มีน้ำตาอยู่ในดวงตาของกู้หยุนหลาน เธอถูกตระกูลวังตำหนิมาตลอดทั้งวัน ในใจของเธอรู้สึกผิดจนแทบทนไม่ไหวแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของคุณปู่หวัง กู้หยุนหลานก็เช็ดน้ำตาและทำได้แต่เม้มปากอย่างดื้อรั้นโดยไม่พูดอะไรเวลานี้จะให้หลี่โม่ยอมรับผิดนั้นกู้หยุนหลานทำไม่ได้ เมื่อมองดูกู้หยุนหลานไม่พูดอะไร คุณปู่หวังก็ยิ่งเดือดขึ้น ชายชรายกไม้เท้าขึ้นแล้วตะคอกใส่กู้หยุนหลาน "แกยังมีหน้ามาปกป้องไอ้สารเลวนี้อีกเหรอ!""หยุนหลาน เธออยากให้ไอ้สารเลวนี่ทำลายปู่ของเธอหรือไง? เธอเองก็เป็นคนมีการศึกษาสูงนะ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทำไมเธอถึงเลือกไอ้ไร้ประโยชน์นี่!" หวังจินไห่กล่าวหากู้หยุนหลานเมื่อเห็นว่าตระกูลกู้กำลังเล็งเป้าไปที่กู้หยุนหลาน หลี่โม่ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ และยืนอยู่ตรงหน้าหวังจงเหิง"ฉันขอโทษ เมื่อกี้เป็นความฺผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรลงไม้ลงมือ ช่วยยกโทษให้ฉันด้วย"หลี่โม่พูดอย่างไร้ความรู้สึกหวังจงเหิงจ้องไปที่หลี่โม่อย่างเย็นชา ตั้งใจจะให้หลี่โม่คุกเข่าลงและขอโทษ แต่กังวลว่าหากยังทวีความรุนแรงขึ้น คุณปู่หวังจะยิ่งโกรธ"คนไม่เอาไหนอย่างแกรู้จักคุกเข่าขอโทษด้วยเหรอ? เมื่อก
เมื่อมองไปในสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความกังวลของกู้หยุนหลาน หลี่โม่รู้ว่ากู้หยุนหลานกำลังทำเพื่อประโยชน์ของเขาเองทั้งสองมองหน้ากัน และเข้าใจความคิดที่ลึกที่สุดของอีกฝ่ายในทันที และรู้ว่าอีกฝ่ายต่างเป็นห่วงเป็นใยกันความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้ได้รับการปลดปล่อยในทันที และแววตาของหลี่โม่และกู้หยุนหลานก็มองกันด้วยแสงแห่งความรักที่ส่องประกายประกายไฟพุ่งออกมาจากแววตา ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเลือดร้อนอย่างรวดเร็วหัวใจเต้นเร็วขึ้น อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น และลมหายใจก็รุนแรงขึ้นมือขวาของหลี่โม่โอบที่เอวเรียวของกู้หยุนหลาน ศีรษะของเขาก็ค่อย ๆ ลดระดับลงทีละนิด และในที่สุดก็หยุดบนหน้าผากของกู้หยุนหลานภาพเริ่มเบลอในระยะไกล ทำให้ได้ยินเสียงหายใจเต้นถี่มากขึ้น และลมหายใจร้อนจากโพรงจมูกของทั้งสองก็พุ่งชนบนแก้มของกันและกันริมฝีปากสีแดงบาง ๆ ของกู้หยุนหลานเริ่มขยับเล็กน้อย ราวกับว่ามันเป็นสัญญาณเตือนให้เริ่มการจู่โจมได้ หลี่โม่ลดริมฝีปากลงอย่างรวดเร็ว และจูบที่ริมฝีปากสีแดงของกู้หยุนหลานอย่างรุนแรง พร้อมทั้งโอบที่ร่างกายอันบอบบางของกู้หยุนหลานไว้แน่นด้วยมือทั้งสองอารมณ์ที่ต้องเก็บกดเปลี่ยนเป
ในห้องโถงกลาง คุณปู่หวังนั่งอยู่บนที่หัวโต๊ะ หวังจินซานมอบของขวัญแสดงความยินดี พลางกล่าวสุนทรพจน์ทีละคน หลังจากที่หวังจินมอบของขวัญวันเกิดเสร็จแล้ว พวกเขาก็นั่งลงข้างคุณปู่หวัง จากนั้นก็ถึงคราวของหวังจงเหิงที่จะให้ของขวัญแสดงความยินดี หวังจงเหิงจัดเสื้อผ้าของเขาให้พร้อม เขาถือกล่องไม้จันทน์แดงเดินไปหาคุณปู่หวังและเปิดกล่องไม้จันทน์แดง "คุณปู่ นี่คือหยูอี้ที่แกะสลักจากหยก ขอให้คุณปู่มีความสุขมาก ๆ นะครับ" “ดี ๆ ขอบใจนะ” คุณปู่หวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม หวังจงเฉิงเดินไปถือรูปปั้นดาวประจำวันเกิดและพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า "คุณปู่ครับ สิ่งที่ผมมอบให้คือรูปปั้นหินรูปดาวประจำวันเกิด ผมขอให้คุณปู่มีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่ดีนะครับ" “ใช้ได้ จงเฉิงยังคงเป็นเด็กที่เอาใจใส่เสมอ” หวังซูหยุนเดินไปหาคุณปู่หวังพร้อมกับกล่องผ้าในมือของเธอ และเปิดกล่องผ้าเพื่อเผยให้เห็นโสมป่าเก่าแก่ที่อยู่ข้างใน "คุณปู่คะ สิ่งที่หนูมอบให้คุณปู่คือโสมป่าอายุร้อยปี หนูขอให้คุณปู่มีความสุขและเจริญรุ่งเรือง" "หลานรัก ปู่ชอบของขวัญชิ้นนี้" โจวชุ่ยฮวาและหานจือเต๋อก้าวไปข้างหน้าจับมือกัน และโจวชุ่ยฮวาหยิบจี้เจ้า
แม้ว่าที่นั่นจะยังเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่ แต่ตราบใดที่มันได้รับการพัฒนา มันจะกลายเป็นเสาหลักแห่งความเจริญใหม่ของเศรษฐกิจในกรุงโซล อาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งใหม่ในอนาคตของการพัฒนาเศรษฐกิจของกรุงโซล! นั่นไม่ใช่ดินแดนรกร้าง แต่กลับเป็นดินแดนสีทองเล็ก ๆ ที่ที่ซึ่งธนบัตรจำนวนนับไม่ถ้วนสามารถเติบโตได้ในอนาคต! เพราะนั่นเป็นพื้นที่รกร้างที่ซื้อโดยบริษัทหยุนจงหลานผู้ลึกลับ เพื่อเป็นสถานที่ที่ใช้สร้างคณะแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโซล! ที่ดินผืนนั้นร้อนแรงที่สุดในตอนนี้! เพราะนักลงทุนลงทุนเป็นพันล้านดอลลาร์! “ปู่มีความสุขจริง ๆ ที่มีหลานชายที่ฉลาดและมีความสามารถเช่นนี้ หลานยังมีความผูกพันกับบริษัทหยุนจงหลาน และในอนาคตตระกูลหวังจะเจริญรุ่งเรืองและกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในกรุงโซลอย่างแน่นอน” “นี่คือผู้สืบทอด หากตระกูลหวังสืบทอดโดยหวังจงฉวนในอนาคต เขาจะสามารถพัฒนาได้ดี เป็นชายหนุ่มที่มีศักยภาพสูง” "สุดยอดไปเลย หลายคนกำลังอยากทำสัญญาการพัฒนาในพื้นที่รกร้างในเขตชานเมืองทางใต้ของบริษัทหยุนจงหลาน ไม่ว่ากลุ่มการเงินกี่กลุ่มพร้อมที่จะเอาชนะ ปู่ไม่คิดว่าหวังจงฉวนจะริเริ่มก่อน" แขกรับเชิ
คำพูดของหวังจินไห่ทำให้ทุกคนนึกถึงหลี่โม่และกู้หยุนหลานที่ถูกลืมอยู่มุมห้อง หวังจงเหิงมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาที่เคียดแค้นและพูดด้วยความเย้ยหยัน "ทำไมพวกเธอถึงนิ่งไป ไม่รู้จักที่จะเป็นฝ่ายเริ่มมอบของขวัญวันเกิดแก่คุณปู่ก่อนหรือไง หรือว่าพวกเธอกำลังเคียดแค้นจงเกลียดจงชังอยู่ในใจกันล่ะ” กู้หยุนหลานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ใช่ว่าเธอไม่ต้องการให้ของขวัญวันเกิด แต่เธอไม่ได้เตรียมตัวก่อนเลยจริง ๆ เธอไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดมาด้วย แม้ว่าหลี่โม่จะปลอบเธอมาว่าเตรียมมา แต่กู้หยุนหลานก็ไม่เชื่อเลย ตอนนี้ตระกูลหวังกล่าวถึงพิธีวันเกิด กู้หยุนหลานไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร เมื่อเห็นท่าทางเฉื่อยชาของกู้หยุนกลานแล้ว หวังจงเหิงก็ยิ้มอย่างร่าเริงออกมา "ฮ่าฮ่าฮ่า เธอสองคนไม่ได้เตรียมตัวมาใช่ไหมล่ะ?" กู้หยุนหลานก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจ ไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอเม้มริมฝีปากอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็พูดอย่างกล้าหาญ "หนูลืมเอาของขวัญวันเกิดมา หนูขอโทษจริง ๆ ค่ะ" ทันทีที่คำพูดของกู้หยุนหลานเปล่งออกมา ก็เกิดความเงียบขึ้นในห้องโถง ทุกคนต่างมองไปที่กู้หยุนหลานและหลี่โม่ด้วยสายตาแปลก ๆ หวังฟางแ
หวังจงฉวนมองด้วยความงงงวย เขาไม่รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังว่าเป็นมาอย่างไร เขาจึงไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ตามอำเภอใจ สีหน้าคุณปู่หวังเปลี่ยนเป็นมืดลง เนื่องจากเขาโกรธมากจนอยากจะตีหลี่โม่ให้ตาย อย่างไรก็ตาม งานเลี้ยงวันเกิดได้เริ่มขึ้นแล้ว และไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณปู่หวังจะแสดงอารมณ์ได้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ยิ่งกว่านั้นหากเหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ มันจะทำให้ตระกูลหวังกลายเป็นตัวตลก ดังนั้นคุณปู่หวังจึงแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อนอย่างเย็นชาและค่อยจัดการเรื่องนี้ทีหลัง ขณะที่คุณปู่หวังกำลังจะพูดเพื่อสงบสติอารมณ์ พ่อบ้านที่อยู่นอกประตูก็รีบเข้ามา "ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับคุณท่าน" มีรอยยิ้มที่ตื่นเต้นบนใบหน้าของพ่อบ้าน คุณปู่หวังมองไปที่พ่อบ้านด้วยความงุนงงแล้วคิดว่า 'งานเลี้ยงวันเกิดช่างมีความสุขมากมายอะไรอย่างนี้' แต่อาหารงานเบี้ยงกำลังจะถูกสองสามีภรรยาไร้ประโยชน์แย่งไป ถ้าเรื่องนี้ถูกแพ่กระจายออกไปคงจะเป็นเรื่องตลกไปทั่วหมู่บ้าน พ่อบ้านตื่นเต้นมากจนไม่ได้สังเกตว่าคุณปู่หวังและฝูงชนมีสายตาที่ดูแปลกไป เขาจึงหยิบรายการของขวัญออกมาอ่าน “คุณท่าน มีแขกผู้มีเกียรติได้ส่งของขวัญมากม
