คุณปู่กู้เปิดตาขึ้น สายตากวาดมองผ่านกู้เจี้ยนหมินไป สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวหลี่โม่ สายตาของเขาปะทะเข้ากับสายตาของหลี่โม่ คุณปู่กู้มองหลี่โม่ด้วยสายตาที่ราวกับพยัคฆ์ร้าย ทำให้กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างเงียบปานจักจั่นวันหนาว คุณปู่กู้ไม่ได้ใช้สายตาเช่นนี้มานานมากแล้ว สองครั้งที่เขาเคยใช้สายตาเช่นนี้มองผู้อื่น ล้วนแต่ใช้ในการเจรจาต่อรองในตอนที่ธุรกิจของตระกูลกู้ประสบกับอันตราย และครั้งนี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลกู้ คุณปู่กู้จึงใช้สายตาที่ดูแคลนทุกสิ่งนี้อีกครั้ง กู้เจี้ยนหมินสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้ว่าเขาจะตัดสินใจมอบที่ดินให้แล้ว แต่ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวา กู้หยุนหลานตกใจกลัวสายตาของคุณปู่กู้ ริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที กังวลใจว่าชั่วอึดใจต่อมาคุณปู่กู้จะหวดกำปั้นใส่อย่างไรอย่างนั้น หลี่โม่สบตากับคุณปู่กู้ด้วยสายตาสงบนิ่งเยือกเย็น มุมปากยกโค้งขึ้นระบายยิ้มจาง ๆ คุณปู่กู้รู้สึกตกตะลึงอย่างลับ ๆ อยู่ในใจ ไม่นึกว่าหลี่โม่จะสงบนิ่งเช่นนี้ จนถึงขั้นที่สามารถพูดได้เลยว่าไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำ ท่าทีน่าเกรงขามที่สั่ง
แม้ว่ากู้เจี้ยนกั๋วจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจก็ยังคงเคลือบแคลง เดิมเขานึกว่าหลี่โม่จะต้องดึงดันจนถึงที่สุด จนกู้เจี้ยนกั๋วถึงกับต้องเชิญให้คุณปู่กู้ออกมากดดัน แต่ไม่นึกว่าหลี่โม่จะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้ นั่นทำให้กู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายอ่านสัญญาแล้ว ยืนยันว่าสัญญาไม่มีปัญหา นอกจากนี้ตัวกู้เจี้ยนกั๋วเองได้อ่านสัญญาแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีปัญญาอะไร แต่กับดักสัญญาที่นักกฎหมายระดับแนวหน้าเป็นผู้สร้างขึ้นนั้นย่อมมิดชิดอย่างที่สุด เจ้าหน้าที่กฎหมายที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงพอ ก็ไม่มีทางมองเล่ห์เหลี่ยมในสัญญานี้ออกแน่นอน ส่วนเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายที่ตระกูลกู้จ้างมานั้นเป็นเพียงนักกฎหมายทั่วไปเท่านั้น ย่อมมองกลในสัญญานี้ไม่ออกอยู่แล้ว กู้เจี้ยนกั๋ววางสัญญาลง สายตาของเขากวาดมองตั้งแต่ใบหน้าของหลี่โม่และกู้หยุนหลาน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าของกู้เจี้ยนหมิน บางทีต้นตอของเรื่องเหนือคาดทั้งหมดนี้ อาจเป็นเพราะกู้เจี้ยนหมินก็ได้? กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดไปพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนหมิน ครั้งนี้นายได้ทำเรื่องดี ๆ ขึ้นมาแล้วนะ เมื่อวานลูกเขยขอ
กู้เจี้ยนหมินได้ยินคำชมเชยของคุณปู่กู้ก็ยกยิ้มจนปากแทบฉีกด้วยความปลื้มปริ่ม กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างนึกอิจฉาริษยา ทว่าเมื่อนึกถึงฉากที่เตะกู้เจี้ยนหมินทั้งครอบครัวออกไปในอนาคตขึ้นมา ก็รู้สึกว่า การที่จะปล่อยให้กู้เจี้ยนหมินกระหยิ่มยิ้มย่องไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไร ได้ที่ดินที่สำคัญที่สุดมาอยู่ในมือก็พอแล้ว หลังจากฝืนฉีกยิ้มแสร้งแสดงความยินดีในฐานะพี่น้องแล้ว กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงก็ให้เหตุผลว่าจะไปส่งคุณปู่กู้กลับแล้วจึงออกจากห้องไป ส่วนกู้เจี้ยนหมินเองก็กลับไปด้วยเช่นกัน กู้ชิงหลินพูดอย่างไม่พอใจ “รีบพาไอ้กระจอกของเธอไปชุบตัวเถอะ ให้ดีตอนกลางคืนก็เช่ารถหรูสักคน อย่าให้มันน่าขายหน้าเกินไปนักเลย” กู้ชิงหลินที่ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวังและไม่ยอมรับในที่สุดก็รอมาถึงโอกาสที่จะได้ระบาย และเอ่ยจิกกัดเหยียดหยามกู้หยุนหลายกับหลี่โม่ กู้ซิ่งเหว่ยเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัว รู้สึกว่าเพื่ออนาคตของตัวเขาเองแล้ว ตอนนี้เขาคงไม่สามารถร่วมการโจมตีใส่กู้หยุนหลานได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่เฉย ๆ ไปจนกว่าจะรับช่วงต่อจากกู้หยุนหลาน “ชิงหลิน เธอให้น้อยหน่อยเถอะ หยุนหลานกับหลี่โม่ช่วยเห
