“ฉันมองเห็นยมโลกแล้ว ฉันไม่อยากตาย ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว” เสี่ยวหวู่พูดด้วยเสียงแหบพร่า รู้สึกตึงเครียดถึงขีดสุด “รู้สึกถึงลมหายใจแห่งความตายแล้วงั้นเหรอ?” หลี่โม่ถามด้วยรอยยิ้มบาง เสี่ยวหวู่มองรอยยิ้มของหลี่โม่ด้วยความงุนงง รู้สึกว่าหลี่โม่น่าพรั่นพรึงราวกับราชาปีศาจแห่งขุมนรก เสี่ยวหวู่สั่นงกไปทั้งร่างด้วยความตึงเครียด กล้ามเนื้อหูรูดไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ปัสสาวะไหลลงมาอาบขาทั้งสองข้างของเสี่ยวหวู่เป็นสาย “ระ-รู้สึกแล้ว ฉันรู้สึกถึงลมหายใจแห่งความตายแล้ว” เสี่ยวหวู่พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ หลี่โม่เหวี่ยงเสี่ยวหวู่ไปข้างรถ แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน "เห็นสภาพนายแบบนี้แล้ว ถ้าไม่มีปัญญาก็อย่ามาทำจองหอง” “ฉันผิดไปแล้ว ไม่กล้าแล้ว ต่อไปฉันไม่กล้าอวดดีอีกแล้ว” เสี่ยวหวู่ยกมือซ้ายกุมลำคอ นอนขดตัวอยู่กับพื้นแล้วพูดออกมา เหล่าฮู๋ยิ้มอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสภาพของเสี่ยวหวู่ที่นอนอยู่ข้างรถ แต่เหล่าฮู๋ก็จินตนาการออก หลี่โม่เตะเสี่ยวหวู่ “อย่ามัวเสียเวลา รีบไปขับรถสิ” “มือของฉัน มือขวาของฉันหักไปแล้ว ฉันขับรถไม
รอแล้วรอเล่า ฉินจี้เย่รอจนรู้สึกกระวนกระวาย แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ในสถานการณ์แบบนี้จะร้อนรนไม่ได้ เขาต้องวางท่าทางให้สุขุมเข้าไว้ ฉินจี้เย่นึกถึงความสงบนิ่งในสมรภูมิแห่งแม่น้ำเฝยของเซี่ยจิ้นและพยายามสงบความกระวนกระวายภายในใจ ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลี่โม่หิ้วเหล่าฮู๋เดินตามเสี่ยวหวู่เข้ามาในโรงงานร้าง เสี่ยวหวู่ก้มหน้าลง มือซ้ายกุมข้อมือขวาเอาไว้ และเดินไปยังเบื้องหน้าฉินจี้เย่ด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ทำไมแกถึงไม่รับโทรศัพท์วะ” บอดี้การ์ดตะโกนใส่เสี่ยวหวู่ “ผม ผมไปล่วงเกินคุณหลี่ ก็เลยถูกคุณหลี่สั่งสอนเล็กน้อย มือขวาของผมหัก ผมขับรถด้วยมือซ้ายมา ผมขับช้ามาก แล้วก็รับโทรศัพท์ไม่ได้ด้วยครับ” เมื่อเสี่ยวหวู่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ฉินจี้เย่และบอดี้การ์ดที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ ไอ้หมอนี่มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่า? ให้คนที่มือขวาหักขับรถเนี่ยนะ ช่างกล้าหาญอะไรขนาดนั้น! หลี่โม่โยนเหล่าฮู๋ไปแทบเท้าฉินจี้เย่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบาง “ลูกน้องของคุณไม่รู้จักธรรมเนียมเอาซะเลย ผมเลยช่วยอบรมสั่งสอนพวกเขาให้น่ะ” “แกเป็นใครไม่ทราบ ค
การรักษาความลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลี่โม่เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฉินจี้เย่ทำเหมือนลึกลับเสียขนาดนั้น ยิ่งทำให้หลี่โม่อยากรู้ว่าธุรกิจใหญ่ที่ว่านั่นคืออะไร “จะดีที่สุดถ้าคุณเก็บเป็นความลับได้ แต่ถึงคุณจะเก็บเป็นความลับไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคงจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่คุณพูดหรอก” ฉินจี้เย่นั่งตัวตรง สีหน้าดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย “คุณรู้จักแดนมังกรไหม?” หลี่โม่อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ผมเคยได้ยินตำนานมาบ้าง เหมือนว่าประตูมังกรจะมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่อย่างไม่มีใครเทียมเลยทีเดียว” “มันเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น เบื้องหลังตระกูลฉินของเราก็พึ่งพิงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มากอยู่เช่นกัน แต่ผมจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้กับคุณมากนัก” ฉินจี้เย่ไม่ได้อธิบายถึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลของตน แต่เว้นให้หลี่โม่จินตนาการเอาเอง นี่เป็นทักษะการพูดที่ฉินจี้เย่มักจะใช้บ่อย ๆ เหลือพื้นที่ให้จินตนาการถึง ปล่อยให้คนอื่นคิดตามคำพูดกันไปเอง และผลสุดท้ายที่ได้นั้นมักจะดีกว่าการบอกอีกฝ่ายไปตรง ๆ เสียอีก มุมปากของหลี่โม่หยักยิ้มเล็
หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย “เรื่องนั้นคงจะไม่ได้ ผมเองก็ยังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับท่านปามาเหมือนกัน ในการวางแผนพรุ่งนี้ถึงจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมา” ฉินจี้เย่กังวลว่าหลี่โม่จะกลับคำจึงอธิบายขึ้นมาอีกว่า “ผมแค่รับผิดชอบในการติดต่อกำลังคนเท่านั้น ไม่ได้รับหน้าที่เรื่องการสั่งการเคลื่อนไหว แต่มีบุคคลลึกลับคนหนึ่งมาเป็นคนสั่งการ ว่ากันว่าเขาเคยเป็นราชาทหาร หลังจากเกษียณเขาก็ได้ตั้งทีมทหารรับจ้างขึ้นมา ในวันพรุ่งนี้ทีมทหารรับจ้างจะเป็นคนจัดการเรื่องการโจมตีหลัก คุณกับพวกนักฆ่าเหล่านั้นแค่รับหน้าที่คอยสนับสนุนเท่านั้น” “ราชาทหารงั้นเหรอ? สมัยนี้มีราชาทหารไม่น้อยเลย แทบจะเป็นคำขนานนามที่มาตรฐานต่ำไปแล้ว” หลี่โม่ส่ายหัวพลางเอ่ยขึ้น ราชาทหาร จอมทัพอะไรพวกนั้น ตำนวนเล่าขานต่าง ๆ นานาเต็มไปหมด ตอนนี้ไม่ว่าในกองทัพไหน ถ้าไม่มีคนที่ได้ฉายาว่าราชาทหารสักคนสองคนก็คงจะอายจนไม่กล้าออกมาทักทายใครแล้ว ในมุมมองของหลี่โม่ ราชาทหารในปัจจุบันนี้ก็เป็นเพียงผู้ที่แข็งแกร่งในกองทัพเท่านั้น ความจริงจะเก่งกาจเพียงใดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ว่ากันว่าคนผู้นี้ฝีมือไม่ได้ต่ำชั้นเลย เขาเคยผ่านสนามรบมาจริง ๆ ต่อ
หลี่โม่กลับมาถึงบ้าน กู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางตื่นขึ้นมาจากการหมดสติแล้ว กู้หยุนหลานได้ทำอาหารเย็นเอาไว้และทั้งสามคนก็กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร สีหน้าของกู้เจี้ยนหมินกับหวังฟางยังนับว่าปกติดี หลี่โม่เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกวางใจได้อย่างสมบูรณ์ หวังฟางมองหลี่โม่อย่างไม่ค่อยพอใจ “แกไปไหนมาอีกแล้ว? แกบอกว่าตัวเองเป็นกุ๊ยไม่มีงานทำไม่ใช่หรือไง แล้วแกไปทำอะไรอยู่ได้ทั้งวัน” “มีธุระต้องออกไปทำนิดหน่อยน่ะครับ” หลี่โม่อธิบายอย่างสบาย ๆ สายตาของเขามองไปทางกู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานพยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกหลี่โม่ว่าไม่เป็นอะไรแล้ว “แกจะไปมีธุรงธุระอะไรได้ กลัวจะออกไปเที่ยวเล่นไปวัน ๆ สิไม่ว่า วัน ๆ หยุนหลานยุ่งแค่ไหนรู้บ้างไหม ไม่รู้จักแบ่งเบาให้หยุนหลานเสียบ้างเลย” “แม่คะ อย่าว่าหลี่โม่เลย หลี่โม่เขาออกไปช่วยทำธุระให้หนูน่ะค่ะ อย่าไปดุเขาเลย” หวังฟางค้อนมองกู้หยุนหลานเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก กู้หยุนหลานทานกับข้าวสองอย่างด้วยความเร่งรีบสองสามคำ แล้วตามหลี่โม่กลับไปที่ห้อง “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม วันนี้ฉันเป็นห่วงแทบตายอยู่แล้ว” กู้หยุนหลานกอดหลี่โม่และซบหน้าผากล
“ได้เข็มขัดทองด้วยจริง ๆ เหรอ?” “จริงแน่นอนอยู่แล้วสิครับ ผมมีรูปอยู่นะ แล้วก็มีวิดีโอของเขาตอนไปแข่งที่ต่างประเทศด้วย ลองดูสิครับ” กู้ซิ่งเหว่ยเปิดภาพให้กู้เจี้ยนกั๋วดู จากนั้นก็เปิดเล่นวิดีโอให้ดูอีกที เมื่อเห็นฉากต่อสู้อันดุเดือดรวมทั้งฉากน็อกเอาท์คู่ต่อสู้ในตอนสุดท้าย เลือดของกู้เจี้ยนกั๋วก็เดือดพล่านไปทั่วร่างกาย “ดูไม่เลวเลยจริง ๆ งั้นก็ลองจ้างมาดู คืนนี้กู้หยุนหลานทำงานล่วงเวลาอยู่ที่บริษัท ส่วนไอ้หลี่โม่เองก็คงจะอยู่เป็นเพื่อนด้วย เป็นโอกาสที่ดีเลย” “จ้างมาน่ะก็ได้อยู่หรอก แต่เงินที่ต้องใช้มันเยอะไปหน่อย หนึ่งล้านเลยนะครับ” กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตบโต๊ะและพูดว่า “เอาสิ ขอแค่สามารถสั่งสอนไอ้ขยะหลี่โม่นั่นได้ หนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน" กู้ซิ่งเหว่ยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างตื่นเต้นและเริ่มทำการติดต่อไปทันที หลังจากนั้นไม่นานกู้ซิ่งเหว่ยก็วางโทรศัพท์ลงและพูดว่า “พ่อ ผมจะไปเจอกับเขานะ อธิบายสถานการณ์สักหน่อย คืนนี้รอดูการแสดงสนุก ๆ ได้เลย” “รีบไปสิ ฉันจะรอข่าวดี” กู้ซิ่งเหว่ยรีบออกไปอย่างกระตือรือร้นแล้วขับรถไปที่ค่ายมวยที่อยู่ไม่ไกล เมื่อเข้ามาในค่ายม
กู้ซิ่งเหว่ยเดินเข้าไปในอาคารบริษัทพร้อมกับพี่ซานและนักมวยลูกน้องของเขาอย่างว่องไว “พี่ชาน เดี๋ยวจบงานแล้วผมเลี้ยงมื้อดึกเอง พวกเรามาสนุกไปกับซีฟู้ดบาร์บีคิวกันเถอะ" กู้ซิ่งเหว่ยกล่าวอย่างตื่นเต้น ตราบใดที่สามารถจัดการหลี่โม่และบดขยี้ไอ้ไร้ประโยชน์นั่นลงกับพื้นได้ ก็ย่อมคุ้มค่าที่จะดื่มฉลองกันทั้งคืน เพื่อปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจในช่วงนี้ออกมาให้เต็มที่ หลังจากถูกบีบให้พ่ายแพ้อยู่ในกำมือของหลี่โม่มาหลายต่อหลายครั้ง ก็ทำให้กู้ซิ่งเหว่ยรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างมาก จนแม้ในฝันก็ยังฝันว่าได้เหยียบหลี่โม่ไว้ใต้เท้า “ได้เลย นายสบายใจได้ ฉันจะอัดมันจนลุกขึ้นมาไม่ได้อีกแน่นอน ฉันจะทำให้มันเดินไม่ได้อีก ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเหมือนซากหมาตายไปเลย” พี่ซานเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามต่อหลี่โม่ คิดว่าอย่างมากที่สุดก็คงเป็นแค่ไอ้กุ๊ยที่พอจะต่อสู้ได้ และอย่างดีที่สุดก็เป็นคนที่เคยฝึกวิชามาท่าดีทีเหลวเท่านั้น กู้ซิ่งเหว่ยพาพี่ซานและพรรคพวกมาถึงประตูห้องทำงานของกู้หยุนหลาน แล้วเอ่ยเสียงเบา “พี่ซาน ที่นี่แหละครับ ผมไม่ขอออกหน้า ขอรออยู่ข้าง ๆ ก่อนนะครับ” หลังจากพูดจบกู้ซิ่งเหว่ยก็แอบอยู่ที่ห
“อ๊าก!” นักมวยร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช ถูกต่อยจนล้มหงายหลังลงไปกับพื้น เมื่อเห็นสภาพอันน่าเวทนาของนักมวยที่ล้มลงไปแล้ว คนที่เหลือก็ใจสั่นสะท้าน รู้ว่าคราวนี้คงเจอตอเข้าอย่างจัง จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด “เจ้าหมอนี่ลงมือโหดเหี้ยมมาก ทุกคนระวังตัวด้วย” นักมวยคนหนึ่งตะโกนขึ้น ฝีเท้าของเขาเริ่มถอยร่นไปข้างหลัง มือทั้งสองข้างตั้งท่าป้องกันไว้ข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ข้าง ๆ นั้นมีนักมวยอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง หลังจากส่งเสียงตะโกนแล้วจึงพุ่งเข้าหาหลี่โม่จากนั้นหมุนตัวตวัดเท้าถีบไปที่ลำคอของหลี่โม่ ด้วยความเร็วสูงและพละกำลังมหาศาล ลูกเตะนี้จึงทำให้เกิดเสียงระเบิดราวกับหวดแส้ขึ้นในอากาศ เปรี้ยง! หลี่โม่ยกมือขวาขึ้นสกัดลูกเตะทะยานมา จากนั้นจึงพลิกฝ่ามือเป็นอุ้งมือและจับน่องที่นักมวยเตะมาเอาไว้แน่น นักมวยพลันตกใจ เขาพยายามดึงขากลับอย่างสุดแรง ทว่ามันก็สายเกินไปเสียแล้ว หลี่โม่ออกแรงที่ข้อมือ จับน่องของนักมวยและเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศราวกับไม้สวิงแล้วเหวี่ยงร่างของนักมวยคนนั้นใส่นักมวยคนอื่น ๆ นักมวยที่เหลือเห็นดังนั้นก็ต่างขวัญหนีดีฝ่อและเปลี่ยนมุมมองของพวกเขาที่มีต่อหลี่โม่ไปโดยสิ้นเชิง