รถแท็กซี่จอดที่หน้าประตูสนามประลอง เหอปินประคองคุณชายซูลงจากรถ ทั้งสองรีบเข้าไปทางประตูข้างของสนามประลอง “เร็วสิ หวังว่าจะมาทันนะ ฉันอยากเห็นเจ้าบ้าหลี่โม่นั่นตายต่อหน้าฉัน!” “อย่ารีบสิครับ คุณวิ่งช้า ๆ ลงหน่อย” เหอปินพูดอย่างเป็นกังวล ร่างกายของคุณชายซูยังคงบาดเจ็บ แต่เมื่อคิดว่า หลี่โม่จะกลายเป็นศพก็ทำให้เลือดในร่างกายของเขาสูบฉีด ราวกับจักรวาลเล็ก ๆ ถูกจุดประกายขึ้นมา เมื่อชายรูปร่างกำยำที่เฝ้าประตูเห็นคุณชายซู ก็รีบเปิดประตูพาเหอปินกับคุณชายซูเข้าไปข้างในสนามประลอง “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง เจ้าบ้าแซ่หลี่นั่นตายหรือยัง ฉันรีบมาเพราะอยากเห็นว่ามันจะตายยังไง” คุณชายซูก่นด่า “ยังต่อสู้กันอยู่ครับ สถานการณ์ค่อนข้าง… ผิดปกติเล็กน้อย” ชายรูปร่างกำยำที่เดินนำทางไม่รู้จะอธิบายให้คุณชายซูฟังอย่างไรดี จึงทำได้เพียงใช้คำว่าผิดปกติ “ผิดปกติ? ผิดปกติอะไรกัน เจ้าหลี่โม่นั่นมันก็แค่คนจน แค่อาของฉันดีดนิ้วทีเดียวมันก็ตายแล้ว” “คุณชายซูเข้าไปดูเองเถอะครับ เดินตรงเข้าไปก็ถึงแล้วครับ” เหอปินประคองคุณชายซูเดินเข้าไปตามทางเดิน เมื่อออกมาจากทางเดิน ก็เห็นหลังของซูเหวินปิน คุณชายซูกวาดต
“ดี!” คุณชายซูตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ปรบมืออย่างพอใจ ราวกับได้ดูศิลปะการแสดงอย่างไรอย่างนั้น ท่านหวงกับท่านหม่าก็หยุดสูบบุหรี่เช่นกัน ทั้งสองตั้งใจดูการต่อสู้ระหว่างหลี่โม่กับอาหลงและอาหู่ ทั้งสองคาดหวังให้หลี่โม่ชนะ อย่าให้พวกเขาต้องสูญเสีย แล้วซูเหวินปินได้หน้า ในเมื่อเสียก็ควรจะเสียไปด้วยกันถึงจะถูก แต่ทว่าทั้งสองคนทำได้เพียงคิดอยู่ในใจ โดยไม่กล้าพูดอะไรออกมา สีหน้าของซูเหวินปินดูเป็นกังวลเล็กน้อย เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมา หลี่โม่ยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา แขนยื่นออกมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า และจับขาที่กำลังจะเตะเข้ามาของอาหลง แรงมหาศาลจับอยู่ตรงข้อเท้าของอาหลง อาหลงตกใจ ตอนที่เขาจะขัดขืนมันก็สายไปเสียแล้ว เสียงกร๊อบดังขึ้น ข้อเท้าของอาหลงถูกหลี่โม่บีบจนแตก จากนั้นหลี่โม่ก็เหวี่ยงร่างของอาหลง ราวกับกำลังเหวี่ยงขวานยักษ์ เขาเหวี่ยงร่างอาหลงไปกระแทกกับอาหู่ อาหู่ตะลึงจนลืมตาอ้าปากค้าง ราวกับลูกตาจะถลนออกมา “พี่!” “รีบหลบเร็ว!” อาหลงกลั้นความเจ็บปวดแล้วตะโกนออกมา “แกปล่อยพี่ฉันเดี๋ยวนี้!” อาหู่พุ่งตัวมาข้างหน้าด้วยความโกรธอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งไปหาหลี่โม
หลี่โม่ลงมาจากเวทีประลอง เขานวดข้อมือแล้วเดินเข้าไปหาคุณชายซู คุณชายซูตกใจจนขนลุกไปทั้งตัว “แก แกคิดจะทำอะไร ฉันขอเตือนว่าอย่าเข้ามานะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ปล่อยแกไว้แน่!” เหอปินมองหลี่โม่ที่เต็มไปด้วยความอาฆาต เขาถอยหลังอย่างหวาดกลัวโดยไม่ได้ดึงคุณชายซูมาด้วย คุณหวงกับคุณหม่ากลัวจนหัวหด ไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมา ซูเหวินปินรวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “แกจะทำอะไร การแข่งขันจบลงแล้ว พวกแกชนะแล้ว เรายอมแพ้ และจะไปจากที่นี่” “จะไปก็ได้ แต่ขอให้ฉันสั่งสอนมันก่อน อยากให้ครอบครัวของฉันตายทั้งครอบครัวไม่ใช่หรือ อย่างนั้นฉันจะทำให้ครอบครัวของแกตายแบบไม่มีที่ฝังศพ” หลี่โม่พูดจบก็ยกมือตบไปที่หน้าของคุณชายซู ซูเหวินปินถึงกับหน้ากระตุก ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะห้ามหลี่โม่เอาไว้ เขาสามารถฆ่าคนโหดเหี้ยมอย่างอาหลง อาหู่ได้อย่างง่ายดาย ซูเหวินปินคิดว่าต่อให้ตนเองจะเอาปืนมาเผชิญหน้ากับหลี่โม่ ตัวเองก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่โม่ เพียะ! ถูกตบหน้าอีกครั้ง ทำให้เลือดไหลออกมาจากปากของคุณชายซู เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ในหัว ฝ่ามือของหลี่โม่ทำให้เขามึนงงไปหมด “นี่แค่บทเรียนเล็กน้
คนขับเร่งความเร็วในทันที และไม่นานรถยนต์ก็หยุดลงที่บ้านของกู้หยุนหลาน เด็กผู้ชายที่รออยู่ริมถนนวิ่งเข้าไปเปิดประตูรถยนต์ “คุณชายหลี่ อาหารมื้อดึกได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เชฟเจิ้งทำต้มน้ำพะโล้และเครื่องเคียง” หลี่โม่รับกล่องเก็บความร้อนที่เด็กผู้ชายมอบให้แล้วเดินเข้าไปในบ้านด้วยรอยยิ้ม เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านแล้ว หวังฟางที่กำลังดูทีวีอยู่ก็ขมวดคิ้วทันที และมองหลี่โม่อย่างหงุดหงิดเล็กน้อย “ดึกดื่นขนาดนี้แล้วแกไปมั่วสุมที่ไหนมา! คนไร้ค่าอย่างแกนี่อันที่ดีไม่รู้จักเรียนรู้ไว้ เรื่องออกไปข้างนอกนี่เร็วจังนะ บาร์หรือไปไนต์คลับล่ะ! คนต่ำต้อยอย่างแกไม่รู้จักสำนึกหน่อยเหรอ ไม่รู้เหรอว่าตัวเองมีสภาพยังไง!" สีหน้าหลี่โม่ดูหมองลงครู่หนึ่ง แล้วอธิบายว่า "แม่ครับ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมไปช่วยเพื่อนมา ไม่ได้ไปมั่วสุมที่ไหน" “ไม่ใช่อะไรกันล่ะ ฉันได้ยินทุกอย่างเมื่อกี้ตอนที่หยุนหลานโทรหาแก คนต่ำต้อยอย่างแกยังจะกล้าปฏิเสธอีก! ฉันไม่ใช่คนที่แกจะหลอกได้ง่าย ๆ อย่ามาแสร้งเป็นว่าไม่ได้ทำ!” เมื่อได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายของหวังฟาง กู้หยุนหลานก็ออกมาจากห้อง และพูดหว่านล้อมว่า "แม่คะ เกิดอ
คุณชายซูนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยราวกับสุนัขที่ตายแล้ว แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่จิตวิญญาณของเขาไม่สามารถทนต่อความเสียหายรุนแรงได้ คุณชายซูซึ่งเคยเป็นที่น่าเกรงขามอยู่ในเมืองหลวง เมื่อมาถึงเมืองฮั่นก็ถูกหลี่โม่ทุบต่อยเข้าใบหน้า เรื่องนี้ทำให้คุณชายทนไม่ได้จริง ๆ “อาเล็ก ผมอยากให้คนมากำจัดไอ้หลี่โม่นั่น มันแข็งแกร่งมากแล้วยังไง ว่ากันว่าสองหมัดยากจะสู้สี่มือ ผมไม่เชื่อว่าคนร้อยคนจะไม่สามารถกำจัดมันได้ ถ้าหากว่าหนึ่งร้อยคนไม่ได้ก็เพิ่มเป็นห้าร้อยคน ถ้าห้าร้อยคนไม่ได้ก็หนึ่งพันคนไปเลย!” ไว้ค่อย ๆ คิดไปเรื่อยอะไรนั่น สำหรับคุณชายซูแล้วเขาไม่สนใจเลยสักนิด ไม่มีการแก้แค้นชั่วข้ามคืนในโลกนี้ หากวันนี้มีความแค้นก็ต้องล้างแค้นในวันนี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเป็นความอับอายอัปยศ ซูเหวินปินกำลังสูบบุหรี่ และมุมตาของเขากระตุกเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏในความคิดของเขาคือทุกฉากของหลี่โม่ที่ต่อสู้ในสังเวียน ภายใต้ชูจงเทียนสามารถมีคนฝีมือเก่งกาจขนาดนี้อย่างหลี่โม่ ทำให้หัวใจของซูเหวินปินเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดบนท้องถนนคือการข้ามเขตแดน ครั้งนี้ซูเหวินปิน
ในรุ่งเช้า หลี่โม่ตื่นแต่เช้า และยุ่งกับการทำอาหารเช้าให้กู้หยุนหลานและทั้งครอบครัว หวังฟางมองไปยังอาหารเช้าที่หลี่โม่กำลังเสิร์ฟ แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า "แกทำแค่ขนมปัง นี่แกล้อเล่นใช่ไหม ใส่ผักใบเขียวกับน้ำสลัด ก็มาเสิร์ฟแล้ว แกกำลังให้อาหารหมูหรือไง?" “แม่ครับ แซนด์วิชทำแบบนี้ ผมใส่อกไก่เพิ่มเข้าไปด้วยแล้วครับ” หลี่โม่อธิบายอย่างอ่อนแรง “เหอะ เพิ่มอกไก่แล้วยังไง ฉันไม่ค่อยชอบกินอาหารชุดนี้ แกไม่รู้จักทำอาหารที่อร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาหรือไง นมถั่วเหลือง ปาท่องโก๋ เต้าหู้ ทำไม่เป็นเหรอ? แมงดาเกาะผู้หญิงกินอย่างแกช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านทั้งวัน แต่ไม่รู้จักทำอาหารอร่อย ๆ" กู้เจี้ยนหมินขมวดคิ้วและพูดด้วยความไม่พอใจว่า "ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะว่านาย ถ้าหากว่านายชอบอาหารแบบตะวันตก นายก็ทำกินเองเถอะ เรายังคงชอบอาหารเช้าแบบดั้งเดิม ไปทำให้ฉันใหม่" “ทำใหม่อะไรกันล่ะ นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว รอให้มันทำเสร็จก็คงถึงมื้อเที่ยงพอดี เราออกไปกินข้าวกันเถอะ เห็นหน้าคนต่ำต้อยนี่แล้วฉันกินไม่ลง” หวังฟางลุกขึ้นอย่างโกรธจัดแล้วเดินออกไป กู้เจี้ยนหมินก็จ้องเขม็งไปที่หล
เจ้านายมาตรวจดูกะทันหัน เป็นลูกจ้างต้องทำอย่างไร? พนักงานต้อนรับทั้งสองต่างก็มีคำถามนี้ขึ้นมาในใจพร้อมกัน และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเวลาที่ตัวเองต้องแสดงมาถึงแล้ว หากว่าสามารถแสดงความกระตือรือร้นและทำให้ตัวเองอยู่ในสายตาของเจ้านายได้ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะได้รับเลื่อนตำแหน่ง และก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตกำลังรอตัวเองอยู่ พนักงานต้อนรับทั้งสองต่างสบตากันและมีแสงแห่งความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตา สมองเต็มไปด้วยสารพัดความคิดและไหวพริบ จัดระเบียบคำที่ประจบสอพลอ หลี่โม่เดินช้า ๆ จนถึงหน้าประตูสถานเสริมความงาม พนักงานต้อนรับทั้งสองโค้งเก้าสิบองศาด้วยความตื่นเต้น และตะโกนพูดพร้อมกันว่า “สวัสดีค่ะเจ้านาย” “เจ้านายคุณไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว เราคิดถึงเจ้านายมาก ๆ เลยนะคะ คิดไม่ถึงว่าเจ้านายจะมาที่นี่วันนี้” “เจ้านายเชิญเลยค่ะ ดิฉันจะไปตามผู้จัดการฉิน และขอให้เจ้านายให้คำแนะนำกับเราด้วยนะคะ เราทุกคนยินดีรับฟังคำแนะนำของเจ้านาย” มุมปากของหลี่โม่กระตุกขึ้นเล็กน้อย นึกถึงฉากที่ถูกดูถูกที่นี่เมื่อครั้งที่แล้ว แต่ตอนนี้แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน “อืม พวกคุณทำงานกันต่อเถอะ ผมจะเข้าตรวจดูข้า
สามารถดูแลจัดการสถานเสริมความงามได้ดี นั่นแสดงให้เห็นว่าหลี่โม่ไม่ได้ดูคนผิดจริง ๆ และยังพิสูจน์ให้เห็นว่า ฉินเยว่เป็นคนที่มีความสามารถ “ไม่แย่ ช่วงเวลานี้ลำบากคุณแล้ว” “นั่นล้วนเป็นสิ่งที่ฉันควรทำค่ะ ถ้าหากปราศจากการเลื่อนตำแหน่งจากเจ้านาย ฉันก็คงไม่ประสบความสำเร็จเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้” ฉินเยว่ตอบกลับด้วยดวงตาเป็นประกาย และคิดในใจว่าคงจะดีถ้าหลี่โม่ยังไม่ได้แต่งงาน หลี่โม่ปิดสมุดบัญชีแล้วใช้นิ้วมือเคาะบนโต๊ะ "ธุรกิจของร้านเป็นไปได้ดีนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความพยายามของทุกคน เริ่มตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป เงินเดือนพื้นฐานของทุกคนจะเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ คุณไปแจ้งทุกคนว่า ขอเพียงทุกคนขยันทำงาน ผมก็จะไม่ปฏิบัติต่อทุกคนไม่ดี" ฉินเยว่รู้สึกซาบซึ้งจนน้ำตาเอ่อล้นออกมา เคยทำงานหนักมามากมายและได้พบกับเจ้านายหลายรูปแบบ แต่ฉินเยว่ไม่เคยเจอเจ้านายที่ใจกว้างขนาดนี้แบบหลี่โม่ เจ้านายเหล่านั้นล้วนกดพนักงานสุดขีด มีคุณงามความดีล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้านาย และแน่นอนว่าคุณงามความดีจะไม่เกี่ยวข้องกับเงินของพนักงานแม้แต่ครึ่งเดียว ผู้ที่สามารถจ่ายโบนัสพิเศษเพิ่มสามถึงห้าพันบาท