"จะไม่ไปได้ยังไง จางเจียต้องออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด เราก็แค่กินดื่มและสนุกก็เท่านั้น คนในครอบครัวจะไปด้วยก็ได้ ดีอะไรขนาดนี้ ต้องมาให้ได้นะ"หวูผิงผิงกล่าวอย่างจริงจังกู้หยุนหลานมองไปที่หลี่โม่ หลี่โม่ก็กะพริบตาให้กู้หยุนหลานและพูดเบา ๆ ว่า "เพื่อนชวนก็ไปเถอะ งานรวมรุ่นน่าสนุกดีนะ"“งั้นก็ได้ แล้วพรุ่งนี้กี่โมง?” กู้หยุนหลานถาม“พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอตอนห้าโมงเย็น สถานที่แน่นอนยังคงเป็นความลับ จางเจียต้งบอกว่าเขาอยากจะเซอร์ไพรส์พวกเรา” น้ำเสียงของหวูผิงผิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง“ได้ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ”กู้หยุนหลานวางโทรศัพท์ และจับแขนของหลี่โม่แล้วพูดว่า "พรุ่งนี้ไปกับฉันนะคะ""ได้สิ พรุ่งนี้ไปดูกันว่าสนามหญ้าที่โรงเรียนของพวกคุณจะเป็นยังไงบ้าง" หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้มกู้หยุนหลานมองดูหลี่โม่อย่างไร้เดียงสาและดึงหลี่โม่เข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับเสียงพูดในใจเบา ๆ…ตัวเมืองของจังหวัด ในวิลล่าของตระกูลหม่า หม่าเต๋อฝูพ่อของหม่าเจียเฉิงรับโทรศัพท์ หลังจากฟังคำพูดทางโทรศัพท์ หม่าเต๋อฝูก็ตะลึง“คุณหม่า ตอนนี้ลูกชายของคุณอยู่ในอาการช็อกและได้ส่งไปที่โรงพยาบาลจิตแพทย์แล้ว สิ่งที่เขาพูดเป็น
"เจียเฉิงเป็นคนหาพวกนักเลงมา? แล้วเจียเฉิงตายด้วยปืนของพวกนั้นได้ยังไง!" หม่าเต๋อฝูถามด้วยความไม่เชื่อการวิเคราะห์ตามตรรกะปกติ อีกฝ่ายต้องตายด้วยปืนของพวกนักเลง แต่นี่กลับเป็นหม่าเจียเฉิง นายจ้างกลับตายด้วยปืนของลูกจ้างหม่าเต๋อฝูรู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ไหมว่าครัฟต์จะซื้อตัวพวกนักเลงพวกนั้นและหันมาเล่นงานเขาในตอนสุดท้าย?แต่พวกลูกเศรษฐีคนอื่น ๆ กลับปลอดภัยดี มีแค่ลูกชายของเขาเท่านั้นที่เสียชีวิต“นายท่าน ว่ากันว่าหลี่โม่คว้าปืนจากนายน้อย แล้วยิงสังหารหัวหน้านักเลง พวกนักเลงที่เหลือก็กระหน่ำยิงใส่หลี่โม่ด้วยความโกรธ แต่หลี่โม่หนีไปได้ แล้วทิ้งนายน้อยให้ตกอยู่ที่นั่น ดังนั้น ก็เลย...""บัดซบเอ้ย! ไอ้หลี่โม่! แค่ลูกเขยของตระกูลเล็ก ๆ ในกรุงโซล กล้าฆ่าลูกชายของฉัน! แค้นนี้ต้องชำระ!"หม่าเต๋อฝูทำลายข้าวของด้วยความโกรธและเครื่องรางที่สวยงามที่วางอยู่บนโต๊ะก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายไปหมดพ่อบ้านโค้งคำนับและพูดว่า "นายท่าน ว่ากันว่าหลี่โม่สู้กับพวกนักเลงมากกว่า 20 คนด้วยตัวเอง ผมไม่คิดว่าคนของเราจะเอาชนะมันได้ ควรวางแผนให้รอบคอบจะดีกว่า อย่างน้อยเราก็ต้องหาจุดอ่
