เมื่อเห็นหลี่โม่หลบกระสุนได้เหล่าฮู๋ก็ตกใจเล็กน้อย และเข้าใจว่าหลี่โม่เป็นปรมาจารย์จริง ๆ แม้แต่นักฆ่าทั่วไปก็ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้"สองจังหวะงั้นเหรอ มาดูกันว่าแกจะหลบเร็วแค่ไหนกัน!"เหล่าฮู๋ยืนขึ้นอย่างหงุดหงิด ยกปืนขึ้นและเล็งไปที่หลี่โม่อย่างรวดเร็วเหล่าฮู๋รู้สึกว่าในขณะนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับปืน สามารถบรรลุระดับของการมองเห็นว่าจะต่อสู้ที่ในทิศทางไหนเมื่อเหล่าฮู๋เล็งปืนไปที่หลี่โม่ หลี่โม่ก็สะบัดข้อมือและดีดลูกแก้วออกมาลูกแก้วลอยขึ้นไปในอากาศและพุ่งตรงไปที่ปากกระบอกปืนในมือของเหล่าฮู๋เหล่าฮู๋ก็เหนี่ยวไกในเวลาเดียวกัน ตู้ม!ปืนพกระเบิด และลำกล้องก็ระเบิดด้วย ชิ้นส่วนเหล็กจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ร่างกายและใบหน้าของเหล่าฮู๋"อ๊าก!"เหล่าฮู๋กรีดร้องโดยไม่เช็ดเลือดบนใบหน้าของเขา เขาโยนปืนสั้นที่ระเบิดทิ้งไป และหยิบกริชขึ้นมาแทน“แก เมื่อกี้แกใช้อะไร ปืนฉันระเบิดได้ยังไง!”เหล่าฮู๋กล่าวอย่างดุร้าย และความคิดที่จะถอยกลับได้ผุดขึ้นในใจของเขาการจะยัดอะไรบางอย่างเข้าไปในปากกระบอกปืนแล้วปล่อยให้ปืนระเบิดนั้นดูเหมือนง่าย แต่ก็ทำยาก เหล่าฮู๋คิดว่าเขาคงไม่สามารถทำ
ขึด ขึด!กริชระหว่างนิ้วมือของหลี่โม่แทงเข้าที่ไหล่ของเหล่าฮู๋ เหล่าฮู๋รู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากนั้นเขาก็ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้อีกต่อไปเส้นเอ็นขนาดใหญ่ที่แขนข้างนี้ถูกเจาะ เหล่าฮู๋วิเคราะห์อาการบาดเจ็บของเขาหลังจากวิเคราะห์แล้ว หัวใจของเหล่าฮู๋ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แม้แต่คนที่เชี่ยวชาญด้านกายวิภาคศาสตร์ก็ยังไม่สามารถเจาะเส้นเอ็นขนาดใหญ่ที่แขนซึ่งซ่อนอยู่ในชั้นไขมันและกล้ามเนื้อได้ง่าย ๆ !หลี่โม่มองไปที่เหล่าฮู๋ด้วยสายตาที่เย็นชา เขาเหวี่ยงมือขวาที่ถือกริชอีกครั้งก่อนที่เหล่าฮู๋จะถอยกลับ ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสก็เกิดขึ้นที่หัวเข่าของเขาอีกกริชอีกครึ่งแทงเข้าที่เข่าของเหล่าฮู๋ เหล่าฮู๋ไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป เขาจึงคุกเข่าลงต่อหน้าหลี่โม่"กล้าที่จะแตะต้องครอบครัวของฉัน งานของแกคงจะยากหน่อยนะ"หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา เหวี่ยงกริชอีกครึ่งในมือของเขาด้วยสายตาเย็นเฉียบ ในไม่ช้าร่างกายของเหล่าฮู๋ก็เต็มไปด้วยบาดแผลเต็มตัวความเจ็บปวดทำให้ร่างกายของเหล่าฮู๋เต็มไปด้วยเหงื่อ เหงื่อเค็ม ๆ ซึมเข้าไปในบาดแผลทำให้เหล่าฮู๋รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย"เจ็บ เจ็บมาก! หลี่โม่ พี่ใหญ่หลี่
กู้หยุนหลานเช็ดน้ำตาและเฝ้าดูหลี่โม่ตัดสายสีแดงอย่างกระวนกระวายใจตี๊ด ตี๊ด ตี๊ดหลังจากส่งเสียงตี๊ดสามครั้ง ตัวจับเวลาก็หยุดลงเหล่าฮู๋มองไปที่หลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ คิดว่าตัวเองคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ส่วนหลี่โม่ตัดชนวนระเบิดด้วยความใจเย็น ดูก็รู้ว่าหลี่โม่พิเศษขนาดไหนคนธรรมดายิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการกู้ระเบิดที่ได้รับการฝึกมาอย่างดียังต้องวิเคราะห์อย่างจริงจังเป็นเวลานานแต่หลี่โม่เพียงแค่มองแวบเดียว เขาก็สามารถแยกชิ้นส่วนระเบิดได้อย่างใจเย็น“เห็นไหม หยุดแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติแล้ว ผมจะแก้มัดระเบิดแล้วพาพ่อกับแม่กลับไปที่ห้องก่อน คุณก็อยู่ดูพวกเขานะ พวกเขายังไม่ได้สติ อย่าบอกพวกเขาเรื่องนี้ล่ะ รอพวกเขาตื่นขึ้นมาค่อยแต่งเรื่องเกลี้ยกล่อมพวกเขา"“อื้ม ๆ ฉันจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง”ในใจกู้หยุนหลานตอนนี้ไม่รับรู้อะไรแล้ว หลี่โม่พูดอะไรเธอก็ทำตามนั้นหลี่โม่พยุงกู้เจี้ยนหมินและหวังฟางกลับไปที่ห้อง หลังจากปลอบโยนกู้หยุนหลานอยู่สักพัก เขาก็เดินออกจากห้องและปิดประตูมือและเท้าของเหล่าฮู๋ไม่มีแรง เขาจึงทำได้เพียงคุกเข่าบนพื้นในท่าทางแปลกประหลาดเมื่อเห็นหลี่โม่ออก
“ถ้าอย่างนั้นที่นายช่วยหม่าเต๋อฝู นายอยากเป็นศัตรูกับฉันเหรอ?” หลี่โม่ถามเบา ๆฉินจี้เย่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ "ไม่ ไม่ ฉันไม่ได้อยากจะเป็นศัตรูกับนาย นายจัดการเหล่าฮู๋ได้ แสดงว่านายมีฝีมือมาก ฉันอยากให้นายร่วมมือกับฉัน"“ร่วมมือ? นายต้องการให้ฉันร่วมมือกับนายเรื่องอะไร?”หลี่โม่รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความร่วมมือที่ฉินจี้เย่พูดถึง และไม่คิดว่าจะมีความร่วมมือที่ดีระหว่างตัวเขากับฉินจี้เย่“เรื่องรายละเอียด เราคงต้องนัดเจอแล้วพูดคุยกันหน่อย ส่วนเรื่องนี้ฉันจะให้คนของฉันไปรับเหล่าฮู๋ในไม่ช้า นายมาพร้อมกันได้เลย มาเจอกันแล้วค่อยคุยเรื่องความร่วมมือ”“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่านายจะไม่ซุ่มทำร้ายฉัน บางทีนายอาจจะพยายามล่อเสือออกจากถ้ำก็ได้นี่” หลี่โม่หรี่ตาลงและกล่าว"ฮ่าฮ่าฮ่า บางทีนายควรจะเชื่อใจฉันบ้าง คนอย่างฉินไม่เคยผิดคำพูด ไม่มีปัญหาเรื่องเครดิตอย่างแน่นอน"หลี่โม่เดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังชั้นตรงข้าม และแสดงสัญญาณด้วยมือซ้ายยามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังเฝ้าดูอยู่ และเมื่อพวกเขาเห็นสัญญาณของหลี่โม่ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่าหลี่โม่หมายถึงต้องปกป้องครอบครัวของกู้หยุนหลานเมื่อเห็นสัญญาณต
“ผมจะออกไปข้างนอกสักพักเพื่อหาข้อมูลของเรื่องนี้ คุณรอผมอยู่ที่บ้านนะ”“คุณ ระวังตัวด้วยนะคะ คงจะไม่มีใครมาที่บ้านอีกใช่ไหม?” กู้หยุนหลานพูดด้วยความกังวล“ไม่แล้ว ผมโทรหาเพื่อนของผมแล้ว พวกเขาจะเฝ้าระวังอยู่ข้างล่าง จะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”“อืม งั้นคุณก็ระวังตัวด้วย ฉันจะรอคุณกลับมานะคะ”กู้หยุนหลานเดินไปหาหลี่โม่ กอดหลี่โล่แน่นด้วยแขนทั้งสองข้างและเขย่งปลายเท้าเพื่อจูบที่ริมฝีปากของหลี่โม่หลี่โม่รู้สึกถึงได้ถึงความกังวลและความเครียดของกู้หยุนหลาน จึงรับปากต่อกู้หยุนหลานอย่างหนักแน่นหลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็แยกจากกัน หลี่โม่ตบหลังของกู้หยุนหลานเบา ๆ "ไม่ต้องกังวลนะ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน""ค่ะ"กู้หยุนหลานมองดูหลี่โม่จากไป และภาวนาให้หลี่โม่อยู่ในใจ อธิษฐานวิงวอนต่อเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าเพื่อขอให้หลี่โม่ปลอดภัยหลี่โม่เดินออกมาจากบ้าน เสี่ยวหวู่ซึ่งกำลังรออยู่ที่รถพูดอย่างไม่พอใจว่า "ทำไมช้าขนาดนี้ ไม่มีสมองเลยจริง ๆ""ฉินจี้เย่ยังไม่กล้าพูดกับฉันแบบนั้น นายแน่ใจนะว่าอยากทำแบบนี้?" หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา“นายกล้าดียังไงมาขู่ฉัน ถ้านายน้อยฉินไม่อยากเจอนาย ฉันจะฆ่านายด้วยก
“ฉันมองเห็นยมโลกแล้ว ฉันไม่อยากตาย ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันไม่ไหวแล้ว” เสี่ยวหวู่พูดด้วยเสียงแหบพร่า รู้สึกตึงเครียดถึงขีดสุด “รู้สึกถึงลมหายใจแห่งความตายแล้วงั้นเหรอ?” หลี่โม่ถามด้วยรอยยิ้มบาง เสี่ยวหวู่มองรอยยิ้มของหลี่โม่ด้วยความงุนงง รู้สึกว่าหลี่โม่น่าพรั่นพรึงราวกับราชาปีศาจแห่งขุมนรก เสี่ยวหวู่สั่นงกไปทั้งร่างด้วยความตึงเครียด กล้ามเนื้อหูรูดไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ปัสสาวะไหลลงมาอาบขาทั้งสองข้างของเสี่ยวหวู่เป็นสาย “ระ-รู้สึกแล้ว ฉันรู้สึกถึงลมหายใจแห่งความตายแล้ว” เสี่ยวหวู่พูดด้วยเสียงสะอื้นไห้ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ หลี่โม่เหวี่ยงเสี่ยวหวู่ไปข้างรถ แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน "เห็นสภาพนายแบบนี้แล้ว ถ้าไม่มีปัญญาก็อย่ามาทำจองหอง” “ฉันผิดไปแล้ว ไม่กล้าแล้ว ต่อไปฉันไม่กล้าอวดดีอีกแล้ว” เสี่ยวหวู่ยกมือซ้ายกุมลำคอ นอนขดตัวอยู่กับพื้นแล้วพูดออกมา เหล่าฮู๋ยิ้มอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นสภาพของเสี่ยวหวู่ที่นอนอยู่ข้างรถ แต่เหล่าฮู๋ก็จินตนาการออก หลี่โม่เตะเสี่ยวหวู่ “อย่ามัวเสียเวลา รีบไปขับรถสิ” “มือของฉัน มือขวาของฉันหักไปแล้ว ฉันขับรถไม
รอแล้วรอเล่า ฉินจี้เย่รอจนรู้สึกกระวนกระวาย แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ในสถานการณ์แบบนี้จะร้อนรนไม่ได้ เขาต้องวางท่าทางให้สุขุมเข้าไว้ ฉินจี้เย่นึกถึงความสงบนิ่งในสมรภูมิแห่งแม่น้ำเฝยของเซี่ยจิ้นและพยายามสงบความกระวนกระวายภายในใจ ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลี่โม่หิ้วเหล่าฮู๋เดินตามเสี่ยวหวู่เข้ามาในโรงงานร้าง เสี่ยวหวู่ก้มหน้าลง มือซ้ายกุมข้อมือขวาเอาไว้ และเดินไปยังเบื้องหน้าฉินจี้เย่ด้วยสีหน้าหม่นหมอง “ทำไมแกถึงไม่รับโทรศัพท์วะ” บอดี้การ์ดตะโกนใส่เสี่ยวหวู่ “ผม ผมไปล่วงเกินคุณหลี่ ก็เลยถูกคุณหลี่สั่งสอนเล็กน้อย มือขวาของผมหัก ผมขับรถด้วยมือซ้ายมา ผมขับช้ามาก แล้วก็รับโทรศัพท์ไม่ได้ด้วยครับ” เมื่อเสี่ยวหวู่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยใบหน้าเศร้าหมอง ฉินจี้เย่และบอดี้การ์ดที่ได้ฟังต่างก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาในใจ ไอ้หมอนี่มันยังเป็นคนอยู่รึเปล่า? ให้คนที่มือขวาหักขับรถเนี่ยนะ ช่างกล้าหาญอะไรขนาดนั้น! หลี่โม่โยนเหล่าฮู๋ไปแทบเท้าฉินจี้เย่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบาง “ลูกน้องของคุณไม่รู้จักธรรมเนียมเอาซะเลย ผมเลยช่วยอบรมสั่งสอนพวกเขาให้น่ะ” “แกเป็นใครไม่ทราบ ค
การรักษาความลับไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลี่โม่เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าฉินจี้เย่ทำเหมือนลึกลับเสียขนาดนั้น ยิ่งทำให้หลี่โม่อยากรู้ว่าธุรกิจใหญ่ที่ว่านั่นคืออะไร “จะดีที่สุดถ้าคุณเก็บเป็นความลับได้ แต่ถึงคุณจะเก็บเป็นความลับไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคงจะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่คุณพูดหรอก” ฉินจี้เย่นั่งตัวตรง สีหน้าดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย “คุณรู้จักแดนมังกรไหม?” หลี่โม่อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย “ผมเคยได้ยินตำนานมาบ้าง เหมือนว่าประตูมังกรจะมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่อย่างไม่มีใครเทียมเลยทีเดียว” “มันเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น เบื้องหลังตระกูลฉินของเราก็พึ่งพิงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่มากอยู่เช่นกัน แต่ผมจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้กับคุณมากนัก” ฉินจี้เย่ไม่ได้อธิบายถึงอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลของตน แต่เว้นให้หลี่โม่จินตนาการเอาเอง นี่เป็นทักษะการพูดที่ฉินจี้เย่มักจะใช้บ่อย ๆ เหลือพื้นที่ให้จินตนาการถึง ปล่อยให้คนอื่นคิดตามคำพูดกันไปเอง และผลสุดท้ายที่ได้นั้นมักจะดีกว่าการบอกอีกฝ่ายไปตรง ๆ เสียอีก มุมปากของหลี่โม่หยักยิ้มเล็