กู้หยุนหลานที่นั่งข้าง ๆ รู้สึกอึดอัด เธอเหลือบมองหลี่โม่ที่หยิบไม้ถูพื้นไปถูพื้นต่อ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวังเขาไม่พูดอะไรเลยในตอนที่แม่สั่งสอนเขาแบบนี้ ฉวีเทียนไห่มาที่บ้านแล้ว และเขายังมีอารมณ์มาถูพื้นอยู่อีกนี่มันไม่สำคัญสำหรับเขาเลยใช่ไหม?ในเวลานี้ ฉวีเทียนไห่ดูใจกว้าง และใจดี เขาจิบชาแล้วพูดว่า “คุณน้าครับ ผมคิดว่าหลี่โม่คงจะทำเงินได้ไม่มากในสถานที่ร้านนวด เอาแบบนี้ไหมครับ? บริษัทของพ่อผมต้องการคนงานอยู่พอดีเลย ให้หลี่โม่ไปทำงานที่นั่นดีไหมครับ ให้เขาไปดูแลโกดัง ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยเขาก็น่าจะหาเงินได้สักหกเจ็ดหมื่น ดีกว่างานของเขาในร้านนวดมากเลยนะครับ"“โอ้ จริงเหรอ เยี่ยมมากเลย”ใบหน้าของหวังฟางเต็มไปด้วยความปีติยินดี และเธอก็เรียกหลี่โม่อย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า "รีบขอบคุณเทียนไห่เร็วเข้าสิ!"ไอ้ขยะนี่ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลยแต่ว่าหลี่โม่หันกลับมา และพูดอย่างแผ่วเบา "ไม่เป็นไร ฉันมีงานที่ดีอยู่แล้ว"งาน?ฮ่าฮ่า‘ถ้าผมบอกว่า ผมซื้อร้านสปาติงเหม่ยไปแล้ว พวกคุณคงจะคุกเข่าลงทันที’!แต่ในสายตาของเขา เงินเป็นเพียงแค่ตัวเลขเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่โม่ หวังฟ
พ่อของฉวีเทียนไห่โทรมาเหรอ?หวังฟางยิ้มอย่างตื่นเต้น และพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “งั้นก็รีบสิ ลองถามเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ และฝากขอบคุณคุณพ่อแทนครอบครัวของเราด้วยนะ”พ่อของฉวีเทียนไห่คือใคร?ฉวีโฮ่วเฟิงประธานแห่งฉวีกรุ๊ปที่มีมูลค่าหลายพันล้าน!ในกลุ่มธุรกิจของเมืองฮั่น เขาเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง และยังเป็นหนึ่งในตัวแทนที่โดดเด่นของกลุ่มธุรกิจในเมืองฮั่นอีกด้วยในเมืองฮั่น เขาก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง และอำนาจมากมายเช่นกันหากได้ความช่วยเหลือจากเขา ปัญหาของพวกเขากับหรงคังกรุ๊ปในครั้งนี้ก็คงจะแก้ไขได้เช่นกันดังนั้นหวังฟางจึงมีความสุข เธอมองไปที่ฉวีเทียนไห่อย่างกระตือรือร้นมากขึ้น และหวังว่าเธอจะมอบกู้หยุนหลานให้ฉวีเทียนไห่ ให้เขาพาเธอกลับไปเลย‘เฮอะ ลูกสาวฉันนี่หัวแข็งจริง ๆ ยังยืนกรานที่จะอยู่กับไอ้หลี่โม่คนไร้ประโยชน์นี่อยู่ได้ คิดดูสิ ถ้าเธออยู่กับฉวีเทียนไห่ ชีวิตของเธอจะสบายขึ้นขนาดไหน เธอคงสบายไปตลอดชีวิต’ฉวีเทียนไห่พยักหน้า เขารับสายโทรศัพท์อย่างภาคภูมิใจ และมั่นใจ เขาพูดเสียงดัง “เป็นยังไงบ้างครับพ่อ? หรงคังกรุ๊ปยอมให้ความร่วมมืออีกครั้งไหมครับ?”“เทียนไห่
สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานผิดหวังมากกู้เจี้ยนหมินเป็นคนกลาง เพราะสถานะของเขาในบ้านก็สูงกว่าหลี่โม่ไม่มาก เขาจึงพูดขัดจังหวะไม่ได้ และทำได้เพียงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้หลี่โม่ยังคงนั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ว่าเขาจะเป็นลูกเขยแบบไหน แต่ต่อหน้าเขาเธอจะผลักไสลูกสาวของเธอไปหาคนอื่นได้อย่างไร?กู้เจี้ยนหมินรู้สึกผิด เขาทำได้เพียงกระแอมไอเบา ๆ สองสามครั้งแม้ว่าในใจของหลี่โม่จะไม่มีความสุข แต่สีหน้าของเขาดูเฉยเมยมากแม่ยายมุ่งมั่นที่จะแยกเขากับหยุนหลานออก“คุณน้าครับ คุณน้าทานเถอะครับ ผมทานไม่เยอะ”ฉวีเทียนไห่ยิ้มอย่างสุภาพ สายตาของเขามองไปที่หลี่โม่อย่างร้ายกาจ แสดงออกถึงชัยชนะดูสิ ในครอบครัวนี้เขาเป็นแค่คนนอก แต่กลับมีสถานะสูงกว่าลูกเขยของครอบครัวนี้อีกหลี่โม่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาทำได้แค่นั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ เพราะถ้าหากหลี่โม่เอ่ยปากพูดเมื่อไหร่ เขาจะต้องถูกแม่ยายวิจารณ์ตำหนิ และดุด่าอย่างไม่ต้องสงสัยหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เทียนไห่ก็ไม่ได้รีบกลับ เขายังอยู่ต่อกับกู้หยุนหลาน และหวังฟางหวังฟางมีความสุขมาก หนุ่มคนนี้ควรได้พบปะกับลูกสาวของเธอมากกว่าน
ทุกคนตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสงสัยทำไมสัญญาใหม่ส่งมาเร็วขนาดนี้?เมื่อกี้ยังคงคุยเรื่องหลี่โม่กันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับมีคนมาส่งสัญญาให้ที่หน้าประตูหวังฟางและฉวีเทียนไห่ตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาเอาจริงเอาจังมากกู้หยุนหลานรับสัญญา และเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยเป็นหลี่โม่จริงเหรอ?แต่หวังฟางตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วว่า “หยุนหลาน ยังไม่รีบขอบคุณเทียนไห่อีก นี่่คงจะเป็นความช่วยเหลือของเทียนไห่แน่นอน ไม่อย่างนั้น ลูกคิดว่าไอ้ไร้ประโยชน์หลี่โม่เป็นคนทำเหรอ?”หวังฟางยิ้มด้วยความปีติ เธอมองไปที่ฉวีเทียนไห่และพูดด้วยความขอบคุณ "เทียนไห่ เราเป็นหนี้เธอจริง ๆ น้าไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีเลย"ฉวีเทียนไห่ตกตะลึง แต่ก็ตอบสนองอย่างฉับพลัน เขาค่อย ๆ ยิ้ม และพูดว่า "คุณน้าครับ ไม่เป็นไรครับ นี่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ขอแค่ให้หยุนหลานมีความสุขก็พอครับ"ฉวีเทียนไห่ก็สงสัย พ่อของเขาบอกว่าเรื่องนี้พ่อเขาช่วยไม่ได้ แต่ทำไมสัญญาใหม่ถึงมาเร็วขนาดนี้?กู้หยุนหลานถือสัญญา หลังจากได้ยินคำพูดของหวังฟาง เธอก็ของคุณฉวีเทียนไห่ "คุณเทียนไห่ ขอบคุณมากสำหรับเรื่องนี้ ฉันจะต
