ครัฟต์ขับรถไปที่ชานเมืองโซลและหยุดอยู่ข้างลำธารเล็ก ๆที่โค้งของลำห้วย มีชายคนหนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่ริมแม่น้ำร่างของชายผู้นั้นดูค่อนข้างผอม มีผมสีขาวครึ่งหัวมัดมวยไว้บนศีรษะ นั่งนิ่งอยู่ริมแม่น้ำราวกับภูเขาเมื่อมองไปที่แผ่นหลังบาง ๆ ครัฟต์กลืนน้ำลายลงคอ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัวแม้ว่าครัฟต์จะเป็น CEO ของกลุ่มที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชายชราร่างผอมบางคนนี้ที่สามารถควบคุมชีวิตและความตายของตัวเองได้ ครัฟต์ก็เต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่สิ้นสุดครัฟต์ไม่รู้จักชายชราร่างผอม เขารู้เพียงว่าชายชราร่างผอมเป็นเจ้านายของหัวหน้าเจ้านายของเขาอีกทีเดิมทีครัฟต์ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพบกับชายชราผอมแห้งคนนี้ แต่เนื่องจากครัฟต์มีหน้าที่รับผิดชอบในการร่วมมือกับตระกูลกู้ เขาจึงสามารถทลายกำแพงของชนชั้นและเข้าพบกับบุคคลนี้ซึ่งมีสถานะสูงกว่าเขาหลายลำดับได้หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้ว ครัฟต์ก็เดินไปหาชายชราร่างผอมด้วยอารมณ์เหมือนแสวงบุญครัฟต์หยุดด้านหลังชายชราร่างผอมครึ่งเมตรแล้วโค้งคำนับพร้อมกับพูดว่า "สวัสดีครับท่าน ผมชื่อครัฟต์ครับ""อืม" คุณท่านปาทำเสียงในโพรงจ
แม้ว่าครัฟฟ์จะไม่เข้าใจว่าคุณท่านปาหมายถึงอะไร แต่เขารู้ว่าเขาแค่ต้องทำให้สำเร็จ และเขาไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งอื่นใด"เข้าใจแล้วครับท่าน ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้กู้หยุนหลานและหลี่โม่พอใจ"“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ใช่แค่ทำให้พวกเขาพอใจ แต่เพื่อให้พวกเขาเชื่อใจแก เชื่อใจ แกเข้าใจไหม?” คุณท่านปาพูดช้าๆ“เข้าใจแล้วครับท่าน ผมจะทำให้พวกเขาไว้ใจผมให้ได้” ครัฟฟ์กล่าวด้วยความเคารพ“ดีมาก แกกลับไปได้แล้ว กลับไปทำหน้าที่ของแก”"ครับท่าน"ครัฟฟ์หันหลังและจากไป แม้ว่าเขาจะพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ครัฟฟ์ก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่บนเปลือกไข่เมื่อเผชิญกับรังสีของคุณท่านปาเมื่อกลับมาที่รถ ครัฟฟนั่งลงบนเบาะนั่งหอบราวกับปลาว่ายทวนน้ำ"ทำให้พวกนั้นเชื่อใจ ดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วยากฉิบหาย" ครัฟฟ์พึมพำเบา ๆต้องใช้เวลามากในการที่จะได้รับความไว้วางใจจากใครสักคน แต่ครัฟต์นั้นไม่น่าจะใช้เวลานานนักอาศัยเสน่ห์ส่วนตัว?ครัฟฟ์รู้ตัวว่าตัวเองไม่ค่อยมีเสน่ห์มากนักสิ่งที่เหลืออยู่คือสร้างสถานการณ์ที่ยากลำบาก และยื่นมือช่วยเหลือกู้หยุนหลานและหลี่โม่ท่ามกลางความยากลำบากนั้น เพื่อให้กู้หยุนหลานและหลี่โ