ครัฟต์ขมวดคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "คุณพูดถูก หากไม่มีคุณกู้หยุนหลานโครงการนี้คงเป็นไปไม่ได้"ให้ตายเถอะ!กู้เจี้ยนกั๋วตะโกนในใจของเขาและเส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็เห็นได้ชัด เขาคิดไม่ออกว่ากู้หยุนหลานเอายาอะไรให้ครัฟต์กินได้ยินมาว่าชาวต่างชาติเกลียดการมาสายมากที่สุด แต่ทำไมครัฟต์ถึงปกป้องกู้หยุนหลานที่มาสาย!เป็นไปได้ไหมว่ากู้หยุนหลานปีนขึ้นไปบนเตียงของครัฟต์แล้ว?ขณะที่กู้เจี้ยนกั๋วกำลังบ่น กู้หยุนหลานและหลี่โม่ก็เข้ามาในห้องประชุมพร้อมกันกู้หยุนหลานกล่าวขอโทษ "ขอโทษ ที่ฉันมาสาย"“ฉันรู้ว่ามาสาย เธอนี่ยิ่งโตยิ่งเล่นใหญ่ อย่าบอกนะว่าพรุ่งนี้เธอจะกลายเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์?” กู้ซิงเหว่ยพูดแปลก ๆ"แฮ่ก แฮ่ก" ครัฟต์ไอสองครั้ง ยืนขึ้นและคำนับกู้หยุนหลานและหลี่โม่ "คุณสองคนไม่ได้มาสายเลย พวกเราต่างหากที่มาเร็วเกินไป"ใบหน้าของกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ มืดลงทันที พวกเขามองไปที่ครัฟต์ด้วยสายตาที่สงสัยเมื่อวานคลัฟต์ยังดูปกติ เพียงแค่ข้ามคืนเขากลายเป็นหมาเลียแข้งเลียขาเสียได้ เกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้?ครัฟต์ถูกล้างสมองหรือ?เมื่อทุกคนในตระกูลกู้กำลังสงสัย ครัฟต์ก็ได้นำแ
ฉินเจี้ยนจางสวมชุดสูทที่สั่งตัดพิเศษโดยช่างตัดเสื้อชั้นนำ เขายืนอยู่นอกประตูห้องประชุมโดยเอามือไพล่หลังในขณะนี้ฉินเจี้ยนจางเป็นเหมือนมีดที่คมกริบออกมาจากฝัก แสดงความเฉียบคมและเปล่งออร่าที่น่าเกรงขามออกมาในฐานะทนายความด้านการแพทย์ชั้นนำของจีน ฉินเจี้ยนจางชนะคดีทางการแพทย์มาแล้วหลายคดี แต่นี่เป็นครั้งแรกในอาชีพของฉินเจี้ยนจางที่ต่อสู้คดีกับบริษัทยาเมื่อก่อนคดีส่วนมากคือความผิดพลาดของหมอทั้งนั้น ถ้าชนะคดีก็แค่ให้โรงพยาบาลชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติคนไข้หลายล้านคน แต่การฟ้องบริษัทยาต่างกันถ้าการต่อสู้ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ฉินเจี้ยนจางจะได้เป็นที่รู้จักและจะได้รับชื่อเสียงและเงินมากมายนี่คือการต่อสู้ที่ต้องชนะ ไม่ต้องพูดถึงการสนับสนุนจากตระกูลหม่าที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องพูดถึงบริษัทยาเล็ก ๆ ของตระกูลกู้ แม้แต่บริษัทยาที่มีอำนาจมาก ฉินเจี้ยนจางก็กล้าแตะต้องยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหม่าได้เตรียมเอกสารคดีไว้อย่างครบถ้วน และยังได้ติดต่อกับผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องหลายราย เพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาไปเป็นพยานในศาลเมื่อจำเป็นการเตรียมการทั้งหมดอาจกล่าวได้ว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ ฉินเจี้ยนจางรู้สึกว่าถ
หลังจากที่กู้เจี้ยนกั๋วได้รับข้อมูลแล้ว เขาก็แทบรอไม่ไหวที่จะอ่านมันแต่หลังจากอ่านเนื้อหาในหน้าแรก กู้เจี้ยนกั๋วก็แทบจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากและมือที่ถือเอกสารก็สั่นอย่างรุนแรง โดยคิดว่าฉินเจี้ยนจางกำลังจะทำให้ตระกูลกู้ถึงฆาตท่าทางของกู้เจี้ยนเจียงและคนอื่น ๆ ที่ดูสง่างาม เมื่อพวกเขาดูเนื้อหาของเอกสารทีละหน้าและยิ่งอ่านมากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกหนาวสั่นหลังจากอ่านไปสองสามหน้า กู้หยุนหลานก็ส่งข้อมูลให้หลี่โม่ในอาการที่สับสน หลี่โม่ดูข้อมูลและวางมันลงอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้สนใจเนื้อหาของข้อมูลอย่างจริงจังมันไม่มีอะไรมากไปกว่าคดีความ บางอย่างสามารถตกลงกันได้ด้วยเงิน หลี่โม่ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย"พวกคุณ พวกคุณต้องการทำอะไร! ข้อมูลนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลกู้ของเรา ต่อให้มีข้อผิดพลาด มันก็เป็นความผิดของแพทย์!" กู้เจี้ยนกั๋วพูดด้วยความโกรธ"ไม่สิ เราได้ติดต่อแพทย์และผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องหลายรายแล้ว และผมสันนิษฐานว่า ปัญหาเหล่านี้เกิดจากผลิตภัณฑ์ของพวกคุณ เราได้มอบหมายให้องค์กรบุคคลที่สามดำเนินการตรวจสอบ และผลการตรวจจะออกในไม่ช้า เมื่อถึงเวลานั้นเราจะจัดงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชน”
กู้เจี้ยนกั๋วตะลึงตาค้าง เมื่อมองไปยังครัฟต์ก็เริ่มรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องรองรับอารมณ์จากทั้งสองทาง ฉินเจี้ยนจางชำเลืองมองกู้หยุนหลานและหลี่โม่เล็กน้อย แล้วเริ่มไตร่ตรองเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่นายจ้างต้องการจะเล่นงานในครั้งนี้ก็คือหลี่โม่ กู้ซิ่งเหว่ยทุบกำปั้นลงบนโต๊ะด้วยความโกรธเกรี้ยว เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมต้องเป็นคำขอของหลี่โม่!พวกเราไม่ใช่หุ้นส่วนของพวกคุณหรือไง ทำไมพวกคุณต้องเลือกปฏิบัติต่างออกไปแบบนี้ด้วย!” “เพราะนี่เป็นประสงค์ของพระเจ้า ผมสรรเสริญในพระเจ้า ดังนั้นผมจึงยึดมั่นในการชี้นำของพระองค์” บนใบหน้าของครัฟต์แผ่รัศมีเรืองรองอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา ราวกับว่าเขาได้กลายเป็นบาทหลวงไปแล้ว กู้เจี้ยนเจียงดึงกู้ซิ่งเหว่ยเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงเบา “อดทนไว้ เวลาแบบนี้อย่าเพิ่งก่อปัญหาเลย ตอนนี้เราทำได้แค่หวังพึ่งคุณครัฟต์เท่านั้น ถ้าคุณครัฟต์ไม่แยแส พวกเราก็คงหมดหนทางจริง ๆ แน่” “จะไปหมดหนทางได้ยังไง บริษัทของพวกเราเองก็มีเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายเหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ได้จริง ๆ ก็จ้างทนายความมา ผมไม่เชื่อหรอกว่าไอ้สารเลวที่ยุย