กู้หยุนหลานรู้สึกว่าหลี่โม่กำลังใช้ทฤษฎีสมคบคิดมาประเมินครัฟต์ ไม่ว่าจะพูดยังไงครัฟต์ก็เป็นผู้บริหารของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ไม่จำเป็นต้องบินมาเป็นพัน ๆ ไมล์เพื่อหลอกตระกูลกู้หรอก หลี่โม่ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะบอกเรื่องทุกอย่างกับกู้หยุนหลาน ครัฟต์เป็นเพียงเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่ราชินีมังกรวางก่อนมาเยือนกรุงโซลเท่านั้น ถึงตอนที่ราชินีมังกรมาถึงแล้ว เรื่องราวจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลี่โม่ไม่อาจคาดการณ์ได้เลย ความแตกต่างด้านพลังอำนาจกับราชินีมังกรนั้นมีมากเกินไป ถึงอย่างไรราชินีมังกรก็อยู่ที่แดนมังกรมาหลายสิบปี ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ได้บ่มเพาะกำลังของตนเอาไว้จำนวนมาก ส่วนหลี่โม่นั้นได้ออกจากแดนมังกรมานาน เขาจึงไม่มีอิทธิพลต่อแกนกลางของแดนมังกรเลยแม้แต่น้อย นอกจากคุณธรรมและชื่อเสียงที่มีแล้ว หลี่โม่ก็ไม่มีอะไรอยู่ที่แดนมังกรอีกแล้ว การขาดกำลังของตนเอง นั่นคือจุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของหลี่โม่ เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องของราชินีมังกร หลี่โม่ก็เหม่อค้างไปเล็กน้อย หลังจากนั้นพักใหญ่กู้หยุนหลานจึงเขย่าหลี่โม่เบา ๆ ทำให้หลี่โม่ได้สติกลับมา “คิดอะไรอยู่น่ะ
กู้ซิ่งเหว่ยพูดขึ้นอย่างค่อนข้างตื่นเต้น “เป็นความคิดที่ดี เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปอีกที” กู้ชิงหลินโทรหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เพื่อนสนิทฉันบอกว่าแบบนั้นมันน่าขายหน้าเกินไป เลยไม่ตกลงด้วย” “เฮ้อ อย่างนั้นก็รอฟังเรื่องราวเถอะ พรุ่งนี้ค่อยฟังให้เต็มที่ว่าพวกมันถูกฉีกหน้ายังไงก็แล้วกัน” ...... นอกรอยัลพาเลซเต็มไปด้วยรถหรู แผนกต้อนรับส่วนหน้าได้หยุดให้บริการตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้ รถหรูจำนวนไม่น้อยต่างติดป้ายทะเบียนของเมืองหลวง เหล่าคนดังและเศรษฐีน้อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราหลากหลายสไตล์ค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามาในรอยัลพาเลซ กลุ่มเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงรวมตัวกัน มองดูเหล่าลูกเศรษฐีจากกรุงโซลที่นำโดยหวงจื่อซวนด้วยสายตาเหยียดหยาม หวงจื่อซวนเชื่อมสัมพันธ์กับลูกเศรษฐีของเมืองหลวงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และพยายามแทรกตัวเข้าไปในแวดวงชั้นสูง ไม่นานเรื่องของคุณชายซูก็กลายเป็นประเด็นสนทนาของทุกคน สำหรับเรื่องเรือคว่ำในคูน้ำที่กรุงโซลของคุณชายซูนั้นทำให้เหล่าลูกเศรษฐีของเมืองหลวงไม่ค่อยพอใจนัก ในครั้งนี้เหล่าลูกเศรษฐีของเมือ