นี่เป็นเพราะครอบครัวเราอ่อนแอเกินไป ใคร ๆ ก็มารังแกได้หวังฟางหดหู่ใจพุ่งความโกรธของเธอไปที่หลี่โม่และพูดอย่างขมขื่น "ไม่ใช่เพราะเราไม่มีสถานะในตระกูลเหรอ?! เป็นเพราะแกไอ้หลี่โม่ลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ ถ้าฉันมีลูกเขยที่มีอำนาจ ใครจะกล้ามารังแกพวกเราแบบนี้!""ไอ้ขยะ! แม้แต่ครอบครัวของเราก็ยังถูกรังแก! แกยังรักษาของที่คนอื่นส่งมาให้ถึงหน้าประตูบ้านของเราไม่ได้ บอกฉันทีว่าไอ้ขยะอย่างแกยังมีหน้ามามีชีวิตอยู่อีกเหรอ?!"หวังฟางโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เธอพูดและในที่สุดก็วางตะเกียบแล้วหันเดินกลับไปที่ห้อง"ดี"กู้เจี้ยนหมินถอนหายใจและมองไปที่หลี่โม่อย่างช่วยไม่ได้ "แก อย่าคิดมากไปเลย แม่ยายของแกก็เป็นแบบนี้แหละ"“ไม่เป็นไรครับคุณพ่อ เรารีบทานข้าวกันเถอะครับ จะได้รีบไปที่บริษัท” หลี่โม่กล่าวอย่างเฉยเมยหลี่โม่ได้เตรียมการอย่างสมบูรณ์ และเขาไม่กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตรงกันข้ามที่ดินนี้เป็นยาพิษชนิดหนึ่ง เพียงแค่หลี่โม่พอใจ เขาสามารถใช้ประโยคของยาพิษในสัญญาได้ตลอดเวลา เพื่อทำให้ทุกคนที่มีเจตนาชั่วร้ายกระอักเลือด กู้เจี้ยนหมินไม่มีอารมณ์ที่จะทานแล้ว เขาวางตะเกียบและยืนขึ้นร
ครัฟต์เชิญกู้หยุนหลานและหลี่โม่ไปร่วมงานชุมนุมคนดังอย่างนั้นเหรอ? เมื่อได้ยินคำพูดนี้ กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยาจนตาร้อนไปหมด ทำไมถึงเชิญแค่กู้หยุนหลานกับหลี่โม่กัน! พวกเราต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญของตระกูลกู้! ตระกูลกู้ในอนาคตล้วนอยู่ในการควบคุมของพวกเราทั้งนั้น! สัตว์ร้ายตัวน้อยในใจกู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ กำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง และเต็มไปด้วยคาวมไม่พอใจต่อการกระทำของครัฟต์ “คุณวอลเลซ คุณครัฟต์เชิญแค่กู้หยุนหลานกับหลี่โม่เหรอครับ?” กู้เจี้ยนกั๋วอดกลั้นความขุ่นเคืองในใจ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ใช่ครับ มาตรฐานของงานชุมนุมสูงมาก ส่วนมากเป็นลูกเศรษฐีชื่อดังของเมืองหลวง มีแค่ไม่กี่คนในกรุงโซลเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าร่วม คุณหนูกู้หยุนหลานและสามีเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญของท่านประธาน ดังนั้นจึงโชคดีอย่างยิ่งที่ได้เข้าร่วมงานชุมนุม” วอลเลซพูดพลางหยิบบัตรเชิญออกมาวางบนโต๊ะ “ผมยังมีธุระอีก รบกวนพวกคุณช่วยส่งบัตรเชิญให้กับคุณหนูกู้หยุนหลานด้วยนะครับ” เมื่อเห็นว่าวอลเลซหมุนตัวกำลังจะไป กู้เจี้ยนกั๋วจะรีบถามขึ้น “คือว่า ผมอยากถามอีกหน่อย ทำไมพวกเราถึงไม่มีใครได้รับเชิญ
คุณปู่กู้เปิดตาขึ้น สายตากวาดมองผ่านกู้เจี้ยนหมินไป สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวหลี่โม่ สายตาของเขาปะทะเข้ากับสายตาของหลี่โม่ คุณปู่กู้มองหลี่โม่ด้วยสายตาที่ราวกับพยัคฆ์ร้าย ทำให้กู้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างเงียบปานจักจั่นวันหนาว คุณปู่กู้ไม่ได้ใช้สายตาเช่นนี้มานานมากแล้ว สองครั้งที่เขาเคยใช้สายตาเช่นนี้มองผู้อื่น ล้วนแต่ใช้ในการเจรจาต่อรองในตอนที่ธุรกิจของตระกูลกู้ประสบกับอันตราย และครั้งนี้ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลกู้ คุณปู่กู้จึงใช้สายตาที่ดูแคลนทุกสิ่งนี้อีกครั้ง กู้เจี้ยนหมินสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้ว่าเขาจะตัดสินใจมอบที่ดินให้แล้ว แต่ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวา กู้หยุนหลานตกใจกลัวสายตาของคุณปู่กู้ ริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันที กังวลใจว่าชั่วอึดใจต่อมาคุณปู่กู้จะหวดกำปั้นใส่อย่างไรอย่างนั้น หลี่โม่สบตากับคุณปู่กู้ด้วยสายตาสงบนิ่งเยือกเย็น มุมปากยกโค้งขึ้นระบายยิ้มจาง ๆ คุณปู่กู้รู้สึกตกตะลึงอย่างลับ ๆ อยู่ในใจ ไม่นึกว่าหลี่โม่จะสงบนิ่งเช่นนี้ จนถึงขั้นที่สามารถพูดได้เลยว่าไม่สะทกสะท้านอะไรเลยด้วยซ้ำ ท่าทีน่าเกรงขามที่สั่ง
แม้ว่ากู้เจี้ยนกั๋วจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจก็ยังคงเคลือบแคลง เดิมเขานึกว่าหลี่โม่จะต้องดึงดันจนถึงที่สุด จนกู้เจี้ยนกั๋วถึงกับต้องเชิญให้คุณปู่กู้ออกมากดดัน แต่ไม่นึกว่าหลี่โม่จะยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้ นั่นทำให้กู้เจี้ยนกั๋วรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อย แต่หลังจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายอ่านสัญญาแล้ว ยืนยันว่าสัญญาไม่มีปัญหา นอกจากนี้ตัวกู้เจี้ยนกั๋วเองได้อ่านสัญญาแล้วก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีปัญญาอะไร แต่กับดักสัญญาที่นักกฎหมายระดับแนวหน้าเป็นผู้สร้างขึ้นนั้นย่อมมิดชิดอย่างที่สุด เจ้าหน้าที่กฎหมายที่ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงพอ ก็ไม่มีทางมองเล่ห์เหลี่ยมในสัญญานี้ออกแน่นอน ส่วนเจ้าหน้าที่ทางกฎหมายที่ตระกูลกู้จ้างมานั้นเป็นเพียงนักกฎหมายทั่วไปเท่านั้น ย่อมมองกลในสัญญานี้ไม่ออกอยู่แล้ว กู้เจี้ยนกั๋ววางสัญญาลง สายตาของเขากวาดมองตั้งแต่ใบหน้าของหลี่โม่และกู้หยุนหลาน สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าของกู้เจี้ยนหมิน บางทีต้นตอของเรื่องเหนือคาดทั้งหมดนี้ อาจเป็นเพราะกู้เจี้ยนหมินก็ได้? กู้เจี้ยนกั๋วครุ่นคิดไปพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจี้ยนหมิน ครั้งนี้นายได้ทำเรื่องดี ๆ ขึ้นมาแล้วนะ เมื่อวานลูกเขยขอ
กู้เจี้ยนหมินได้ยินคำชมเชยของคุณปู่กู้ก็ยกยิ้มจนปากแทบฉีกด้วยความปลื้มปริ่ม กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงต่างนึกอิจฉาริษยา ทว่าเมื่อนึกถึงฉากที่เตะกู้เจี้ยนหมินทั้งครอบครัวออกไปในอนาคตขึ้นมา ก็รู้สึกว่า การที่จะปล่อยให้กู้เจี้ยนหมินกระหยิ่มยิ้มย่องไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไร ได้ที่ดินที่สำคัญที่สุดมาอยู่ในมือก็พอแล้ว หลังจากฝืนฉีกยิ้มแสร้งแสดงความยินดีในฐานะพี่น้องแล้ว กู้เจี้ยนกั๋วและกู้เจี้ยนเจียงก็ให้เหตุผลว่าจะไปส่งคุณปู่กู้กลับแล้วจึงออกจากห้องไป ส่วนกู้เจี้ยนหมินเองก็กลับไปด้วยเช่นกัน กู้ชิงหลินพูดอย่างไม่พอใจ “รีบพาไอ้กระจอกของเธอไปชุบตัวเถอะ ให้ดีตอนกลางคืนก็เช่ารถหรูสักคน อย่าให้มันน่าขายหน้าเกินไปนักเลย” กู้ชิงหลินที่ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวังและไม่ยอมรับในที่สุดก็รอมาถึงโอกาสที่จะได้ระบาย และเอ่ยจิกกัดเหยียดหยามกู้หยุนหลายกับหลี่โม่ กู้ซิ่งเหว่ยเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหัว รู้สึกว่าเพื่ออนาคตของตัวเขาเองแล้ว ตอนนี้เขาคงไม่สามารถร่วมการโจมตีใส่กู้หยุนหลานได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่เฉย ๆ ไปจนกว่าจะรับช่วงต่อจากกู้หยุนหลาน “ชิงหลิน เธอให้น้อยหน่อยเถอะ หยุนหลานกับหลี่โม่ช่วยเห
กู้หยุนหลานรู้สึกว่าหลี่โม่กำลังใช้ทฤษฎีสมคบคิดมาประเมินครัฟต์ ไม่ว่าจะพูดยังไงครัฟต์ก็เป็นผู้บริหารของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ไม่จำเป็นต้องบินมาเป็นพัน ๆ ไมล์เพื่อหลอกตระกูลกู้หรอก หลี่โม่ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะบอกเรื่องทุกอย่างกับกู้หยุนหลาน ครัฟต์เป็นเพียงเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่ราชินีมังกรวางก่อนมาเยือนกรุงโซลเท่านั้น ถึงตอนที่ราชินีมังกรมาถึงแล้ว เรื่องราวจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลี่โม่ไม่อาจคาดการณ์ได้เลย ความแตกต่างด้านพลังอำนาจกับราชินีมังกรนั้นมีมากเกินไป ถึงอย่างไรราชินีมังกรก็อยู่ที่แดนมังกรมาหลายสิบปี ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ได้บ่มเพาะกำลังของตนเอาไว้จำนวนมาก ส่วนหลี่โม่นั้นได้ออกจากแดนมังกรมานาน เขาจึงไม่มีอิทธิพลต่อแกนกลางของแดนมังกรเลยแม้แต่น้อย นอกจากคุณธรรมและชื่อเสียงที่มีแล้ว หลี่โม่ก็ไม่มีอะไรอยู่ที่แดนมังกรอีกแล้ว การขาดกำลังของตนเอง นั่นคือจุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของหลี่โม่ เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องของราชินีมังกร หลี่โม่ก็เหม่อค้างไปเล็กน้อย หลังจากนั้นพักใหญ่กู้หยุนหลานจึงเขย่าหลี่โม่เบา ๆ ทำให้หลี่โม่ได้สติกลับมา “คิดอะไรอยู่น่ะ