มือของเจ้าหน้าที่กฎหมายที่ถือโทรศัพท์อยู่พลันแข็งทื่อ เขามองไปที่ปุ่มโทรออกบนหน้าจอแต่ก็ไม่อาจกดลงไปได้ “โทร! สิ! วะ! ยืนบื้ออะไรอยู่!” กู้เจี้ยนกั๋วเร่งเร้าด้วยความโมโหปนอับอาย ท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายก็กดปุ่มโทรออก เขารอสายอย่างกระวนกระวาย แล้วเอ่ยอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานสีหน้าของเจ้าหน้าที่กฎหมายก็ย่ำแย่ลง เขาก้มหน้าลงและโทรต่อไป การโทรครั้งที่สองเองก็จบลงอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่กฎหมายก็พูดด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “ไม่ได้เลยครับ พวกเขาไม่มีใครยอมตกลงเลย พวกเขาบอกว่าจะไม่มีวันขึ้นศาลกับสกุลฉินอีกตลอดชีวิตครับ" “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกคุณหาทนายต่อไปสิ ผมอยากดูว่าพวกคุณจะหาใครมาขึ้นศาลกับผมได้ ในประเทศนี้ไม่มีใครที่จะชนะผมในคดีทางการแพทย์ได้แล้ว” ฉินเจี้ยนจางกล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อเห็นท่าทีลำพองใจของฉินเจี้ยนจาง กู้ซิ่งเหว่ยก็เอียงหัวมองไปที่หลี่โม่ แล้วเอ่ยประชดประชันว่า “ไอ้ไร้ประโยชน์ ไม่นานมานี้แกเก่งมากไม่ใช่เหรอ ถ้าแกเก่งจริงก็เตะไอ้ทนายงี่เง่าคนนี้ออกไปเลยสิ" หลี่โม่พูดอย่างเฉยเมย "สุภาพชนตกลงกันด้วยวาจาไม่ใช้กำลัง จะให้ฉันไปต่อยตีกับทนายความได้ยังไง" “
เมื่อเห็นท่าทางจำใจของครัฟต์ ฉินเจี้ยนจางก็ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น คราวนี้นับว่าเขารอดตัวไปได้อย่างราบรื่นแล้ว ตราบใดที่ทีมของแอ็งเคอร์ไม่มา ฉินเจี้ยนจางรู้สึกว่าตนนั้นไร้ซึ่งคู่ต่อกรแล้วในประเทศนี้ “ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าพวกคุณจะโชคไม่ดีเท่าไหร่นะ ถ้าทีมของแอ็งเคอร์ไม่มา ในโลกนี้ก็ไม่มีใครที่เอาชนะผมได้แล้ว พวกคุณเตรียมตัวแพ้และล้มละลายได้เลย” กู้เจี้ยนกั๋วหน้าถอดสีซีดเผือดทันที เขารู้สึกว่านี่คือเวลาจบเห่ของตระกูลกู้แล้ว "ทำทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไรกันแน่? ทำไมพวกคุณต้องหมายหัวตระกูลกู้ของเราด้วย พวกเราไปทำให้ใครขุ่นเคือง!" กู้เจี้ยนเจียงถามอย่างอดไม่ได้ “ในพวกคุณใครที่ไปทำให้คนอื่นขุ่นเคืองก็น่าจะรู้ตัวเองดี ผมขอไม่พูดให้มากความ ขอให้สนุกกับช่วงเวลาสุดท้ายของพวกคุณให้ดีแล้วกัน งานแถลงข่าวอาจจะจัดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้” ฉินเจี้ยนจางพูดอย่างลำพองใจ ราวกับเป็นแม่ทัพที่มีชัยในศึกใหญ่ก็ไม่ปาน หลังจากจึงหันหลังกลับไปอย่างหน้าเชิดอกผึ่ง เตรียมจะพาลูกน้องของตนกลับไปเพื่อแจ้งข่าวดีแก่หม่าเต๋อฝู กู้หยุนหลานเหลือบมองหลี่โม่เล็กน้อย ริมฝีปากของเธอกระตุกเบา ๆ คิดอย่างจะพูดอะไรบางอย่างกับหลี่โ