“หลี่โม่? ทำไมรู้สึกคุ้นขนาดนี้นะ?” หวงจื่อซวนนำกลุ่มลูกเศรษฐีเดินไปทางประตูของปราสาท เตรียมที่จะไปดักรอหลี่โม่ที่ทางเข้า เน็ตไอดอลสาวสวยที่อยู่ข้างกายหวงจื่อซวนพูดขึ้น “ที่รัก ลืมเรื่องที่ฉันบอกคุณเมื่อกี้นี้แล้วเหรอ เพื่อนสนิทของฉันกู้ชิงหลินก็ขอให้คุณจัดการเจ้าหลี่โม่กับกู้หยุนหลานด้วยไงคะ” “จริงสิ ถึงว่าทำไมถึงได้คุ้นขนาดนี้ งั้นก็รีบบอกรายละเอียดของหลี่โม่นั่นมาเร็ว ๆ สิ” “หลี่โม่เป็นลูกเขยของตระกูลกู้ เจ้านั่นเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ก็แค่เกาะผู้หญิงกินไปวัน ๆ ภรรยาของเขากู้หยุนหลานเองก็ไม่ใช่พวกจู้จี้จุกจิก หล่อนนอนกับคนอื่นเพื่อเซ็นสัญญา แล้วยังแสร้งทำตัวเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างนั้น” เพื่อนสนิทของกู้ชิงหลินปั้นแต่งเรื่องของกู้หยุนหลานและหลี่โม่ขึ้นมา หวงจื่อซวนลูบคางฟังอย่างถี่ถ้วน สีหน้าก็พลันงุนงงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ไอ้ขยะพรรค์นั้นสามารถทำให้คุณชายซูตกม้าตายได้เชียวเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เป็นคนที่ชื่อนามสกุลเหมือนกันหรือเปล่า” หวงจื่อซวนเอ่ยอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ที่รักคะ คุณจะคิดมากขนาดนั้นไปทำไมกัน อีกเดี๋ยวเราจับไอ้หมอนั่น
กู้หยุนหลานตั่วสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว หลี่โม่หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเหวี่ยงฝ่ามือตบหน้าหวังชิงชิง เพียะ เพียะ เพียะ หลี่โม่ใช้ฝ่ามือสลับกับหลังมือตบหน้าหวังชิงชิงอย่างโหดเหี้ยม ใบหน้าเน็ตไอดอลที่ทำศัลยกรรมเติมแต่งด้วยฟิลเลอร์ของหวังชิงชิงพลันถูกตบจนราวกับประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ไม่ปาน รุนแรงเสียจนทำให้ไม่กล้ามองตรง ๆ เลยทีเดียว “อ๊า! แกกล้าดียังไงมาตบหน้าฉัน ที่รัก เห็นไหมว่ามันตบฉัน คุณต้องช่วยฉันแก้แค้นมันนะ!” หวังชิงชิงดึงรั้งหวงจื่อซวนทั้งน้ำตานองหน้า หวงจื่อซวนเหลือบมองใบหน้าที่เละเทะเหมือนโดนรถชนมาของหวังชิงชิง ก็พลันรู้สึกสยดสยองขึ้นมา สะเทือนอารมณ์ยิ่งกว่าดูหนังสยองขวัญเสียอีก หวงจื่อซวนสะบัดมือของเธอออกอย่างแรง แล้วพูดอย่างหงุกหงิด “ปล่อยมือซะ ถ้าเธอดึงฉันไว้แล้วฉันจะแก้แค้นให้เธอได้ยังไงเล่า!” หวังชิงชิงปล่อยมือออก รู้สึกว่าใบหน้าปวดร้าวไปหมด เธอสัมผัสใบหน้าของตัวเองเบา ๆ รู้สึกเหมือนใบหน้ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบหยิบกระจกออกมาส่องดู เมื่อเห็นภาพในกระจก หวังชิงชิงก็โพล่งขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก “กรี๊ด! นี่ นี่มันใครกันเนี่ย!”
“คุณชายหม่า? มันคือตัวอะไรล่ะ ฉันไม่เห็นเคยได้ยิน” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย หวงจื่อซวนและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่นึกว่าท่าทีของหลี่โม่จะแข็งกร้าวถึงขนาดเรียกคุณชายหม่าว่าตัวอะไรเช่นนี้ “ฮ่าฮ่า แกนี่มันปากดีนักนะ รอฉันเรียกคุณชายหม่ามาจัดการแกก่อนเถอะ” หวงจื่อซวนทิ้งคำพูดไว้แล้วหมุนตัวเดินไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “พี่ซวน พวกเราจะไปแล้วเหรอ?” ลูกเศรษฐีคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ถ้านายไม่อยากไปจะกลับไปต่อยมันก็ได้นะ แต่นายจะทำร้ายมันได้เหรอ ไม่เห็นหรือยังไงว่ามันตบหวังชิงชิงไปขนาดไหน มันต้องเคยฝึกวิชามาแน่ นอกจากนี้คุณชายซูแห่งเมืองหลวงก็ยังเสียท่าให้มันมาแล้ว พวกเราควรจะระมัดระวังให้ดีถึงจะปลอดภัย ให้คุณชายหม่าออกหน้าต่อกรกับมันไปดีกว่า” หวงจื่อซวนค่อนข้างรู้สึกหวาดหวั่น เมื่อดูจากข่าวต่าง ๆ แล้ว หวงจื่อซวนรู้สึกว่าบางทีเรื่องนี้อาจไม่ธรรมดา บางครั้งต้องขี้ขลาดสักหน่อยถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ไม่นานหวงจื่อซวนก็หาหม่าเจียเฉิงเจอ หม่าเจียเฉิงพร้อมด้วยเหล่าเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงกำลังอยู่ด้วยกันกับเซเลบสาวสวยกลุ่มหนึ่ง “คุณชายหม่า เจ้าหลี่โม่นั่นมาแล