คนขับเร่งความเร็วในทันที และไม่นานรถยนต์ก็หยุดลงที่บ้านของกู้หยุนหลาน เด็กผู้ชายที่รออยู่ริมถนนวิ่งเข้าไปเปิดประตูรถยนต์ “คุณชายหลี่ อาหารมื้อดึกได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เชฟเจิ้งทำต้มน้ำพะโล้และเครื่องเคียง” หลี่โม่รับกล่องเก็บความร้อนที่เด็กผู้ชายมอบให้แล้วเดินเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านแล้ว หวังฟางที่กำลังดูทีวีอยู่ก็ขมวดคิ้วทันที และมองหลี่โม่อย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ดึกดื่นขนาดนี้แล้วแกไปมั่วสุมที่ไหนมา! คนไร้ค่าอย่างแกนี่อันที่ดีไม่รู้จักเรียนรู้ไว้ เรื่องออกไปข้างนอกนี่เร็วจังนะ บาร์หรือไปไนต์คลับล่ะ! คนต่ำต้อยอย่างแกไม่รู้จักสำนึกหน่อยเหรอ ไม่รู้เหรอว่าตัวเองมีสภาพยังไง!" สีหน้าหลี่โม่ดูหมองลงครู่หนึ่ง แล้วอธิบายว่า "แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมไปช่วยเพื่อนมา ไม่ได้ไปมั่วสุมที่ไหน" “ไม่ใช่อะไรกันล่ะ ฉันได้ยินทุกอย่างเมื่อกี้ตอนที่หยุนหลานโทรหาแก คนต่ำต้อยอย่างแกยังจะกล้าปฏิเสธอีก! ฉันไม่ใช่คนที่แกจะหลอกได้ง่าย ๆ อย่ามาแสร้งเป็นว่าไม่ได้ทำ!” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของหวังฟาง กู้หยุนหลานก็ออกมาจากห้อง และพูดหว่านล้อมว่า "แม่คะ เกิดอ
คุณชายซูนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยราวกับสุนัขที่ตายแล้ว แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่จิตวิญญาณของเขาไม่สามารถทนต่อความเสียหายรุนแรงได้ คุณชายซูซึ่งเคยเป็นที่น่าเกรงขามอยู่ในเมืองหลวง เมื่อมาถึงเมืองฮั่นก็ถูกหลี่โม่ทุบต่อยเข้าใบหน้า เรื่องนี้ทำให้คุณชายทนไม่ได้จริง ๆ “อาเล็ก ผมอยากให้คนมากำจัดไอ้หลี่โม่นั่น มันแข็งแกร่งมากแล้วยังไง ว่ากันว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ ผมไม่เชื่อว่าคนร้อยคนจะไม่สามารถกำจัดมันได้ ถ้าหากว่าหนึ่งร้อยคนไม่ได้ก็เพิ่มเป็นห้าร้อยคน ถ้าห้าร้อยคนไม่ได้ก็หนึ่งพันคนไปเลย!” ไว้ค่อย ๆ คิดไปเรื่อยอะไรนั่น สำหรับคุณชายซูแล้วเขาไม่สนใจเลยสักนิด ไม่มีการแก้แค้นชั่วข้ามคืนในโลกนี้ หากวันนี้มีความแค้นก็ต้องล้างแค้นในวันนี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นความอับอายอัปยศ ซูเหวินปินกำลังสูบบุหรี่ และมุมตาของเขากระตุกเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏในความคิดของเขาคือทุกฉากของหลี่โม่ที่ต่อสู้ในสังเวียน ภายใต้ชูจงเทียนสามารถมีคนฝีมือเก่งกาจขนาดนี้อย่างหลี่โม่ ทำให้หัวใจของซูเหวินปินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดบนท้องถนนคือการข้ามเขตแดน ครั้งนี้ซูเหวินปิน
ในรุ่งเช้า หลี่โม่ตื่นแต่เช้า และยุ่งกับการทำอาหารเช้าให้กู้หยุนหลานและทั้งครอบครัว หวังฟางมองไปยังอาหารเช้าที่หลี่โม่กำลังเสิร์ฟ แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า "แกทำแค่ขนมปัง นี่แกล้อเล่นใช่ไหม ใส่ผักใบเขียวกับน้ำสลัด ก็มาเสิร์ฟแล้ว แกกำลังให้อาหารหมูหรือไง?" “แม่ครับ แซนด์วิชทำแบบนี้ ผมใส่อกไก่เพิ่มเข้าไปด้วยแล้วครับ” หลี่โม่อธิบายอย่างอ่อนแรง “เหอะ เพิ่มอกไก่แล้วยังไง ฉันไม่ค่อยชอบกินอาหารชุดนี้ แกไม่รู้จักทำอาหารที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาหรือไง นมถั่วเหลือง ปาท่องโก๋ เต้าหู้ ทำไม่เป็นเหรอ? แมงดาเกาะผู้หญิงกินอย่างแกช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านทั้งวัน แต่ไม่รู้จักทำอาหารอร่อย ๆ" กู้เจี้ยนหมินขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่พอใจว่า "ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะว่านาย ถ้าหากว่านายชอบอาหารแบบตะวันตก นายก็ทำกินเองเถอะ เรายังคงชอบอาหารเช้าแบบดั้งเดิม ไปทำให้ฉันใหม่" “ทำใหม่อะไรกันล่ะ นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว รอให้มันทำเสร็จก็คงถึงมื้อเที่ยงพอดี เราออกไปกินข้าวกันเถอะ เห็นหน้าคนต่ำต้อยนี่แล้วฉันกินไม่ลง” หวังฟางลุกขึ้นอย่างโกรธจัดแล้วเดินออกไป กู้เจี้ยนหมินก็จ้องเขม็งไปที่หล
เจ้านายมาตรวจดูกะทันหัน เป็นลูกจ้างต้องทำอย่างไร? พนักงานต้อนรับทั้งสองต่างก็มีคำถามนี้ขึ้นมาในใจพร้อมกัน และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเวลาที่ตัวเองต้องแสดงมาถึงแล้ว หากว่าสามารถแสดงความกระตือรือร้นและทำให้ตัวเองอยู่ในสายตาของเจ้านายได้ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะได้รับเลื่อนตำแหน่ง และก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตกำลังรอตัวเองอยู่ พนักงานต้อนรับทั้งสองต่างสบตากันและมีแสงแห่งความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตา สมองเต็มไปด้วยสารพัดความคิดและไหวพริบ จัดระเบียบคำที่ประจบสอพลอ หลี่โม่เดินช้า ๆ จนถึงหน้าประตูสถานเสริมความงาม พนักงานต้อนรับทั้งสองโค้งเก้าสิบองศาด้วยความตื่นเต้น และตะโกนพูดพร้อมกันว่า “สวัสดีค่ะเจ้านาย” “เจ้านายคุณไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เราคิดถึงเจ้านายมาก ๆ เลยนะคะ คิดไม่ถึงว่าเจ้านายจะมาที่นี่วันนี้” “เจ้านายเชิญเลยค่ะ ดิฉันจะไปตามผู้จัดการฉิน และขอให้เจ้านายให้คำแนะนำกับเราด้วยนะคะ เราทุกคนยินดีรับฟังคำแนะนำของเจ้านาย” มุมปากของหลี่โม่กระตุกขึ้นเล็กน้อย นึกถึงฉากที่ถูกดูถูกที่นี่เมื่อครั้งที่แล้ว แต่ตอนนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน “อืม พวกคุณทำงานกันต่อเถอะ ผมจะเข้าตรวจดูข้า
สามารถดูแลจัดการสถานเสริมความงามได้ดี นั่นแสดงให้เห็นว่าหลี่โม่ไม่ได้ดูคนผิดจริง ๆ และยังพิสูจน์ให้เห็นว่า ฉินเยว่เป็นคนที่มีความสามารถ “ไม่แย่ ช่วงเวลานี้ลำบากคุณแล้ว” “นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ ถ้าหากปราศจากการเลื่อนตำแหน่งจากเจ้านาย ฉันก็คงไม่ประสบความสำเร็จเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้” ฉินเยว่ตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย และคิดในใจว่าคงจะดีถ้าหลี่โม่ยังไม่ได้แต่งงาน หลี่โม่ปิดสมุดบัญชีแล้วใช้นิ้วมือเคาะบนโต๊ะ "ธุรกิจของร้านเป็นไปได้ดีนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของทุกคน เริ่มตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เงินเดือนพื้นฐานของทุกคนจะเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ คุณไปแจ้งทุกคนว่า ขอเพียงทุกคนขยันทำงาน ผมก็จะไม่ปฏิบัติต่อทุกคนไม่ดี" ฉินเยว่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อล้นออกมา เคยทำงานหนักมามากมายและได้พบกับเจ้านายหลายรูปแบบ แต่ฉินเยว่ไม่เคยเจอเจ้านายที่ใจกว้างขนาดนี้แบบหลี่โม่ เจ้านายเหล่านั้นล้วนกดพนักงานสุดขีด มีคุณงามความดีล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้านาย และแน่นอนว่าคุณงามความดีจะไม่เกี่ยวข้องกับเงินของพนักงานแม้แต่ครึ่งเดียว ผู้ที่สามารถจ่ายโบนัสพิเศษเพิ่มสามถึงห้าพันบาท
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับหลี่โม่เลยที่จะมอบฐานตำแหน่งที่กว้างที่สุดแก่พนักงานเหล่านี้ของสถานเสริมความงาม เพียงแค่หลี่โม่พูดออกจากปากอย่างตามใจ เขาก็สามารถเปลี่ยนสถานเสริมความงามแห่งนี้ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมความงามชั้นนำได้อย่างง่ายดาย พนักงานเหล่านี้ถูกจุดประกายไฟเลือดร้อนด้วยคำพูดของหลี่โม่แล้ว และพวกเขาแต่ละคนต่างกำลังคิดถึงอนาคตอย่างหลงใหล “เจ้านายคอยดูความพยายามของเราเถอะค่ะ ได้ทำงานกับคุณทำให้เรารู้สึกสบายสุด ๆ แล้ว” "เราจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน บางทีเราอาจจะเปิดสาขาได้ในปีนี้" “ทุกคนมาทำงานหนักด้วยกันเถอะ หาเงินให้เจ้านายมากขึ้นในอนาคต ก็หาเงินให้ตัวพวกเราเองได้มากขึ้นด้วย ขอบคุณเจ้านายที่ให้โอกาสเราค่ะ!” ฉินเยว่มองไปยังเหล่าพนักงานที่กระตือรือร้น จากนั้นก็มีรอยยิ้มที่ตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้า ลูกน้องต่างมีความกระตือรือร้นมากขนาดนี้ และตามผลงานของฉินเยว่แล้วก็คงได้เปิดสาขาไม่ยาก ภายใต้เจ้าหน้าที่และลูกน้องที่ปฏิบัติตามคำสั่ง ผลประกอบการของสถานเสริมความงามจะไต่ขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อแอบ ๆ มองไปที่หลี่โม่ ในใจของฉินเยว่ก็ดูเหมือนว่าจะมีลูกกระต่ายตัวหนึ่งวิ่ง
“ไม่ล่ะ ๆ ผมไม่ชินกับพวกนั้น คุณไปทำงานเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก” ฉินเยว่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากปรับความคิดแล้วก็ออกจากสำนักงานและรีบไปทำงาน หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่น และเมื่อรอจนถึงเวลาที่ใกล้จะเลิกงาน เขาก็ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายสักครู่ “เจ้านายคะ ไหน ๆ ก็มีงานเลี้ยงอาหารค่ำ ฉันเลยให้พนักงานทุกคนเลิกงานเร็วกว่าครึ่งชั่วโมง รถก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว ตอนนี้สามารถออกเดินทางได้เลยค่ะ” ฉินเยว่กล่าวด้วยความตื่นเต้น "ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ" หลี่โม่ออกจากห้องทำงานพร้อมกับฉินเยว่ และพนักงานในร้านทั้งหมดต่างก็รวมตัวกันแล้ว จากนั้นก็ตามหลี่โม่ออกจากสถานเสริมความงาม รถเพื่อการพาณิชย์หลายคันของสถานเสริมความงามก็จอดลงตรงหน้าประตูของร้านแล้ว รถเชิงพาณิชย์ทุกคันเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ทั่วไปในประเทศ "ขึ้นรถ" หลี่โม่โบกมืออย่างภาคภูมิใจและเข้าไปนั่งในรถเชิงพาณิชย์ก่อน ฉินเยว่รีบตามขึ้นรถแล้วนั่งข้างหลี่โม่ พนักงานขึ้นรถทีละคน และรถเชิงพาณิชย์ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวแล้วเริ่มขับไปที่ร้านอาหารถังซ่ง ไม่นานก็มาถึงร้านอาหารถังซ่ง หลังจากจอดรถในลานจอดรถแล้ว หลี่โม่พร้อมก
กู้ชิงหลินชี้ไปที่หลี่โม่และตะโกนว่าเสียงดัง หลี่โม่ขมวดคิ้วมุ่น ฉินเยว่และคนอื่น ๆ ยังคงพูดคุยและหัวเราะกันในวินาทีก่อน และในวินาถีต่อมาก็ได้ยินเสียงดุว่าจากกู้ชิงหลิน ทุกคนต่างพากันก็จ้องไปที่กู้ชิงหลิน วันนี้หลี่โม่ได้เลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้กับทุกคน นอกจากนี้ยังนำพาทุกคนไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต ในช่วงเวลาที่สวยงามเช่นนี้ มีคนมาดุว่าผู้นำทางของพวกเธอ ซึ่งทำให้ฉินเยว่และคนอื่น ๆ ต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟโดยตรง “คุณเป็นใคร มาพูดคุยกับเจ้านายของเราได้ยังไง” เยว่พูดอย่างโกรธจัด “โอ้ว หลี่โม่คนไร้ค่านี่กลายเป็นเจ้านายแล้วเหรอ หรือว่าให้ผู้หญิงมากมายขนาดนี้เป็นเจ้านายกันล่ะ พระเจ้า หลี่โม่นี่นายกำลังจะขึ้นสวรรค์เหรอ หรือว่านายกลายเป็นแมงดาไปแล้วจริง ๆ” กู้ชองหลินตอบกลับด้วยความประหลาดใจ “แมงดาสมัยนี้ช่างโหดร้ายมากไปแล้ว พาคนแบบนี้ออกมาข้างนอก ช่างไม่กลัวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาคุมตัวไปจริง ๆ นี่มันน่าตลกมาก ถ้าอย่างนั้นฉันโทรไปรายงานสักครู่” พี่เฟยเขย่าโทรศัพท์ แล้วหรี่ตามองหลี่โม่ พี่หยุนหัวเราะเย้ยหยัน แล้วโอบแขนกู้ชิงหลินและพูดว่า "คนไร้ค่านี่แน่จริงนี่หว่า รู้จักเร