สามารถดูแลจัดการสถานเสริมความงามได้ดี นั่นแสดงให้เห็นว่าหลี่โม่ไม่ได้ดูคนผิดจริง ๆ และยังพิสูจน์ให้เห็นว่า ฉินเยว่เป็นคนที่มีความสามารถ “ไม่แย่ ช่วงเวลานี้ลำบากคุณแล้ว” “นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ ถ้าหากปราศจากการเลื่อนตำแหน่งจากเจ้านาย ฉันก็คงไม่ประสบความสำเร็จเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้” ฉินเยว่ตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย และคิดในใจว่าคงจะดีถ้าหลี่โม่ยังไม่ได้แต่งงาน หลี่โม่ปิดสมุดบัญชีแล้วใช้นิ้วมือเคาะบนโต๊ะ "ธุรกิจของร้านเป็นไปได้ดีนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของทุกคน เริ่มตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เงินเดือนพื้นฐานของทุกคนจะเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ คุณไปแจ้งทุกคนว่า ขอเพียงทุกคนขยันทำงาน ผมก็จะไม่ปฏิบัติต่อทุกคนไม่ดี" ฉินเยว่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อล้นออกมา เคยทำงานหนักมามากมายและได้พบกับเจ้านายหลายรูปแบบ แต่ฉินเยว่ไม่เคยเจอเจ้านายที่ใจกว้างขนาดนี้แบบหลี่โม่ เจ้านายเหล่านั้นล้วนกดพนักงานสุดขีด มีคุณงามความดีล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้านาย และแน่นอนว่าคุณงามความดีจะไม่เกี่ยวข้องกับเงินของพนักงานแม้แต่ครึ่งเดียว ผู้ที่สามารถจ่ายโบนัสพิเศษเพิ่มสามถึงห้าพันบาท
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับหลี่โม่เลยที่จะมอบฐานตำแหน่งที่กว้างที่สุดแก่พนักงานเหล่านี้ของสถานเสริมความงาม เพียงแค่หลี่โม่พูดออกจากปากอย่างตามใจ เขาก็สามารถเปลี่ยนสถานเสริมความงามแห่งนี้ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมความงามชั้นนำได้อย่างง่ายดาย พนักงานเหล่านี้ถูกจุดประกายไฟเลือดร้อนด้วยคำพูดของหลี่โม่แล้ว และพวกเขาแต่ละคนต่างกำลังคิดถึงอนาคตอย่างหลงใหล “เจ้านายคอยดูความพยายามของเราเถอะค่ะ ได้ทำงานกับคุณทำให้เรารู้สึกสบายสุด ๆ แล้ว” "เราจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน บางทีเราอาจจะเปิดสาขาได้ในปีนี้" “ทุกคนมาทำงานหนักด้วยกันเถอะ หาเงินให้เจ้านายมากขึ้นในอนาคต ก็หาเงินให้ตัวพวกเราเองได้มากขึ้นด้วย ขอบคุณเจ้านายที่ให้โอกาสเราค่ะ!” ฉินเยว่มองไปยังเหล่าพนักงานที่กระตือรือร้น จากนั้นก็มีรอยยิ้มที่ตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้า ลูกน้องต่างมีความกระตือรือร้นมากขนาดนี้ และตามผลงานของฉินเยว่แล้วก็คงได้เปิดสาขาไม่ยาก ภายใต้เจ้าหน้าที่และลูกน้องที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ผลประกอบการของสถานเสริมความงามจะไต่ขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อแอบ ๆ มองไปที่หลี่โม่ ในใจของฉินเยว่ก็ดูเหมือนว่าจะมีลูกกระต่ายตัวหนึ่งวิ่ง
“ไม่ล่ะ ๆ ผมไม่ชินกับพวกนั้น คุณไปทำงานเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก” ฉินเยว่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากปรับความคิดแล้วก็ออกจากสำนักงานและรีบไปทำงาน หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น และเมื่อรอจนถึงเวลาที่ใกล้จะเลิกงาน เขาก็ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายสักครู่ “เจ้านายคะ ไหน ๆ ก็มีงานเลี้ยงอาหารค่ำ ฉันเลยให้พนักงานทุกคนเลิกงานเร็วกว่าครึ่งชั่วโมง รถก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้สามารถออกเดินทางได้เลยค่ะ” ฉินเยว่กล่าวด้วยความตื่นเต้น "ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ" หลี่โม่ออกจากห้องทำงานพร้อมกับฉินเยว่ และพนักงานในร้านทั้งหมดต่างก็รวมตัวกันแล้ว จากนั้นก็ตามหลี่โม่ออกจากสถานเสริมความงาม รถเพื่อการพาณิชย์หลายคันของสถานเสริมความงามก็จอดลงตรงหน้าประตูของร้านแล้ว รถเชิงพาณิชย์ทุกคันเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ทั่วไปในประเทศ "ขึ้นรถ" หลี่โม่โบกมืออย่างภาคภูมิใจและเข้าไปนั่งในรถเชิงพาณิชย์ก่อน ฉินเยว่รีบตามขึ้นรถแล้วนั่งข้างหลี่โม่ พนักงานขึ้นรถทีละคน และรถเชิงพาณิชย์ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวแล้วเริ่มขับไปที่ร้านอาหารถังซ่ง ไม่นานก็มาถึงร้านอาหารถังซ่ง หลังจากจอดรถในลานจอดรถแล้ว หลี่โม่พร้อมก
กู้ชิงหลินชี้ไปที่หลี่โม่และตะโกนว่าเสียงดัง หลี่โม่ขมวดคิ้วมุ่น ฉินเยว่และคนอื่น ๆ ยังคงพูดคุยและหัวเราะกันในวินาทีก่อน และในวินาถีต่อมาก็ได้ยินเสียงดุว่าจากกู้ชิงหลิน ทุกคนต่างพากันก็จ้องไปที่กู้ชิงหลิน วันนี้หลี่โม่ได้เลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้กับทุกคน นอกจากนี้ยังนำพาทุกคนไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต ในช่วงเวลาที่สวยงามเช่นนี้ มีคนมาดุว่าผู้นำทางของพวกเธอ ซึ่งทำให้ฉินเยว่และคนอื่น ๆ ต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโดยตรง “คุณเป็นใคร มาพูดคุยกับเจ้านายของเราได้ยังไง” เยว่พูดอย่างโกรธจัด “โอ้ว หลี่โม่คนไร้ค่านี่กลายเป็นเจ้านายแล้วเหรอ หรือว่าให้ผู้หญิงมากมายขนาดนี้เป็นเจ้านายกันล่ะ พระเจ้า หลี่โม่นี่นายกำลังจะขึ้นสวรรค์เหรอ หรือว่านายกลายเป็นแมงดาไปแล้วจริง ๆ” กู้ชองหลินตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “แมงดาสมัยนี้ช่างโหดร้ายมากไปแล้ว พาคนแบบนี้ออกมาข้างนอก ช่างไม่กลัวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาคุมตัวไปจริง ๆ นี่มันน่าตลกมาก ถ้าอย่างนั้นฉันโทรไปรายงานสักครู่” พี่เฟยเขย่าโทรศัพท์ แล้วหรี่ตามองหลี่โม่ พี่หยุนหัวเราะเย้ยหยัน แล้วโอบแขนกู้ชิงหลินและพูดว่า "คนไร้ค่านี่แน่จริงนี่หว่า รู้จักเร
คำพูดที่พ่นออกมาจากหลี่โม่ ทำให้พนักงานทุกคนต่างมองหลี่โม่ด้วยสายตาที่คาดหวังและรอฟังการตัดสินใจชั่วคราวของหลี่โม่ "ผมตัดสินใจว่าการประเมินผลงานครั้งใหญ่ตอนส่งท้ายปีนั้น พนักงานสิบคนที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดจะได้รับรางวัลเป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู" พนักงานทุกคนต่างตกตะลึง รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูสำหรับพวกเธอแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมและมีสถานะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่แล้วหลี่โม่ถึงกับเสนอของที่มีค่าราคาแพงขนาดนี้เพื่อมาเป็นรางวัลสำหรับการแข่งขันสิ้นปี “เจ้านายคะ นี่… นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ?” "เป็นเรื่องจริงแน่นอน ผมพูดได้ก็ทำได้ ที่หนึ่งจะได้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 7 และที่สองถึงห้าได้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 5 ตามมาด้วยที่ห้าถึงสิบได้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 3 ขอเพียงแค่พวกคุณตั้งใจทำงาน ความฝันทั้งหมดก็ล้วนจะกลายเป็นจริง" ทันใดนั้นพนักงานทุกคนต่างก็ตื่นเต้นขึ้นมา และเสียงยินดีปรีดาก็สามารถทำให้หลังคาพลิกได้ "เจ้านายจงเจริญ! คุณเป็นเจ้านายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ฉันเคยพบเจอเลยค่ะ" “ฉันจะมุ่งมั่นขยันสุดตัวเพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งอย่างแน่นอน!” "เจ้านา