“คุณหลี่งั้นรึ?” คุณปู่หวังตกตะลึงเล็กน้อย พลางคิดถึงคนแซ่หลี่ที่เขารู้จัก แต่หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว คุณปู่หวังก็ยังนึกไม่ออกว่าใครกันที่มีนามสกุลหลี่ ของขวัญมากมายเช่นนี้ ถ้าไม่มีทรัพย์สมบัติเป็นร้อย ๆ ล้าน คงไม่สามารถจะมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดได้แน่นอนว่าต้องมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย หวังจินซาน หวังจินไห่ และคนอื่น ๆ ก็เต็มไปด้วยความสงสัยเช่นกัน เพราะต่างก็คิดว่าในบรรดาหุ้นส่วนของตระกูลไม่มีชายใดที่มีนามสกุลหลี่เลย แต่ของขวัญวันเกิดมากมายเหล่านั้นอยู่ตรงหน้าพวกเขา หวังจินซานและคนอื่น ๆ ก็สงสัยเล็กน้อย คิดว่ามีคนส่งมาผิดหรือเปล่า? แต่งานเลี้ยงวันเกิดของคุณปู่หวังไม่ได้จัดขึ้นในโรงแรม แต่จัดที่ลานบ้านของเขาเอง ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะส่งผิด แขกเหรื่อต่างก็พึมพำเสียงต่ำเช่นกัน มองหาว่าใครเป็นคนให้ของขวัญ "พี่จ้าว พี่เป็นคนกว้างขวางมีผู้ติดต่อมากที่สุด รู้ไหมว่าใครคือคุณหลี่ที่เป็นให้ของขวัญวันเกิดนั่น" "ฉันคิดไม่ออกเลย ฉันรู้จักแขกเกือบทั้งหมดที่มาในวันนี้ ไม่มีใครชื่อหลี่เลย แล้วฉัก็นไม่เคยได้ยินตระกูลร่ำรวยที่ชื่อหลี่ในกรุงโซลด้วย คนให้ของขวัญนี่ลึกลับมากจริ
เมื่อหวังจินซานเห็นว่าไม่พบคุณหลี่ เขาคิดว่าเขาต้องกลับมาคุยหัวข้อเก่า เขาจะปล่อยให้หลี่โม่เจ้าหนูท่อตัวนี้ทำเสียโอกาสที่จะอวดลูกชายคนโตของเขาไม่ได้ “อย่าแม้แต่จะเอ่ยถึงคนไร้ค่านั่น มันทำให้ทุกคนอารมณ์เสียโดยไม่มีเหตุผล ทำลายบรรยากาศงานดี ๆ ของเรา จงฉวนรีบยกแก้วเคารพทุกท่านได้แล้ว” หวังจงฉวนยกแก้วของเขาและยืนขึ้น ทักทายกับผู้ที่มางานด้วยความเคารพ "จงฉวนมาที่นี่เพื่อขอบคุณทุกท่านที่ดูแลผม ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการคำแนะนำ ผมหวังว่าตอนนั้นทุกท่านจะยินดีที่จะให้คำแนะนำแก่ผมนะครับ" คำพูดของหวังจงฉวนเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ ซึ่งไม่เพียงแต่ยกยอตัวเองเท่านั้น แต่ยังทำให้แขกทุกคนมีความสุขอีกด้วย แขกทุกคนยกแก้วขึ้นและดื่มร่วมกับหวังจงฉวน "จงฉวนมีช่างเก่งจริง ๆ ครั้งนี้เขาชนะสัญญาการพัฒนาพื้นที่รกร้างในเขตชานเมืองทางใต้ ถ้าเขามีความสัมพันธ์กับบริษัทหยุนจงหลาน ในอนาคตเขาจะไร้ขีดจำกัด" "บริษัทหยุนจงหลานลงทุนครั้งใหญ่ในครั้งนี้ ฉันได้ยินมาว่ากลุ่มที่อยู่เบื้องหลังนั้นทรงพลังมาก ตราบใดที่คุณใกล้ชิดกับพวกเขา คุณจะมีเงินมากมายในอนาคต" "ตราบใดที่พื้นที่รกร้างในชานเมืองทางตอนใต้สามารถพัฒ
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา