เมื่อหลี่โม่และกู้หยุนหลานกลับมาถึงบ้าน มีการสนทนาอยู่ในห้องนั่งเล่น เห็นได้ชัดว่ามีแขกอยู่ที่บ้านทั้งสองเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและเห็นหวังฟางกำลังพูดคุยอย่างมีความสุขกับหญิงวัยกลางคนที่มีอายุใกล้เคียงกัน"หยุนหลาน มานี่เร็วเข้า นี่คือคุณป้าเหอ ที่เคยอุ้มหนูตอนยังเป็นเด็ก"หวังฟางแนะนำหญิงวัยกลางคนให้กู้หยุนหลานรู้จักอย่างกระตือรือร้น โดยไม่สนใจหลี่โม่ที่อยู่ด้านข้างเลยป้าเหอคือเหอซูฟาง เสื้อผ้าที่เธอสวมนั้นมีชื่อเสียงระดับนานาชาติที่มีราคาแพง แหวนทับทิมขนาดใหญ่ที่นิ้วของเธอ และนาฬิกาวาเชอรอ คองสตองแตงบนข้อมือของเธอเหอซูฟางซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าราคาแพง เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหวังฟาง แต่เมื่อหลายปีก่อน เหอซูฟางและครอบครัวของเธอได้ออกจากกรุงโซลไปอยู่ในต่างประเทศ และได้รับมรดกส่วนหนึ่งของธุรกิจครอบครัวในต่างประเทศตอนนี้ธุรกิจของครอบครัวเหอซูฟางนั้นยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และธุรกิจจำนวนมากก็ถูกส่งต่อให้กับซีเหมินจือเผิงลูกชายของเธออย่างไรก็ตาม แม้ว่าซีเหมินจือเผิงจะบริหารจัดการบริษัทได้ดี แต่การแต่งงานของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำให้เหอซูฟางวิตกกังวลอย่างมาก และบังเอิญเหอซ
การตัดสินใจของหวังฟางในครั้งนี้ เธอต้องเป็นแม่สื่อการแต่งงานระหว่างกู้หยุนหลานและซีเหมินจือเผิงให้ได้เพราะภูมิหลังของครอบครัวของซีเหมินจือเผิงนั้นเหนือกว่ามาก จนหวังฟางไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ฮั่วเจี้ยนเฟิงนั้นไม่คู่ควรที่จะยกรองเท้าต่อหน้าซีเหมินจือเผิง"พวกเขามีวิลล่าหลังใหญ่ มีสระว่ายน้ำบนเนินเขา และพ่อบ้านชาวอังกฤษที่มีสำเนียงลอนดอน นี่เป็นสิ่งที่แกเห็นได้ในหนังเท่านั้น แต่มันคือชีวิตของคุณนายอย่างแน่นอน เมื่อเทียบคนรวยในประเทศเรากับครอบครัวของป้าเหอก็เหมือนค้อนทุบดิน" "พูดถึงบริษัทของป้าเหอของแก เธอทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสุขภาพ และอุปกรณ์ไฮเทคทุกอย่าง พูดสั้น ๆ มันดีสำหรับตระกูลกู้ด้วย ทันทีที่แกแต่งงาน แกสบาย ฉันกับพ่อแกก็สบาย ตระกูลของคุณปู่และตามมาด้วยตระกูลของคุณย่า หมายความว่าแกคนเดียวจะทำให้ตระกูลใหญ่ของเราทั้งตระกูลสบาย"หวังฟางพูดถึงผลประโยชน์มากมายจากครอบครัวของเหอซูฟาง โดยหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะสร้างแรงจูงใจให้กับกู้หยุนหลาน และทำให้กู้หยุนหลานหย่าขาดจากหลี่โม่ได้อย่างรวดเร็ว“หนูเข้าใจแล้ว แม่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” กู้หยุนหลานพูดอย่างหม
ในตอนเช้าตรู่ ทีมสไตลิสต์ผมบลอนด์และตาสีฟ้าเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่โดยถือกล่องเครื่องสำอางและเสื้อผ้าต่าง ๆ เพื่อจัดแต่งทรงผมให้กับซีเหมินจือเผิงเหอซูฟางยืนอยู่ข้าง ๆ และมองไปที่ซีเหมินจือเผิง "ลูก ลูกต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ แม่ส่งวันเกิดและใบหน้าของกู้หยุนหลานให้กับอาจารย์ซ้งดูแล้ว อาจารย์บอกว่าหนูสองคนเป็นเนื้อคู่กัน ถ้าพวกหนูสามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่เพียงแต่การแต่งงานและมีลูกที่น่ารักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจครอบครัวของเราด้วย”ซีเหมินจือเผิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เมื่อซีเหมินจือเผิงได้เห็นรูปของกู้หยุนหลาน ก็รู้สึกว่ากู้หยุนหลานเป็นผู้หญิงสวยที่คู่ควรกับเขายิ่งไปกว่านั้น นี่คือความคิดของแม่ ธุรกิจของครอบครัวยังไม่ตกอยู่ในมือของซีเหมินจือเผิง และซีเหมินจือเผิงก็ไม่ต้องการปฏิเสธแม่ของเขา เพราะอาจส่งผลกระทบต่อมรดกในอนาคตได้"คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะคว้าโอกาสนี้ไว้ แต่ไอ้สามีไม่เอาไหนของกู้หยุนหลานดูเหมือนจะเป็นปัญหา"เมื่อนึกถึงหลี่โม่ซีเหมินจื้อเผิงก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเหอซูฟางพูดอย่างเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยาม "มันก็แค่คนไม่เอาไหนที่กินอาหารอ่อน ๆ ลูกไม
กู้หยุนหลานโค้งริมฝีปากของเธอและพูดอย่างไม่พอใจ "เพราะหนูรู้ว่าเขาจะมาทำอะไร หลี่โม่จึงออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นไงคะ""หยุดทะเลาะกัน ปล่อยให้ไอ้ขยะนี่ลองคิดเปรียบเทียบตัวมันเองกับคนอื่น ถ้ามันรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง ไอ้ขยะ แกควรออกไป อย่าอยู่ที่นี่และทำให้หยุนหลานของเราเดือดร้อน" กู้เจี้ยนหมินพูดอย่างเย็นชาหวังฟางพยักหน้าและจ้องไปที่หลี่โม่อย่างไม่พอใจ "แกมันไร้ประโยชน์ แหกตาของแกแล้วดูดี ๆ ว่าความแตกต่างระหว่างตัวแกกับคนอื่นต่างกันขนาดไหน!"หลี่โม่ก้มหน้าก้มตากินข้าวอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ไม่สนใจคำพูดของหวังฟางทั้งนั้น"กิน กิน กิน! มันรู้แต่เรื่องกิน! ยังไม่รีบไปเก็บกวาดให้เรียบร้อย ถ้ามีใครมาเห็นขยะอย่างแกอยู่ในบ้านเรา ไม่รู้พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"หลี่โม่มองไปที่หวังฟาง วางจานข้าวของเขาอย่างเงียบ ๆ ลุกขึ้นและกลับไปที่ห้องของตัวเองกู้หยุนหลานตามหลี่โม่กลับไปที่ห้อง เธอจับมือหลี่โม่และพูดว่า "อย่าโกรธเลยนะคะ คุณแม่ของฉันก็เป็นแบบนี้ คุณก็รู้ รอฉันต้อนรับพวกเขาสักพัก แล้วเราค่อยออกไปข้างนอกกันนะคะ"หลี่โม่ยิ้มและพยักหน้า "ตามใจคุณภรรยาครับ"“ถ้าอย่างนั้นฉันจะหาเสื้อผ้าให้คุณ
หลี่โม่ก้มหน้าและไม่พูดอะไร ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดที่ยั่วยุของซีเหมินจือเผิงใบหน้าของหวังฟางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อมองไปที่ซีเหมืนจือเผิงซึ่งมีนิสัยเลือดเย็นและแข็งแกร่ง หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสุข"พี่ซูฟาง จือเผิงลูกชายของพี่หล่อจริง ๆ หยุนหลานหนูรีบทำความรู้จักกับจือเผิงสิ"หลังจากที่หวังฟางพูดจบ เธอก็ผลักกู้หยุนหลานไปยืนอยู่ต่อหน้าซีเหมินจือเผิงเบา ๆ รอยยิ้มแบบสุภาพบุรุษปรากฏบนใบหน้าของซีเหมินจือเผิง "คุณหยุนหลานสวยกว่าในรูปมาก วินาทีแรกที่ผมเห็นคุณ ผมรู้สึกหัวใจเต้นรัวเลยนะครับ""ฉันมีสามีแล้วค่ะ"กู้หยุนหลานพูดด้วยสีหน้าเย็นชาสีหน้าของหวังฟางมืดลงในทันที และเธอต้องการที่จะพูดกับซีเหมินจือเผิงแทนกู้หยุนหลานซีเหมินจือเผิงมองไปที่หลี่โม่ ยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า "ผมรู้ว่าสามีของคุณก็เป็นแค่ไอ้อ่อนที่ไม่มีประโยชน์ แต่อีกไม่นานคุณคงจะไม่ต้องการไอ้สามีที่ไม่เอาไหนคนนี้แล้ว เพราะคุณมีทางเลือกที่ดีกว่า และนั่นก็คือผม"ความเป็นประธานครอบงำซีเหมินจือเผิง หากพ่อแม่ของกู้หยุนหลานไม่อยู่ด้วยล่ะก็ ซีเหมินจือเผิงจะจัดการกู้หยุนหลานอย่างแน่นอน"จือเผิงพูดก็ถูก หยุนห
กู้เจี้ยนกั๋วและหวังฟางพาเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงเข้าไปในบ้าน ตามด้วยกู้หยุนหลานและหลี่โม่กู้หยุนหลานรู้สึกผิดต่อหลี่โม่ หลี่โม่อมยิ้มและจับมือกู้หยุนหลานไว้แน่น ส่งสัญญาณให้กู้หยุนหลานผ่อนคลายทุกคนเข้ามาในห้องรับแขกและนั่งลง หวังฟางผลักกู้หยุนหลานไปนั่งข้างซีเหมินจือเผิงเมื่อหลี่โม่ต้องการนั่งถัดจากกู้หยุนหลาน หวังฟางก็มาขัดขวางไว้ "แกจะทำอะไร แขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยมที่บ้าน จะมีที่นั่งของแกได้ไง ไปยืนห่าง ๆ และเสิร์ฟชากับน้ำโน้น"หวังฟางมองว่าหลี่โม่เป็นคนบริการ และขอให้หลี่โม่ช่วยเสิร์ฟชาและน้ำให้ซีเหมินจือเผิงยิ้มอย่างเย้ยหยัน ยกมือและพูดว่า "ไม่จำเป็นต้องให้ไอ้ขยะนี่มาบริการหรอกครับ เห็นไอ้ขยะนี่แล้วผมรู้สึกไม่สบายใจ ผมว่าให้ไอ้ขยะนี่ออกไปจากบ้านจะดีกว่า ฉันจะให้เงินนายหนึ่งหมื่นหยวน นายอยากจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของนาย"“จะต้องให้เงินมันทำไม เดี๋ยวป้าให้ไอ้ขยะนี่ออกไปเดี๋ยวนี้เอง”หลังจากที่หวังฟางพูดจบเธอก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปหาหลี่โม่“คุณแม่ อย่าทำแบบนี้นะคะ หนูจะให้หลี่โม่กลับขึ้นไปบนห้อง โอเคไหมคะ?”กู้หยุนหลานรีบวิ่งไปยืนที่ด้านข้างของหลี่โม่ ก่อนที่น้ำตาของเธอจะเ
คำพูดของกู้หยุนหลานดังมาก จนห้องนั่งเล่นเงียบลงในทันทีหลังจากนั้นไม่นานเหอซูฟางก็ขมวดคิ้วและถามว่า "ทำไมถึงได้เกิดเหตุการณ์ลักพาตัวได้ ตระกูลเล็ก ๆ ของพวกเธอ ไม่น่าเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวขึ้นได้หนิ"ซีเหมินจือเผิงพูดด้วยความเย้ยหยัน "เป็นไปได้ไหมว่าไอ้อ่อนนั้นจะจัดฉากให้ใครสักคนแสดงละคร มีการลักพาตัวด้วย ให้ตายเถอะ ตลกชะมัดยาด"กู้หยุนหลานไม่ตลกด้วย และนึกในใจว่าตอนที่เธอถูกลักพาตัว เพราะหลี่โม่ต้องการให้เธอปลอดภัย จึงยอมทนแบกรับความทุกข์ทรมานนั้นไว้หวังฟางถอนหายใจ ตบไหล่กู้หยุนหลานเบา ๆ แล้วพูดว่า "เรื่องลักพาตัวครั้งนั้น แม่ก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นะ อาจจะเป็นไปได้ ที่ไอ้ขี้โมโหนั่นมันขอให้ใครสักคนทำเรื่องนั้น แกอย่าโง่ต่อไปเลย""จะพูดเรื่องราวในอดีตกันทำไม ควรจะพูดถึงเรื่องในอนาคต หยุนหลานบริษัทของหนูก็เพิ่งจะมีปัญหาเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่เหรอ? ถ้าหนูมีคำถามอะไรก็ขอคำแนะนำจากซีเหมินจือเผิง ซีเหมินจือเผิงเขาเก่งเรื่องบริหารจัดการบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ หนูควรเรียนรู้เพิ่มเติมจากเขานะ"กู้เจี้ยนหมินเปลี่ยนเรื่องคุย ซีเหมินจือเผิงจึงพูดด้วยรอยยิ้ม "เรื่องการบริหารจัด
"หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น" เหอซูฟางประชดหวังฟาง และพูดกับซีเหมินจือเผิง ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ลูก เราควรจะกลับกันเดี๋ยวนี้ หรือว่า...""จะกลับตอนนี้ได้ยังไงครับ? ทานอาหารเที่ยงกับครอบครัวของคุณป้าหวังก่อนสิครับ ผมอยากสั่งสอนไอ้ขยะนั่นสักคำสองคำ"ความโกรธในใจของซีเหมินจือเผิงมุ่งตรงไปที่หลี่โม่ และเขารู้สึกว่า ตราบใดที่เขาทำให้หลี่โม่อับอายได้ กู้หยุนหลานก็จะเห็นถึงช่องว่างระหว่างคนทั้งสองได้มากขึ้น และกู้หยุนหลานจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในที่สุด…ในเมืองจินไห่ ลูกน้องได้พาจางจงหยางขึ้นรถ“พี่หยาง พวกเราพร้อมแล้ว และปืนที่อาจารย์ฟาให้มาเราก็พกมาด้วย”จางจงหยางพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ดุร้ายบนใบหน้าของเขา“มีข่าวอะไรเกี่ยวกับไอ้ขยะนั่นจากคนของเราที่ส่งให้ไปเฝ้าดูมันบ้างไหม?”"มีครับ ว่ากันว่ามีโรลส์รอยซ์โกสต์มาจอดที่บ้านของไอ้ขยะนั่นตั้งแต่เช้า ผู้ชายที่ลงมาจากรถตำหนิไอ้ขยะนั่น ตามที่คนของพวกเรารายงานมา ไอ้หมอนั่นดูเหมือนจะต้องการให้ไอ้ขยะนั่นและกู้หยุนหลานหย่ากัน”จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย โรลส์รอยซ์โกสต์ไม่ใช่รถที่คนทั่วไปสามารถนั่งได้ แม้ว่ามันจะด้อยกว่าแฟนทอมมาก แต่ก็เป
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา