คุณปู่หวังเดินไปหาหลี่โม่อย่างตัวสั่น หวังจินชานและคนอื่น ๆ ก็เดินตามไป“ในเมื่อเทียนเย่ คุณหลงและคุณเหวินต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะนี้ คนแก่อย่างผมคงจะต้องนั่งเป็นคนสุดท้าย”คุณปู่หวังรู้ดีแก่ใจ ในเมื่อชูจงเทียนและคนอื่น ๆ มาที่นี่เพื่อหลี่โม่และคิดว่าที่ที่หลี่โม่นั่งอยู่คือโต๊ะหลัก ถ้าอย่างนั้นคุณปู่หวังจึงไม่กล้าขอนั่งที่โต๊ะหลักตามสัญชาตญาณและยอมเป็นผู้น้อยที่นั่งสุดท้ายถ้าหากเปลี่ยนเป็นได้พบกับชูจงเทียนและอีกสองคนในโอกาสอื่น คุณปู่หวังจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะนั่งในที่นั่งสุดท้ายด้วยซ้ำคุณปู่หวังดึงเก้าอี้ออกมาและนั่งลงแต่โดยดี เขามองไปที่ชูจงเทียนและอีกทั้งสองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาต้องแสดงสีหน้าที่ดีต่อหน้าหลี่โม่ แต่คุณปู่หวังยังคงไม่สามารถระงับใบหน้านั้นไว้ได้ชั่วขณะหนึ่งชูจงเทียนทั้งสามคนไม่ได้สนใจคุณปู่หวังเลยเพราะความสนใจพุ่งไปที่หลี่โม่หมดแล้วหลี่โม่รู้สึกทำตัวไม่ถูกมากที่ถูกชูจงเทียนทั้งสามคนเฝ้ามอง บวกกับความจริงที่ว่าทุกคนในตระกูลหวังต่างจ้องมองเขาโดยยืนอยู่ข้างหลังคุณปู่หวัง ซึ่งให้หลี่โม่ไม่มีอารมณ์ที่จะทานอีกแล้ว“ผมรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย หยุนหลานและผมขอตัวกลับก่
เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของกู้หยุนหลาน หลี่โม่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมดทันใดนั้น!จู่ ๆ ก็มีรถโรลส์-รอยซ์ แฟนธอมจอดข้าง ๆ ทั้งสองคน เฉียนฝูเปิดประตูและลงมาจากรถเฉียนฝูมองไปที่หลี่โม่พร้อมรอยยิ้มแล้วเดินไปข้าง ๆ ทั้งสองคน “คุณชายหลี่ครับ ขอบคุณคุณชายหลี่ที่ช่วยเหลือในครั้งก่อนที่ทำให้ผมทำงานได้เสร็จไวมาก ผมได้ยินมาว่าคุณชายหลีมาร่วมงานวันเกิดของคุณปู่หวัง ผมเลยตัดสินใจเตรียมของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้”กู้หยุนหลานมองไปที่เฉียนฝูอย่างสงสัย จากนั้นมองไปที่หลี่โม่และถามอย่างสงสัย “คุณเตรียมอะไรไว้เหรอคะ?”“ผมช่วยคุณชายหลี่จัดเตรียมของขวัญวันเกิดให้คุณปู่หวัง แต่ผมก็ไม่รู้ความตั้งใจของคุณชายหลี่ ผมก็เลยไม่ได้ลงนามคุณชายหลี่ไป และลงนามไปแค่ว่าเป็นคุณชายหลี่”“ที่สำคัญชูจงเทียน เฉียวเจิ้งหลงและหวู่เต้าเหวินต่างก็เป็นเพื่อนของผม ผมเลยเชิญให้พวกเขามาช่วยสนับสนุนและทำให้บรรยากาศดีขึ้น ไม่ทราบว่าคุณชายหลี่พอใจกับการจัดเตรียมของผมไหมครับ?”คำพูดของเฉียนฝูเป็นตุเป็นตะ กู้หยุนหลานเกือบจะเชื่อในสิ่งที่เฉียนฝูพูดแล้วแต่เมื่อนึกถึงของขวัญวันเกิดสุดพิเศษที่ลงนามโดยคุณชายหลี่
“แล้วผมจะกลับไปจัดการให้เรียบร้อย”เมื่อเฉียนฝูเตรียมตัวจะจากไป สายตาก็มองไปที่หลี่โม่ ทันใดนั้นก็รู้ว่าหลี่โม่และกู้หยุนหลายไม่เคยขับรถ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะเสียงดัง "คุณชายหลี่ คุณหนูหยุนหลาน ผมจะกลับแล้ว ให้ผมไปส่งพวกคุณระหว่างทางไหมครับ?"หลี่โม่เหลือบมองไปที่กู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลี่โม่และเฉียนฝู จึงอยากที่จะสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าและตกลงตามข้อเสนอของเฉียนฝูเฉียนฝูและหลี่โม่เดินไปที่รถโรลส์-รอยซ์แฟนทอมพร้อมกัน หลี่โม่รีบเดินไปเปิดประตูรถก่อน เพราะกลัวว่าเฉียนฝูจะมาช่วยเปิดประตูรถให้ สิ่งนี้ยิ่งทำให้กู้หยุนหลานสงสัยเมื่อหลี่โม่ กู้หยุนหลาน เฉียนฝูขึ้นกำลังจะขึ้นไปนั่งในรถกลับมาที่ทุกคนในครอบครัวของตระกูลหวัง พวกเขาก็ตระหนักว่าควรจะออกมาส่งแขกผู้มีเกียรติกลับ เขาจึงรีบไล่แขกหลายคนออกมา แขกหลายคนไม่รู้จึงเดินตามออกมาอย่างเร่งรีบเมื่อทุกคนออกมาจากบ้าน มองเห็นหลี่โม่ กู้หยุนหลาน และเฉียนฝูยืนอยู่ข้างรถหรูโรลส์-รอยซ์แฟนทอมด้วยกัน หลี่โม่ก็เปิดประตูรถ"นี่เหรอรถโรลส์ รอยซ์? นี่หรือรถหรูระดับท็อป ดูไม่แตกต่างจากรถโรลส์
แขกแต่ละคนต่างพากันพูดคุยถึงตัวตนของเฉียนฝูกันทีละคน และเมื่อพวกเขามองไปที่เฉียนฝูแววตาของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นประกาย เหมือนกับหมาป่าที่กำลังหิวโหยเมื่อเห็นเนื้อแดง พวกเขาแต่ะละคนต้องการที่จะกระโจนเข้าไปกอดที่ต้นขาของเฉียนฝูอย่าว่าแต่การได้กอดต้นขาเลย แค่ได้สัมผัมเพียงนิ้วเท้าของเฉียนฝู ก็สามารถมีชีวิตที่มีสุขสบายและมีความสุขได้ไปทั้งชาติ"การที่สามารถพบท่านประธานเฉียนที่นี่ได้ จะต้องรีบเข้าไปทำความรู้จักเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี"“ขอแค่ได้คุยกับท่านประธานเฉียนสักคำสองคำ ก็ถือเป็นพรสำหรับคุณและฉันแล้ว ยิ่งถ้าหากสร้างความประทับใจที่ดีต่อท่านประธานเฉียนได้ ก็คงจะยิ่งตื่นเต้นจนนอนไม่หลับทั้งคืนแน่เลย""รีบเข้าไปทักทายท่านประธานเฉียนกันเถอะ ช้าไปจะไม่มีที่ยืนนะ ทุกคนเร็วเข้า"แขกทุกคนพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว คุณปู่หวังก็ลุกลี้ลุกลนอย่างกับไฟจะไหม้บ้าน และพูดด้วยความตื่นเต้นว่า "พวกแกยังจะมัวใจเย็นกันอีก รีบพาฉันไปที่นั่น ฉันจะเข้าไปทักทายท่านประธานเฉียนหวังจินซาน หวังจินไห่ช่วยกันพยุงคุณปู่หวังเดินอย่างรวดเร็วไปตรงไปที่เฉียนฝูหวังจงฉวน หวังจงเหิง หวังจงเฉิงสีหน้าของพวกเขาเริ่มแสด
"แกยังกล้าพูดจายโสกับพวกฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะพวกฉันทุกคนมีจิตใจเคารพคนแก่และรักเด็กล่ะก็ ฉันจะอัดแกให้เละจนไม่มีใครจำแกได้เลย"หวังจงเหิงและหวังจงเฉิงยังคงพูดจาอย่างไร้ยางอาย คุณปู่หวังที่ยืนอยู่ไม่ไกลตกใจมากจนเกือบจะหมดสติ แต่พวกเขายังคงพึมพำต่อไปไม่หยุด "อุบาท ใครช่างกล้าเลี้ยงไอ้อุบาทสองตัวนี้ให้โตมาได้กัน!"หนังตาของหวังจินซานและหวังจินไห่กระตุก แก้มของพวกเขาก็กระตุกหนุบ ๆ และเลือดทั่วร่างกายของพวกเขากำลังจะแข็งตัวแขกที่อยู่ด้านข้างทุกคนมองไปที่สมาชิกของตระกูลหวังด้วยสายตาแปลก ๆ รู้สึกว่าตระกูลหวังครั้งนี้จะต้องเจอกับศึกหนัก ทำให้หวู่เต้าเหวินขุ่นเคืองพวกเขายังคงหาวิธีชดเชยได้ แต่ทำให้เฉียนฝูขุ่นเคือง กลัวว่าตระกูลหวังจะถูกกำจัดได้ในชั่วพริบตาเดียว"นี่หลานชายของตระกูลหวังเป็นบ้าอะไร ทำไมกล้าพูดแบบนั้นกับท่านประธานเฉียน พวกเราอย่าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลยดีกว่า""ฉันว่าสถานการณ์ไม่น่าจะดี ท่านประธานเฉียนมีสถานะสูงส่ง ทำไมเขาถึงเก็บอาการโกรธนี้ไว้ได้”"ตระกูลหวังได้ก่อหายนะแล้วในครั้งนี้ วันนี้จากงานเลี้ยงวันเกิดคงได้เปลี่ยนเป็นงานศพ"แขกต่างกำลังซุบซิบและพูดคุยกัน หลายคนเริ่มถอยห่
ร่างกายของหวังจงเหิงและหวังจงเฉิงเริ่มแกว่งไปแกว่งมาชั่วขณะหนึ่ง ทั้งคู่เริ่มทำอะไรไม่ถูกคุกเข่าต่อเฉียนฝูยังพอทน เพราะด้วยสถานะของเฉียนฝูแล้วยังพอเป็นไปได้ แต่จะให้คุกเข่าต่อหลี่โม่ ทั้งคู่รู้สึกไม่เต็มใจอย่างมากเมื่อเห็นทั้งคู่เอาแต่ก้มหน้าไม่ขยับหรือพูดอะไร เฉียนฝูก็พูดด้วยนำเสียงเย้ยหยัน "พวกแกหลังแข็งกันมากใช่ไหม?"คุณปู่หวังเริ่มตื่นตระหนกตกใจ เมื่อรู้ว่าเฉียนฝูกำลังจะโกรธ"พวกแกสองคนจะนิ่งเฉยอยู่ทำไม รีบขอโทษหลี่โม่เร็วเข้าสิ!" คุณปู่หวังกัดฟันพูดแม้ว่าในใจคุณปู่หวังจะไม่เห็นด้วย แต่สถานการณ์พาไป เมื่อกี้ต่อให้จะต้องตบจนฟันหลุดหมดปากก็ต้องจำใจทำหวังจงเหิงและหวังจงเฉิงคุกเข่าต่อหลี่โม่ด้วยความไม่เต็มใจ “ขอโทษ พวกเราผิดไปแล้ว เมื่อกี้พวกเราพูดไปโดยไม่ได้คิด ช่วยยกโทษให้พวกเราด้วย”กู้หยุนหลานดึงหลี่โม่เบา ๆ เพื่อบอกให้หลี่โม่พอได้แล้วหลี่โม่พยักหน้าอย่างช้า ๆ พูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก "ฉันยกโทษให้พวกนาย ลุกขึ้นเถอะ"หวังจงเหิงและหวังจงเฉิงในใจเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ทั้งสองค่อย ๆ ยืนขึ้นไปหลบอยู่ข้างหลังญาติ และรู้สึกอับอายขายหน้าที่สุด“แม่งเอ๊ย ไอ้ไร้ประโยชน์นี
หวังจงเหิงและหวังจงเฉิงกลายเป็นประติมากรรมทรายอย่างสมบูรณ์ เมื่อเห็นแขกจำนวนมากทำหน้าไม่พอใจใส่พวกเขา ในใจพวกเขาก็เต็มไปด้วยความกลัว"จงเฉิง นี่พวกเราตาฝาดไปใช่ไหม คนพวกนี้ที่แท้ไปประจบประแจงพวกนั้น แต่เมื่อกี้พวกเรากลับด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ… แล้วพวกเราจะอยู่ต่อไปยังไง"หวังจงเหิงรู้สึกไม่สบายใจ ในใจคิดว่าถ้าหลี่โม่และเฉียนฝูสั่งให้จัดการฆ่าหวังจงเหิงให้ตายแล้วล่ะก็ คนรอบข้างทุกคนก็คงจะรีบกรูกันเข้ามาฆ่าเขาในเวลาพร้อมกันหวังจงเฉิงกลืนน้ำลายสองครั้งและพูดด้วยความไม่แน่ใจ "เมื่อกี้พวกเราก็คุกเข่าขอโทษไปแล้วนี่ คงจะไม่มีอะไรแล้วล่ะ อีกอย่างไอ้โง่หลี่โม่มันคงไม่ใจร้ายกับพวกเราขนาดนั้นหรอก" "ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกัน คิดว่าเมื่อกี้จะจัดการกับมันได้แล้วเชียว ไม่คิดว่าจะมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้"หวังจงเหิงและหวังจงเฉิงเต็มไปด้วยความสับสน และจิตใจของพวกเขาก็ค่อย ๆเข้าสู่การครุ่นคิด โดยสงสัยว่าหลี่โม่ทำทั้งหมดนี้ได้อย่างไรหวังจินซานกลับมามีสติอีกครั้งและดึงหวังฟางเข้ามาถามว่า "เสี่ยวฟาง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับลูกเขยของเธอ ?""ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็แค่เคยเห็นมันและเฉียนฝูอยู่ด้วยกันครั้งเดีย
กู้เจี้ยนหมินทำเป็นหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา นั่งลงทำท่าทางสบาย ๆ แต่หูของเขาผึ่งออกกว้างเพื่อรอฟังคำตอบของหลี่โม่อย่างตั้งใจ กู้หยุนหลานนั่งลงบนโซฟาแลเจ้องมองที่หลี่โม่ด้วยแววตาที่สวยงามหลี่โม่รินน้ำไปพลางพูดไปพลาง "ก็แค่เมื่อก่อนตอนอยู่ที่โรงพยาบาลเคยช่วยเหลือเขานิดหน่อย ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เฉียนฝูรู้สึกขอบคุณและพูดอยู่เสมอว่าเขาอยากจะตอบแทนผมบ้าง"หวังฟางพยายามใช้สายตาจับผิดหลี่โม่ มองดูหลี่โม่กำลังอธิบาย หวังฟางจึงรีบถามว่า "แล้วแกไปช่วยอะไรเขา ? เขาถึงได้รู้สึกเป็นบุญคุณขนาดนั้น มีอะไรที่แกจะไปช่วยเขาได้?""ตอนที่ผมเจอเขาครั้งล่าสุด หลานชายตัวน้อยของเฉียนฝูกำลังร้องไห้อย่างหนักในโรงพยาบาล ผมก็แค่แกล้งหลานของเขา หลานของเขาก็หยุดร้องไห้ คุณแม่ก็น่าจะรู้ว่าคนแก่ส่วนมากทนไม่ได้ที่จะเห็นหลานตัวเองร้องไห้ วันนั้นเฉียนฝูก็เลยขอร้องให้ผมอยู่เป็นเพื่อนหลานชายของเขาที่โรงพยาบาลทั้งวัน จนกว่าหมอจะตรวจและรักษาเสร็จ" หลี่โม่อธิบายเพียงเท่านี้หวังฟางเงียบไปครู่หนึ่งหลังจากฟังจบ เขาคิดว่าหลี่โม่ถูกชะตากับเด็กจริง ๆ และเป็นธรรมชาติของคนแก่จะรักหลานชายของตัวเอง เรื่องทั้งหมดนี้ดูแล้วก็สมเหต