หัวหน้าห้องเครื่องและกลุ่มคนงานที่ยืนอยู่ด้านข้าง กำลังมองดูกู้เผิงเฟยพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยความตกตะลึง คนนี้นะหรือที่ทุกคนเรียกว่าคนไร้ค่า? คนไร้ค่าสมัยนี้เก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ? ถ้าหากเจ้าคนไร้ค่านี่บ้าคลั่งขึ้นมาและฆ่าคนไม่ยั้งมือ เลือดคงจะเจิ่งนองไปทั่วห้องเครื่องหรือเปล่า? เมื่อนึกแบบนี้แล้ว ทุกคนก็กลัวจนตัวสั่น สายตาที่มองหลี่โม่ก็เปลี่ยนไป หลี่โม่ปฏิบัติต่อกู้เผิงเฟยเช่นนี้ ก็เพื่อจะเชือดไก่ให้ลิงดู หากเขาไม่สามารถทำให้คนในห้องเครื่องกลัวเขาได้อย่างรวดเร็ว ก็คงจะต้องถูกขัดขวางและถ่วงเวลาไปอีกนาน เพื่อกู้หยุนหลาน หลี่โม่ตัดสินใจที่จะกำจัดคนชั่วให้ถึงที่สุด กู้หยุนหลานเป็นกังวลในใจ เธอกลัวว่าหลี่โม่จะใจร้อนจนพลั้งมือฆ่ากู้เผิงเฟยจริง ๆ เธอรีบเข้าไปจับแขนของหลี่โม่แล้วตะโกน “หลี่โม่ใจเย็น ๆ รีบปล่อยเขาเร็วเข้า เขากำลังจะถูกคุณบีบคอตายอยู่แล้ว ถ้ามีคนตายขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่!” ดวงตาที่เย็นชาของหลี่โม่ทิ่มแทงเข้าในหัวใจของกู้เผิงเฟย กู้เผิงเฟยรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว ให้ตายเถอะ หลี่โม่เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ สายตาแบบนั้น เป็นสายตาที่กล้าฆ่าคนแน่นอน! “ฉั
ความผิดนี้ต้องปัดให้พ้นตัวอยู่แล้ว แต่กู้เผิงเฟยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะปัดอย่างไรให้น่าดู กู้หยุนหลานส่งสายตาซักถามไปที่หลี่โม่ ราวกับว่าในตอนนี้ หลี่โม่ได้กลายเป็นแกนนำไปเสียแล้ว หลี่โม่ยิ้มและตบไหล่กู้เผิงเฟย แต่กู้เผิงเฟยตัวสั่นและเกือบจะทรุดลงบนพื้นด้วยความตกใจ “ฉันพูด ฉันจะพูดทุกอย่าง กู้เจี้ยนกั๋วและกู้ซิ่งเหว่ยเป็นคนสั่งให้เราหยุดการผลิตที่นี่และถ่วงเวลาเอาไว้ ส่วนเรื่องอื่นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ” “ที่ฉันทำแบบนี้เพราะถูกบังคับ ฉันไม่มีทางเลือก พวกเขาข่มขู่ฉัน ถ้าฉันไม่ทำตามที่พวกเขาบอก พวกเขาจะไล่ฉันออก เธอก็รู้ว่าสถานการณ์ของครอบครัวฉันเป็นยังไง ฉันต้องเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว ฉันแค่...” กู้เผิงเฟยร่ายยาวออกมาเป็นชุด “พอแล้ว เลิกแสดงละครน้ำเน่าได้แล้ว อีกเดี๋ยวคุณจะบอกว่ายังมีแม่อายุแปดสิบปีและลูกชายวัยแปดขวบที่ต้องเลี้ยงดูอีกใช่ไหมล่ะ” หลี่โม่พูดพลางหัวเราะ “ฉัน… ฉันมีแม่อายุแปดสิบปีจริง ๆ ไม่ใช่สิ เป็นคุณยายอายุแปดสิบปีน่ะ” กู้เผิงเฟยกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลี่โม่ซักถามและได้คำตอบทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องน
ในเวลาเดียวกันนี้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเคาะประตูบ้านของกู้หยุนหลาน หลังทราบข่าวจากพี่ตาว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอดใจไม่ไหว รีบรุดมาเยาะเย้ยหลี่โม่ หลังพี่ตาวถูกชูจงเทียนตำหนิยกใหญ่ ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แสร้งบอกฮั๋วเจี้ยนเฟิงว่าได้จัดการหลี่โม่แล้ว เพื่อให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิงโอนเงินงวดสุดท้ายให้เขา หลังฮั๋วเจี้ยนเฟิงโอนเงินงวดสุดท้ายไปด้วยความดีใจ จึงรีบไปซื้อของฝากให้ครอบครัวกู้หยุนหลานทันที เพื่อเยาะเย้ยและสร้างความอับอายให้แก่หลี่โม่ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของตน เปิดประตูบ้าน หวังฟางเห็นแก้มของฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคงมีรอบบวมแดงอยู่ จึงเกิดความรู้สึกโกรธแค้นขึ้นในใจ “เจี้ยนเฟิงเองเหรอ รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อนเถอะ” “ผมซื้อเครื่องสำอาง และแผ่นมาร์คหน้ามาให้คุณป้าครับ สามารถลดอาการปวดบวมได้เป็นอย่างดี ผมเองก็ลองใช้ดูแล้ว ดีขึ้นมากทีเดียว” หวังฟางได้ยินก็แทบจะร้องไห้ ช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นจริง ๆ ตนเองถูกตบจนหน้าบวม ยังไม่ลืมซื้อของมาฝากอีก เมื่อเทียบกับคนไร้ค่าอย่างหลี่โม่แล้ว เขาใส่ใจมากกว่าหลายเท่านัก “เธอควรพักฟื้นอยู่ที่บ้าน เป็นถึงเจ้าคนนายคน รักษาแผลให้หายดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องอับอายต่อหน้าล
“แต่ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไรนักหรอกนะ เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยของเพื่อน แต่หลี่โม่ไม่มีเอกสารรับรองการศึกษา ทำงานรักษาความปลอดภัย ก็ถือว่าดีมากสำหรับเขาแล้ว” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน กู้หยุนหลานถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ไม่ว่ากู้หยุนหลานจะพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งกู้หยุนหลานเองก็หวังว่าหลี่โม่จะหางานดี ๆ ทำ อย่างไรเสียผู้ชายก็ไม่เหมาะสมที่จะทำงานในร้านเสริมสวยสักเท่าไหร่ หลี่โม่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ราวกับว่าสิ่งที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตน เพื่อไม่ให้กู้หยุนหลานต้องวางตัวลำบากระหว่างตนกับแม่ของเธอ หลี่โม่จึงยินดีแบกรับความอัปยศเอาไว้กับตนเอง หวังฟางเหลือบมองหลี่โม่ และพูดเสียงดังว่า “หลี่โม่ เพื่อที่จะหางานให้แกทำ เจี้ยนเฟิงอุตส่าห์ใช้เส้นสายในวงการ แกยังไม่รีบขอบคุณเขาอีกหรือ” “อ๋อ รอให้จัดการเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยขอบคุณจะดีกว่า เพราะหากทำไม่ได้ ไม่เท่ากับว่าเป็นการขอบคุณโดยเปล่าประโยชน์หรือครับ” หลี่โม่ตอบเบา ๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะท้องแข็ง “เจ้าคนไร้ค่า นายนี่มันลูกไม้เยอะจริง ๆ ฉันบอกว่าจัดการได้ก็ต้องจัดการได้แ
คุณหลี่คือใคร? คุณหลี่ก็คือหลี่โม่ไม่ใช่หรือ หรือว่าหลี่โม่ยังมีฐานะอื่นอีก? ภูมิหลังที่ทำให้พี่ตาวตกใจถึงเพียงนี้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ฮั๋วเจี้ยนเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดจะส่งข้อความถามพี่ตาวอีกครั้ง หวังฟางก็พากู้หยุนหลานกับหลี่โม่มาถึงพอดี เห็นหลี่โม่และคนอื่น ๆ มาถึง ฮั๋วเจี้ยนเฟิงจึงเก็บโทรศัพท์ ไม่ได้ทำอะไรต่อ “หยุนหลาน แกไปนั่งที่นั่งข้างคนขับเร็วเข้าสิ” หวังฟางส่งสายตาให้กู้หยุนหลาน กู้หยุนหลานแสร้งทำเป็นไม่เห็น เดินไปนั่งด้านหลังทันที หวังฟางโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ จึงเดินไปนั่งที่นั่งข้างคนขับแทน ฮั๋วเจี้ยนเฟิงมองกระจกหลัง เห็นกู้หยุนหลานกับหลี่โม่ที่นั่งอยู่แถวหลัง ก็แอบยิ้มมุมปากอย่างมีนัย “คุณป้า หยุนหลาน เพื่อนของผมเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลระดับสูงของเจียงซานกรุ๊ป และเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล เรื่องจัดหาตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคงไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้ารู้ว่าเป็นงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเจียงซานกรุ๊ป ผู้คนในเมืองฮั่นต่างก็แย่งกันเข้าไปทำงาน แน่นอนว่ารายได้มากกว่าทำงานร้านเสริมสวยหลายเท่า” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงกำลังสาธยายเส้นสายในวงการธุรกิจและความส
แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หากนายน้อยต้องการฝากงานให้คนอื่น เพียงต่อสายโทรศัพท์หาเขาโดยตรงก็พอแล้ว ทำไมถึงไม่มาหาเขาเป็นการส่วนตัว? แต่ทำไมไปที่ฝ่ายบุคคล? ความคิดมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเจียงเฉิง แต่เจียงเฉิงกลับเดาเหตุผลการมาของหลี่โม่ในครั้งนี้ไม่ออกจริง ๆ “ผมเข้าใจแล้ว ครั้งนี้คุณทำได้ดีมาก หลังจากผมตรวจสอบแล้ว จะย้ายคุณไปทำงานส่วนกลางพร้อมทั้งเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือนให้” เจียงเฉิงพูด “ขอบคุณมากค่ะท่านประธาน!” พนักงานแผนกต้อนรับสาววางสายโทรศัพท์ด้วยความตื่นเต้นอย่างมาก อยากจะวิ่งไปหอมแก้มของหลี่โม่ซักฟอดใหญ่ คำสัญญาที่เจียงเฉิงให้นั้น ทำให้สาวพนักงานต้อนรับดีใจจนเนื้อเต้น เจียงเฉิงถือโทรศัพท์ลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ วางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่อง และจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย “ต้องไปพบนายน้อยให้ได้ ดูจากสถานการณ์แล้ว นายน้อยคงไม่ต้องการให้เปิดเผยฐานะของเขา” เจียงเฉิงเตรียมความพร้อม จัดระเบียบความคิดเล็กน้อย เพื่อเลี่ยงไม่ให้พูดอะไรผิดพลาดออกไป มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ไม่อาจประจบประแจงได้ แต่อาจทำให้ถูกเหยียบจนจมดินได้อีกด้วย …… ฮั่วเจี้ยนเฟิ
“นายหมายความว่ายังไง หางานให้นายทำยังไม่ยินดีอีก นายคิดว่าคนไร้ประโยชน์อย่างนายมีค่าแค่ไหนกัน หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเจี้ยนเฟิง ฉันไม่มีทางสนใจนายด้วยซ้ำ! ทั่วทั้งเมืองฮั่น มีใครไม่รู้บ้างว่านายเป็นตัวอะไร!” “มาถึงที่นี่แล้วยังจะเสแสร้งอะไรอีก นายคิดว่าทำเช่นนี้แล้ว จะสลัดคราบราชาแมงดาออกไปได้หรือไง? รีบคุกเข่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ แล้วฉันจะยอมให้อภัยนายสักครั้ง ไม่อย่างนั้น วันนี้นายอย่าคิดที่จะออกไปจากประตูของเจียงซานกรุ๊ปได้ง่าย ๆ !” ไป่จื่อห่าวเดือดดาลสุดขีด หลายปีมานี้ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีเช่นนี้กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไป่จื่อห่าวขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดเยินยอต่าง ๆ นานา ทำให้ไป่จื่อห่าวกลายเป็นคางคกขึ้นวอตัวหนึ่งไปแล้ว “นายพูดเหมือนกับนายเป็นประธานเจียงซานกรุ๊ป ฉันอยากจะหัวเราะจริง ๆ” กู้หยุนหลานเห็นว่าเหตุการณ์ชักจะบานปลายใหญ่โต จึงรีบกระซิบว่า “หลี่โม่ พูดให้น้อยลงหน่อย ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสม พวกเราก็กลับ ไม่ต้องไปโต้เถียงให้มากความ” หวังฟางจ้องกู้หยุนหลานตาเขม็ง จากนั้นจึงตะคอกใส่หลี่โม่ว่า “รีบขอโทษผู้จัดการไป๋เดี๋ยวนี้! คนไร้ประโยชน์อย
เมื่อเจียงเฉิงเห็นรอยยิ้มของหลี่โม่ ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกโล่งอก นายน้อยมีความสุขเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ! “ไป่จื่อห่าว เมื่อกี้นี้คุณจัดงานให้คุณชายหลี่ยังไง คุณจัดงานตำแหน่งไหน” เจียงเฉิงถามด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านประธานครับ ผมจัดให้เขาไปที่โกดังในตำแหน่งคนเฝ้าประตู นั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่มีนัยสำคัญแน่นอน ผมไม่กล้าแหกกฎของบริษัทเรา เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่เอื้ออำนวยต่อมนุษยสัมพันธ์” ไป๋จื่อห่าวพูดพลางแอบสังเกตเจียงเฉิงไปด้วย อยากจะดูว่าความโกรธของเจียงเฉิงเป็นอย่างไร แต่เมื่อไป๋จื่อห่าวเห็นดวงตาของเจียงเฉิงลุกเป็นไฟ เขาก็รู้สึกตกใจทันที! “เจ้าทึ่ม! หัวสมองแกโดนลาเตะไปแล้วใช่ไหม? จัดการแบบนี้ไปได้ยังไง! แกไม่ต้องเป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลแล้วพรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่โกดังที่แกพูดซะ ไปเป็นคนเฝ้าประตูไป!” เจียงเฉิงเดือด! ไป่จื่อห่าวทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ให้ตัวเองที่เป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ไปเป็นคนเฝ้าประตูที่โกดัง นี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรมนุษย์อย่างมากเลยนะ ไม่รอให้ไป่จื่อห่าวเข้าใจ เจียงเฉิงก็พูดต่อว่า "อย่าแม้แต่คิดเกี่ยวกับการลาออกและเปลี่ยนงาน