หลี่โม่ตกตะลึง เขาพบว่ากู้หยุนหลานกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา เธอทำหน้าแก้มป่อง และทำหน้าตาเหมือนว่าต้องการจะจับผิดเขาเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเปิดบันทึกข้อความ หลี่โม่ก็รีบเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์คืนมา และพูดว่า "ไม่มีอะไรหรอก แค่เรื่องในร้าน""ไม่มีอะไรเหรอ?"กู้หยุนหลานยกมือขึ้น จ้องไปที่หลี่โม่ และถามว่า "ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมคุณดูกังวลนักล่ะ?"หลี่โม่จะไม่กังวลได้อย่างไร ถ้ากู้หยุนหลานเห็นข้อความระหว่างเขากับหรงปินและเหล่าเฉียน มันก็จะชัดเจนทุกอย่างแล้ว"ไม่มีอะไรจริง ๆ มันเป็นเรื่องในร้าน ที่ร้านกำลังจะมีงานเลี้ยงอาหารค่ำ และพวกเขาแค่ถามผมว่าจะไปไหม"หลี่โม่อธิบายสั้น ๆ เขาแค่ต้องการโทรศัพท์คืนจากกู้หยุนหลานหน้าอกที่แข็งแรงของเขาอยู่ตรงหน้ากู้หยุนหลาน ทำให้คนข้างหลังหน้าแดงก่ำ“อย่าขยับ!”กู้หยุนหลานถอยหลังไปสองก้าว และทำท่าทางเย็นชาหลี่โม่กลัวมาก เขายืนอยู่กับที่ไม่ขยับ และจ้องมองที่โทรศัพท์ในมือของกู้หยุนหลานอย่างวิตกกังวล“งานเลี้ยงเหรอ? งั้นฉันขอดูหน่อยว่า คุณแบ่งกันจ่ายคนละเท่าไหร่”กู้หยุนหลานพูดพลางทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เธอกำลังจะเปิดบันทึกข้อความของ
ทันทีที่หลี่โม่พูดประโยคนี้ เขาก็ได้ยินฉวีเทียนไห่ที่อยู่ข้างหน้ากำลังหัวเราะเบา ๆ และหันหน้ามาถามอย่างเย้ยหยัน "นายกำลังพูดอะไร? นายมีบัตรสมาชิกของฮั่นพาเลซเหรอ? เอามันมาจากไหน? คงไม่ใช่ของปลอมใช่ไหม?”ไอ้หลี่โม่นี่ ช่างหน้าด้านจริง ๆ !เขากล้าพูดว่าเขามีบัตรสมาชิกของฮั่นพาเลซงั้นหรือ?เขารู้หรือไม่ว่าบัตรสมาชิกจะสามารถมีได้ก็ต่อเมื่อต้องใช้จ่ายหลายล้านต่อปีเท่านั้น?แม้แต่ทั้งตระกูลฉวี มีแค่พ่อของเขาเท่านั้นที่มีบัตรสมาชิกช่างโง่จริง ๆ เลยสีหน้าของหวังฟางก็แย่ลงทันที เธอจ้องไปที่หลี่โม่ และตะโกนว่า “หลี่โม่ แกพูดเรื่องไร้สาระอะไร? อยากให้ฉันต้องไล่แกลงจากรถใช่ไหม?”ใบหน้าอันสวยงามของกู้หยุนหลานก็บูดเบี้ยวเล็กน้อยเหมือนกัน และเธอก็เหลือบมองหลี่โม่ อย่างโกรธจัดในเวลานี้ ทำไมเขาถึงต้องพูดขัดจังหวะ อยากโดนด่าหรือไง?หลี่โม่ยิ้ม และพูดว่า "โอ้ มันไม่ใช่ของผมหรอก เพื่อนของผมให้มา"ฉวีเทียนไห่ยิ้มด้วยสายตาเยาะเย้ย และพูดอย่างสงบว่า "ก็ได้หลี่โม่ นายจะบอกว่านายมีเพื่อนแบบนี้ด้วยอย่างนั้นสินะ?"หลี่โม่ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า "ไม่เป็นไร ยังมีอีกหลายเรื่องที่นายมองไม่ออก"เมื่อได้ย