“คนไร้ค่าอย่างแกยังมากินอาหารที่ร้านอาหารของครอบครัวฉันได้ ไม่เลวเลยนี่ แต่ฉันได้ยินมาว่าเดือน ๆ นึงหยุนหลายให้ค่าครองชีพแกไม่กี่พันบาทนี่ ในร้านฉันเงินนั่นไม่พอแม้แต่จะสั่งอาหารสองจานด้วยซ้ำ” “ฉันก็เลยอยากจะถามแกว่า คนต่ำต้อยอย่างแกไปเอาเงินมาจากไหน คงไม่ได้ขโมยเงินของหยุนหลานมาเลี้ยงคนอื่นหรอกใช่ไหม พาผู้หญิงมาเยอะขนาดนี้ แกนี่ทำให้ฉันได้ปเปิดหูเปิดตาจริง ๆ” สีหน้าของฉินเยว่และคนอื่น ๆ ต่างดูไม่ดีขึ้นมา และต่างมองชายหนุ่มที่กำลังพูดด้วยความโมโหพร้อมกัน “นี่ ทำไมพวกเธอถึงมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ ดูพวกเธอแต่งตัวสิ ล้วนมาจากแผงขายของริมถนนและเป็นของเลียนแบบ คนจน ๆ แบบนี้ไม่คู่ควรที่จะมากินอาหารที่ร้านอาหารของฉัน แต่ว่าพวกเธอโชคดี ที่ไม่โดนฉันเห็นก่อน ไม่อย่างนั้นแม้แต่ประตูร้านอาหารฉันก็เข้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ” “นายคือหวงจิงซานใช่ไหม?” หลี่โม่ขมวดคิ้วและถาม หวงจิงซานเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นมหาวิทยาลัยของกู้หยุนหลาน และเป็นหนึ่งในคนที่ตามจีบ หวงจิงซานผู้ซึ่งมีอำนาจ แต่ก็จีบกู้หยุนหลานไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่ากู้หยุนหลานแต่งงานกับหลี่โม่แล้ว ในใจหวงจิงซานก็รู้สึกเกล
"มีเงินแล้วมันวิเศษมากเหรอ?" หลี่โม่ถามด้วยรอยยิ้ม หวงจิงซานชะงักครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นและหัวเราะขึ้นมา "ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอนว่ามีเงินก็ต้องวิเศษสิ ฉันมีเงินแล้วก็สามารถสัมผัสใช้ชีวิตที่ดีที่สุด สามารถซื้อรถหรูและอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หรู ลูก ๆ ของฉันได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และไปพบแพทย์ที่ดีที่สุดเมื่อป่วย ต่อให้ไปตายแล้ว ก็สามารถเข้าไปในสุสานที่หรูหราที่สุดได้” “แล้วคนต่ำต้อยอย่างนายล่ะ? นายไม่มีรถไม่มีบ้าน ลูก ๆ ไปโรงเรียนและไปพบแพทย์ยังต้องดูสภาพอีก เข้าแถวรอการจัดเตรียม หลังจากที่ตายก็ต้องอยู่ในสุสานที่ถูกที่สุด ไม่สิ คนต่ำต้อยอย่างแกไม่จำเป็นต้องมีสุสาน เพราะว่าแกไม่คู่ควร อย่างแกเหมาะสมที่จะหาดินมาฝังศพก็แล้ว ปล่อยให้สุนัขป่าขุดร่างกายของแกแล้วกินเข้าไป" “มนุษย์เกิดมาเท่าเทียมกัน เงินไม่สามารถวัดทุกอย่างได้ แม้ว่านายจะร่ำรวย แต่ธาตุแท้ของนายต่ำตมนัก แม้แต่คุณสมบัติของการเป็นมนุษย์ก็ไม่คู่ควร” หลี่โม่พูดเยาะเย้ยอย่างเย็นชา “นายพูดบ้าอะไร กล้าพูดว่าฉันไม่มีคุณสมบัติ ฉันไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรทั้งนั้นแหละ คนยากจนอย่างพวกนาย! สภาพที่มีคุณสมบัติของฉัน เดิมทีพวกนายก็ไม่มีสิท
เมื่อได้ยินชื่อหวู่เต้าเหวิน หวงจิงซานก็ตกตะลึงครู่หนึ่ง ได้ยินเกี่ยวกับหลี่โฑม่แบบนั้นก็ค่อนข้างประหลาดใจ เกินความคาดหมายของหวงจิงซานมาก เมื่อหรี่ตามองไปที่หลี่โม่ หวงจิงซานก็ยิ้มอย่างเย้ยหยันและพูดว่า "นายรู้ไหมว่าคนต่ำต้อยนั่นเป็นใคร? ลูกเขยที่ไร้ประโยชน์ของตระกูลกู้ไงล่ะ เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกินประทังชีพชื่อว่าหลี่โม่ นายบอกว่าหวู่เต้าเหวินเป็นคนจองห้องส่วนตัวให้เขา นายแน่ใจนะว่าไม่ได้เล่นตลก?” ผู้จัดการหวังมองหลี่โม่ด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อได้ยินหวงจิงซานแนะนำหลี่โม่แบบนี้ ในใจผู้จัดการหวังก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา “แต่ถ้าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์จริง ๆ ผมเกรงว่าหวู่เต้าเหวินคงไม่ช่วยจองห้องส่วนตัวให้เขาหรอกนะครับ” “ให้ตายเถอะ! ปกตินายฉลาดมีไหวพริบจะตาย ทำไมครั้งนี้ถึงสับสนแล้วล่ะ หวู่เต้าเหวินบริหารภัตตาคารอาหารหรูด้วยตัวเอง ถ้าหากว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่โม่จริง ๆ ล่ะก็ จะยอมปล่อยให้หลี่โม่มาทานอาหารที่นี่เหรอ? คงจะจัดเตรียมอาหารมื้อใหญ่ที่ภัตตาคารอาหารหรูตั้งแต่แรกแล้ว” ผู้จัดการหวังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โดยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเหตุผลเดียวกัน แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของหวู่เต้
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา