเจอตอเข้าอย่างจัง จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด “เจ้าหมอนี่ลงมือโหดเหี้ยมมาก ทุกคนระวังตัวด้วย” นักมวยคนหนึ่งตะโกนขึ้น ฝีเท้าของเขาเริ่มถอยร่นไปข้างหลัง มือทั้งสองข้างตั้งท่าป้องกันไว้ข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ข้าง ๆ นั้นมีนักมวยอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง หลังจากส่งเสียงตะโกนแล้วจึงพุ่งเข้าหาหลี่โม่จากนั้นหมุนตัวตวัดเท้าถีบไปที่ลำคอของหลี่โม่ ด้วยความเร็วสูงและพละกำลังมหาศาล ลูกเตะนี้จึงทำให้เกิดเสียงระเบิดราวกับหวดแส้ขึ้นในอากาศ เปรี้ยง! หลี่โม่ยกมือขวาขึ้นสกัดลูกเตะทะยานมา จากนั้นจึงพลิกฝ่ามือเป็นอุ้งมือและจับน่องที่นักมวยเตะมาเอาไว้แน่น นักมวยพลันตกใจ เขาพยายามดึงขากลับอย่างสุดแรง ทว่ามันก็สายเกินไปเสียแล้ว หลี่โม่ออกแรงที่ข้อมือ จับน่องของนักมวยและเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศราวกับไม้สวิงแล้วเหวี่ยงร่างของนักมวยคนนั้นใส่นักมวยคนอื่น ๆ นักมวยที่เหลือเห็นดังนั้นก็ต่างขวัญหนีดีฝ่อและเปลี่ยนมุมมองของพวกเขาที่มีต่อหลี่โม่ไปโดยสิ้นเชิง
กู้ซิ่งเหว่ยที่อยู่ในห้องทำงานข้าง ๆ ได้ยินเสียงข้างนอกฟังดูผิดปกติจึงแอบโผล่หัวออกไปดู เห็นกลุ่มนักมวยยืนอย่างกระอักกระอ่วนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของกู้หยุนหลานก็พลันตกอยู่ในความงงงัน นักมวยอาชีพพวกนี้เองก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกันเหรอ? แต่ละคนแพ้ให้กับหลี่โม่เสียแล้วเหรอ? ยังดีที่พี่ซานไม่ได้ออกมาด้วย บางทีพี่ซานอาจจะสามารถจัดการเจ้าหลี่โม่ได้ก็ได้ เขาเป็นถึงยอดฝีมือที่จ้างมาเป็นล้านเชียวนะ หวังว่าจะใช้การได้บ้างแหละ กู้ซิ่งเหว่ยกำลังภาวนาอยู่ในใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงคำรามของพี่ซาน เขาก็อยากจะเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า กู้ซิ่งเหว่ยแอบย่องออกจากห้องทำงาน เขายืนอยู่ข้างหลังนักมวยร่างกำยำแล้วยื่นหัวมองเข้าไปในห้องทำงานของกู้หยุนหลาน พี่ซานชกหมัดซ้ายไปที่แก้มของหลี่โม่ หลี่โม่เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง กู้ซิ่งเหว่ยกำมือทั้งสองข้างแน่น ในใจอดรู้สึกเสียดายแทนพี่ซานไม่ได้ ถ้าหมัดเมื่อครู่ต่อยโดนหลี่โม่ น่ากลัวว่าสมองสุนัขของหลี่โม่คงถูกซัดกระเด็นออกมาแน่ แต่การโจมตีต่อเนื่องอย่างรวดเร็วของพี่ซานสร้างความมั่นใจให้กู้ซ
ตึงเครียด เสียใจ และหวาดกลัว ดวงตาของกู้ซิ่งเหว่ยเกิดน้ำตารื้นขึ้นมา ถ้ารู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้กู้ซิ่งเหว่ยจะไม่มีทางไปหาพี่ซานแน่ แต่ในตอนนี้ไม่มีคำว่าถ้าอีกแล้ว พี่ซานมองหลี่โม่ด้วยดวงตาแดงก่ำ ในใจไร้ซึ่งความคิดที่จะต่อต้านแม้แต่น้อย พี่ซานที่เคยเจอกับผู้แข็งแกร่งมาแล้วจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า หากเผชิญหน้ากับผู้ไม่อาจเอาชนะได้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีหนทางเดียวคือความตายเท่านั้น “คุณเก่งกาจมาก ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณเลย ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วยเถอะครับ” พี่ซานก้มหัวลงและเอ่ยขึ้น พวกนักมวยต่างมองดูพี่ซานด้วยความตื่นตะลึง พี่ซานผู้ซึ่งเคยแข็งแกร่งอย่างไม่มีผู้ใดเทียมถึงกับยอมก้มหัวทั้งยังร้องขอชีวิต ทั้งหมดนี้ดูน่าอัศจรรย์มาก หลี่โม่ชี้ไปทางกู้ซิ่งเหว่ยที่อยู่ข้างนอก “เขาเป็นคนพานายมาที่นี่เหรอ?" “ใช่ครับ ไอ้ลูกหมานั่นแหละ” พี่ซานมองไปยังกู้ซิ่งเหว่ยด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว พี่ซานผู้ไม่กล้ามีความขุ่นเคืองต่อหลี่โม่แม้แต่น้อย เขาจึงเอาความโกรธทั้งหมดไปลงที่กู้ซิงเว่ย “นายน่าจะรู้นะว่าต้องทำยังไง” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย “วางใจได้ ผมจะอัดไอ้ลูกหมานี
กู้ซิ่งเหว่ยถูกมัดมือทั้งสองข้างเอาไว้บนสังเวียน กลุ่มนักมวยล้อมรอบกู้ซิ่งเหว่ยเอาไว้ด้วยรอยยิ้มหยัน “พวกแก พวกแกจะทำอะไร อย่าทำร้ายฉันนะ ฉันไม่ทนมือทนเท้านักหรอก ปล่อยฉันไปเถอะ?” “ปล่อยแกน่ะเหรอ? ฝันไปเถอะ! แกเป็นคนที่คู่อริของฉันส่งมาเพื่อวางกับดักฉันโดยเฉพาะเลยใช่ไหม! มือของฉันมันเดี้ยงไปแล้ว การแข่งรอบต่อไปก็คงไม่สามารถเอาชนะได้อีกแล้ว!” พี่ซานเตะเก้าอี้อย่างรุนแรง เก้าอี้ไม้เนื้อแข็งก็แหลกเป็นเสี่ยง ๆ ทันใด เมื่อมองดูพี่ซานที่กำลังเดือดดาล วิญญาณของกู้ซิ่งเหว่ยก็แทบจะหลุดลอยไป “ไม่ใช่ ไม่ใช่นะครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่อริของคุณคือใคร ผมแค่ต้องการให้คุณช่วยจัดการไอ้คนไร้ประโยชน์หลี่โม่นั่นเท่านั้นเอง” "ถ้าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ แกก็คงเป็นขยะเปียกที่ไร้ประโยชน์ยิ่งกว่าเป็นหมื่นเท่า คนที่ฉันไม่สามารถเอาชนะได้ จะเป็นคนไร้ประโยชน์ได้ยังไง! อัดมันให้น่วม อัดจนกว่ามันจะกระอักเลือดออกมา” พี่ซานออกคำสั่ง เหล่านักมวยพลันหยิบกระสอบป่านหนา ๆ มาห่อบนร่างของกู้ซิ่งเหว่ยเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มชกไปบนร่างกายท่อนบนของกู้ซิ่งเหว่ย ราวกับกำลังชกกระสอบทราย ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ เสียงของกำปั้