ทุกวันนี้ ะุรกิจต่าง ๆ ต่างก็มีกลยุทธ์แยบยล อย่างเช่น การใช้ประโยชน์จากความนิยมของผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ใช่ไหมล่ะ?เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง หลี่โม่ก็เธอว่า “เราควรเปลี่ยนที่ไหม?”กู้หยุนหลานขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่เธอจะทันได้คิด ฉวีเทียนไห่และหวังฟางก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับกู้เจี้ยนหมินแล้ว“หยุนหลาน เราเข้าไปกันเถอะ ผู้จัดการที่นี่ผมรู้จัก เดี๋ยวผมจะขอให้เขาจัดห้องไว้ให้เราล่วงหน้า”สีหน้าของฉวีเทียนไห่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้คิดเลยว่า กู้หยุนหลานจะใจดีกับเขามากจนขนาดเชิญเขามาทานอาหารที่นี่ ช่างคุ้มค่ากับการเดินทางจริง ๆแม้ว่าเขาจะเป็นนายน้อยคนโตของตระกูลฉวี แต่เขาก็ได้มาทานอาหารที่ภัตตาคารอาหารหรูแห่งนี้เพียงปีละสองสามครั้งเท่านั้นเพราะค่าใช้จ่ายของที่นี่สูงเกินไปจริง ๆกินไปหลายแสน ก็ได้นั่งแค่ข้างล่างเท่านั้นนี่ยังคงเป็นแค่ห้องโถงหลัก ถ้าอยากได้ห้องส่วนตัว จะต้องบวกค่าธรรมเนียมห้องอาหารเพิ่มอีกกู้หยุนหลานก็รีบตอบอย่างลนลาน แต่ในหัวของเธอมีแต่ความงุนงง และเธอก็เห็นด้วย "โอ้ โอเค"ตอนนี้เธอเหมือนกำลังจะตาย แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะเธอเข้าม
ฉวีเทียนไห่อยากจะต่อยหลี่โม่เสียตรงนั้นเลย!แต่ว่าฮ่าฮ่าหลี่โม่หัวเราะเยาะ และปัดมือของฉวีเทียนไห่ออก เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมว่า "ฉวีเทียนไห่ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย ภรรยาของฉันเชิญนายมาทานอาหารที่นี่ก็แค่ต้องการตอบแทนนาย อีกอย่าง สัญญาใหม่ของหรงคังกรุ๊ป นายเป็นคนช่วยหรือไม่ตัวนายก็รู้ดีอยู่แก่ใจนี่ ใช่ไหม?! หรืออยากให้ฉันเปิดเผยความจริงของนายต่อหน้าหยุนหลานเหรอ?”หลังจากพูดจบ หลี่โม่ก็หันหลัง และเดินจากไปแต่ฉวีเทียนไห่โกรธ!เขาบีบกำปั้นแน่น สูดหายใจเข้าอย่างรุนแรง และชี้ไปที่หลี่โม่ แล้วตะโกนว่า "หลี่โม่ แกหมายความว่าไง? แกจะบอกว่า คนขี้ขลาดแบบแกจะเป็นคนเอาสัญญาใหม่ของหรงคังกรุ๊ปมาให้เธออย่างนั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า แกช่างกล้าล้อเล่นนะ ใครจะไปเชื่อว่าขยะแบบแกเป็นคนทำ?”พูดจบ ฉวีเทียนไห่ก็ตบไหล่หลี่โม่ และกระซิบข้างหูของเขาว่า "ขยะก็คือขยะ ทั้งชีวิตของแกก็เทียบกับเส้นผมของฉวีเทียนไห่อย่างฉันไม่ได้หรอก!"หลังจากนั้น ฉวีเทียนไห่ก็ดึงชุดสูทของเขาด้วยสีหน้าพอใจ และเดินตามกู้หยุนไปหลี่โม่ที่ยืนอยู่ที่ประตูคนเดียว เขากำหมัดแน่น สูดหายใจ และเยาะเย้ยจากมุมปากของเขา‘เทียบไม่ได้กับฉวีเ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา