คำพูดของกู้หยุนหลานดังมาก จนห้องนั่งเล่นเงียบลงในทันทีหลังจากนั้นไม่นานเหอซูฟางก็ขมวดคิ้วและถามว่า "ทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวได้ ตระกูลเล็ก ๆ ของพวกเธอ ไม่น่าเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวขึ้นได้หนิ"ซีเหมินจือเผิงพูดด้วยความเย้ยหยัน "เป็นไปได้ไหมว่าไอ้อ่อนนั้นจะจัดฉากให้ใครสักคนแสดงละคร มีการลักพาตัวด้วย ให้ตายเถอะ ตลกชะมัดยาด"กู้หยุนหลานไม่ตลกด้วย และนึกในใจว่าตอนที่เธอถูกลักพาตัว เพราะหลี่โม่ต้องการให้เธอปลอดภัย จึงยอมทนแบกรับความทุกข์ทรมานนั้นไว้หวังฟางถอนหายใจ ตบไหล่กู้หยุนหลานเบา ๆ แล้วพูดว่า "เรื่องลักพาตัวครั้งนั้น แม่ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นะ อาจจะเป็นไปได้ ที่ไอ้ขี้โมโหนั่นมันขอให้ใครสักคนทำเรื่องนั้น แกอย่าโง่ต่อไปเลย""จะพูดเรื่องราวในอดีตกันทำไม ควรจะพูดถึงเรื่องในอนาคต หยุนหลานบริษัทของหนูก็เพิ่งจะมีปัญหาเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าหนูมีคำถามอะไรก็ขอคำแนะนำจากซีเหมินจือเผิง ซีเหมินจือเผิงเขาเก่งเรื่องบริหารจัดการบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ หนูควรเรียนรู้เพิ่มเติมจากเขานะ"กู้เจี้ยนหมินเปลี่ยนเรื่องคุย ซีเหมินจือเผิงจึงพูดด้วยรอยยิ้ม "เรื่องการบริหารจัด
"หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น" เหอซูฟางประชดหวังฟาง และพูดกับซีเหมินจือเผิง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ลูก เราควรจะกลับกันเดี๋ยวนี้ หรือว่า...""จะกลับตอนนี้ได้ยังไงครับ? ทานอาหารเที่ยงกับครอบครัวของคุณป้าหวังก่อนสิครับ ผมอยากสั่งสอนไอ้ขยะนั่นสักคำสองคำ"ความโกรธในใจของซีเหมินจือเผิงมุ่งตรงไปที่หลี่โม่ และเขารู้สึกว่า ตราบใดที่เขาทำให้หลี่โม่อับอายได้ กู้หยุนหลานก็จะเห็นถึงช่องว่างระหว่างคนทั้งสองได้มากขึ้น และกู้หยุนหลานจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในที่สุด…ในเมืองจินไห่ ลูกน้องได้พาจางจงหยางขึ้นรถ“พี่หยาง พวกเราพร้อมแล้ว และปืนที่อาจารย์ฟาให้มาเราก็พกมาด้วย”จางจงหยางพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดุร้ายบนใบหน้าของเขา“มีข่าวอะไรเกี่ยวกับไอ้ขยะนั่นจากคนของเราที่ส่งให้ไปเฝ้าดูมันบ้างไหม?”"มีครับ ว่ากันว่ามีโรลส์รอยซ์โกสต์มาจอดที่บ้านของไอ้ขยะนั่นตั้งแต่เช้า ผู้ชายที่ลงมาจากรถตำหนิไอ้ขยะนั่น ตามที่คนของพวกเรารายงานมา ไอ้หมอนั่นดูเหมือนจะต้องการให้ไอ้ขยะนั่นและกู้หยุนหลานหย่ากัน”จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย โรลส์รอยซ์โกสต์ไม่ใช่รถที่คนทั่วไปสามารถนั่งได้ แม้ว่ามันจะด้อยกว่าแฟนทอมมาก แต่ก็เป
“สวนฟาน?”จางจงหยางอ่านคำบนแผ่นป้ายหน้าบ้านโบราณในรูปถ่าย คิดอยู่ครู่หนึ่งในใจและจำได้ว่าสวนฟานคืออะไรสวนฟานถูกสร้างสรรค์โดยหวู่เต้าเหวิน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงในกรุงโซล โดยเน้นที่แนวคิดของงานเลี้ยงส่วนตัวระดับไฮเอนด์ โดยสร้างรูปแบบเชิงพาณิชย์ที่แตกต่างจากงานเลี้ยงเชิงพาณิชย์ของกวนเหรินถัง“เหอ ๆ ร้านอาหารของหวู่เต้าเหวินไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่ร้านอาหาร แค่ทุบทิ้งก็จบ รอฉันเข้ายึดกรุงโซลได้ก่อน อุตสาหกรรมอาหารก็จะอยู่ในมือของฉันด้วย”จางจงหยางมีความทะเยอทะยานและเขาพร้อมที่จะนำอุตสาหกรรมมากมายในโซลมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา เป้าหมายคือ เขาต้องกำจัดชูจงเทียนและควบคุมโลกใต้ดินของโซลให้สำเร็จ“พี่หยางผู้ยิ่งใหญ่ จากนี้ไปพี่หยางจะเป็นราชาในกรุงโซล”ลูกน้องของเขายกยอโดยไม่ให้เสียโอกาส"ฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่มันเข้าใจพูด ถ้าฉันได้เป็นราชาแห่งกรุงโซล แกก็จะมีที่ยืนในกรุงโซลด้วย" จางจงหยางหัวเราะอย่างมีความสุข“ขอบคุณพี่หยางที่สั่งสอน ผมจะทำงานอย่างเต็มที่แน่นอน” ลูกน้องกล่าวอย่างตื่นเต้น"รีบไปสิ มุ่งหน้าไปยังสวนฟานให้เร็วที่สุด"ตามคำสั่งของจางจงหยางขบวนรถพุ่งตรงไปที่สวนฟานเหมือนลู
"นี่ ไอ้คนไม่เอาไหน ทำไมแกไม่ตอบ แกไม่ได้ยินที่จือเผิงถามแกหรือไงฮะ!" หวังฟางจ้องไปที่หลี่โม่และตะคอกใส่"เป๋าฮื้ออะเคยกิน ในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อตา" หลี่โม่พูดอย่างใจเย็นหวังฟางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจ้องไปที่หลี่โม่ "นี่ไอ้ขยะอย่าพูดไร้สาระนะ ไม่เคยกินแล้วบอกว่าเคยกิน แกยังมีความละอายใจอยู่ไหม""โอ้ ไอ้อ่อนนายเคยกินหอยเป๋าฮื้อชั้นนำแล้ว เกินความคาดหมายจริง ๆ เอาเนื้อวากิวชุดใหญ่หนึ่งที่ ฉันต้องการส่วนที่ดีที่สุดทำสเต็กโทมาฮอว์ก ไม่ทราบว่านายไอ้อ่อน นายเคยกินเนื้อวากิวไหม?”ซีเหมินจือเผิงมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาที่ล้อเลียนหลี่โม่พูดอย่างเย็นชา "เนื้อวากิวส่วนใหญ่ที่ขายเป็นเนื้อสุนัข และเนื้อวากิวจริง ๆ จะไม่นำเข้า"ซีเหมินจือเผิงเหล่ตาของเขา เขาไม่คาดคิดว่ากับแผนที่จงใจตั้งไว้นั้นจะถูกเพิกเฉยจากคนไม่เอาไหนแบบนี้ไม่ว่าหลี่โม่จะบอกว่าเขากินหรือไม่กินก็ตาม ซีเหมินจือเผิงก็จะทำให้หลี่โม่เสียหน้าให้ได้ แต่หลี่โม่ก็ทำลายความจริงที่ว่า เนื้อวากิวไม่สามารถนำเข้าได้ ซึ่งทำให้แผนของซีเหมินจือเผิงผิดพลาดไป“คนไม่เอาไหนอย่างนายก็ถือว่าพอจะรู้เรื่องอยู่บ้างนะ งั้นเอาปลาแซลมอนทะเลน้ำ
ซีเหมินจือเผิงเงยหน้าขึ้น เหล่ตามองหลี่โม่ด้วยสายเหยียดหยาม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “จะเห็นเขาเป็นอะไรไปได้ล่ะ ก็ต้องเป็นขยะอยู่แล้วสิ ถ้าเขาเต็มใจจะเป็นสุนัข ผมก็ไม่รังเกียจที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนสุนัขหรอกนะ” “สุนัขของบ้านผมมีค่าอาหารวันละเกือบพันหยวน ถ้าเขายอมเป็นสุนัขให้ผม ก็จะทำให้เขามีชีวิตที่สุขสบายเหลือแสนได้เลย ไม่แน่ว่าวันไหนผมนึกใจดีขึ้นมา ก็อาจจะหาผู้หญิงให้เขาอีกสักคนก็ได้นะ” ขณะที่กู้หยุนหลานกำลังโต้แย้ง หวังฟางก็กระแอมขึ้นมาอย่างหนัก รับคำพูดของซีเหมินจือเผิงไป “ชีวิตของสุนัขตระกูลซีเหมินยังดีขนาดนี้ หยุนหลาน ลูกก็อย่ามัวซื่อบื้ออยู่อีกเลย งานในตอนนี้ของหลี่โม่ เงินที่หาได้ในหนึ่งเดือนไม่พอจ่ายค่าอาหารหมาตัวหนึ่งของตระกูลซีเหมินด้วยซ้ำ เขาเอ้อระเหยจนเป็นคนด้อยกว่าสุนัข ลูกยังจะไปปกป้องเขาทำไมกัน” “ฮ่าฺฮ่าฮ่า คุณน้าพูดได้ถูกต้องครับ เจ้าขยะนี่เป็นคนด้อยกว่าสุนัขจริง ๆ แถมยังด้อยกว่าสุนัขหลายขุมเลยเชียวล่ะ” ซีเหมินจือเผิงหัวเราะขึ้นมาอย่างสะใจ ในตอนนั้นเอง ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก หัวหน้าพนักงานพากลุ่มสาวงามในชุดกงจวงถืออาหารเลิศรสมากมายเดินเข้ามา “
“จือเผิง อย่าพูดมากนักสิลูก” เหอซูฟางห้ามปรามซีเหมินจือเผิง ก่อนจะยิ้มให้หวังฟางเล็กน้อยอย่างขอโทษ “น้องฟาง ลูกชายของฉันอารมณ์ไม่ดี ต้องกลับไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนแล้วล่ะ พวกเราขอไปก่อนนะ” “พี่ซูฟาง อย่าเลย พวกเราสั่งสอนเจ้าขยะนี่ให้ดี ๆ ก็ได้ ยังไงก็กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสิ” หวังฟางรีบเอ่ยขึ้น เหอซูฟางส่ายหน้า แล้วดึงซีเหมินจือเผิงที่ดวงตาแทบจะลุกเป็นไฟ พร้อมเอ่ยเสียงเบา “ไป ยังขายขี้หน้าไม่พออีกหรือไง” ซีเหมินจือเผิงมองไปยังหลี่โม่อย่างเหี้ยมเกรียมราวกับสัตว์ร้าย แล้วเดินออกจากห้องอาหารส่วนตัวไปพร้อมกับเหอซูฟาง เมื่อเห็นเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงออกไปแล้ว สีหน้าของหวังฟางก็บึ้งตึงลงทันที “หลี่โม่! ไอ้ขยะ นี่แกเก่งนักใช่ไหม?! ถึงได้กล้าตอกหน้าคนอื่นเขา! แกคงจะเตรียมตัวตอกหน้าฉันด้วยสินะ!” หวังฟางตบโต๊ะแล้วตะคอกอย่างรุนแรง “เปล่าครับ คุณเป็นแม่ของหยุนหลาน ในใจผมก็เห็นคุณเป็นเหมือนแม่แท้ ๆ ของผม ผมจะไปกล้าโต้แย้งคุณได้ยังไง” หลี่โม่หัวเราะอย่างไม่รู้หนาวรู้ร้อน “เหลวไหล! ถ้าแกเห็นฉันเป็นแม่แท้ ๆ แกก็หย่ากับหยุนหลานเสียเดี๋ยวนี้เลยสิ! เรื่องดี ๆ ในวันนี้แกก็ทำให
เหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงทั้งสองคนปิดประตูห้องส่วนตัวอย่างแน่นหนา พวกเขาหอบหายใจอย่างหนัก บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นสภาพของเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงแล้ว คิ้วของหลี่โม่ก็ขมวดลงเล็กน้อย รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนคงไม่อยู่ในสภาพจนมุมเช่นนี้ หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินเองก็มองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หวังฟางเข้าไปพยุงเหอซูฟางเอาไว้ และลูบหลังเหอซูฟางเบา ๆ “พี่ซูฟาง รีบมานั่งก่อนสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” “เกิดเรื่องแล้ว ข้างนอกมีคนมาเยอะมาก พวกเขาถือมีดเดินป่าพุ่งเข้ามา ไม่รู้ว่ามีใครหาเรื่องมาหรือเปล่า หวังว่าจะไม่มาทำร้ายพวกเรานะ” เหอซูฟางอธิบายพลางถูกพยุงให้นั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าของซีเหมินจือเผิงอึมครึมอย่างยิ่ง ย้อนนึกกลับไปถึงสถานการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ ทั่วร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง “ผมเห็นพวกบอดี้การ์ดถูกฟันบาดเจ็บไปหมดแล้ว พวกเขาคงจะไม่พุ่งมาหาผมใช่ไหม แต่ผมก็ไม่ได้มีศัตรูอยู่ในประเทศนะ หรือว่าจะเป็นนักฆ่าที่คู่แข่งระหว่างประเทศจ้างมาฆ่าผม?” ในหัวของซีเหมินจือเผิงจินตนาการถึงฉากที่คู่แข่งซื้อตัวนักฆ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นแบ
หลี่โม่ลดมือลงและลอบทำสัญญาณมืออย่างลับ ๆ ผู้พิทักษ์แดนมังกรเข้าใจความหมายของหลี่โม่จึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว มีผู้พิทักษ์แดนมังกรอยู่ หลี่โม่จึงไม่ได้เห็นอันธพาลเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ต้องรอดูการแสดงด้วยความสบายใจก็พอ ไม่นาน จางจงหยางที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ถูกเข็นเข้ามา เมื่อเห็นจางจงหยาง กู้หยุนหลานก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น “ฮ่าฮ่า เจอกันอีกแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ ไอ้ขยะหลี่!” จางจงหยางเอ่ยพลางแสยะยิ้ม ซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังหวาดผวาอยู่แต่เดิมนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของจางจงหยางก็ตกตะลึงชั่วครู่ และพากันมองไปยังหลี่โม่ด้วยสายตาแปลกประหลาด หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ทำไมล่ะ หลังจากคุกเข่าคำนับ แทงตัวเองสามมีดหกรูไปแล้ว นายยังไม่ได้รับบทเรียนอีกเหรอ?” “แกมันรนหาที่ตายนัก! ตอนนี้ทั้งสวนฟานถูกคนของฉันควบคุมไว้หมดแล้ว วันนี้แกเหลือแค่ทางตายเท่านั้น!” เมื่อเห็นท่าทางที่จางจงหยางจ้องมองหลี่โม่ด้วยความโกรธแค้น ซีเหมินจือเผิงก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ทว่าซีเหมินจือเผิงก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ด
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา