กู้เจี้ยนกั๋วกล่าวอย่างโหดเหี้ยม การพัฒนาธุรกิจของกู้หยุนหลานที่ผ่านมา ทำให้ทั้งกู้เจี้ยนกั๋วและกู้ซิ่งเหว่ยรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม ทั้งสองตัดสินใจร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เพื่อให้การทำงานที่โรงงานวัตถุดิบทางการแพทย์หยุดชะงัก และทำให้กู้หยุนหลาน ไม่สามารถส่งมอบสินค้าตามคำสั่งซื้อของหรงคังกรุ๊ปได้ตรงตามเวลา และเมื่อถึงตอนนั้น คงต้องชดใช้ค่าเสียหายมูลค่ามหาศาลอย่างแน่นอน ตราบใดที่สามารถกดดันกู้หยุนหลานได้ พวกเขาจึงจะสามารถควบคุมธุรกิจของครอบครัวให้ดีขึ้นได้ และได้รับผลกำไรที่มากขึ้น กู้ซิ่งเหว่ยวางโทรศัพท์ลง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองพนักงานสองสามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า “สิ่งที่สั่งพวกนายไปก่อนหน้านี้ จำได้หรือยัง?” “จำได้ครับ พี่ซิ่งเหว่ยวางใจเถอะครับ ทันทีที่พวกเราลงมือ รับรองว่าสายการผลิตวัตถุดิบจะหยุดชะงักลงทันที ตราบใดที่เราไม่บอกว่าปัญหาอยู่ที่ไหน พวกเขาจะไม่มีทางค้นเจอสาเหตุของปัญหาได้เลย และสายการผลิตจะไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติอย่างแน่นอน” ชายที่เป็นหัวหน้ากล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “อย่างนั้นก็ดี หากทำเรื่องนี้สำเร็จ พวกนายเองก็ได้ผลประโยช
กู้หยุนหลานเคยได้ยินชื่อเสียงของหลูหมิงเชิง เขาถือเป็นเจ้าแห่งการเอารัดเอาเปรียบเลยก็ว่าได้ “จุดที่คุณควรให้ความสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่แม่ของเราถูกทำร้ายหรอกหรือ?” หลี่โม่ถามด้วยความสงสัย กู้หยุนหลานกลอกตา และพูดอย่างไม่พอใจนัก “หลังจากที่ฉันสนใจแล้ว ยังไงต่อล่ะ? จะให้บ่นเกี่ยวกับเรื่องที่แม่ของฉันออกหน้าแทนฮั๋วเจี้ยนเฟิง หรือจะให้โกรธเรื่องที่คุณดูแลแม่ของฉันได้ไม่ดี” เรื่องที่หวังฟางโดนตบหน้า กู้หยุนหลานจงใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่หลี่โม่กลับยกขึ้นมาพูดอย่างไม่คิด ไม่ว่าจะเข้าข้างใคร กู้หยุนหลานก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี หลี่โม่เกาหัวเบา ๆ รู้สึกเหมือนว่าเขาพูดอะไรผิดอีกครั้ง “อ๋อ จริง ๆ แล้วเป็นเพราะผมไม่ทันรู้ตัว พอผมตั้งสติได้มันก็สายไปเสียแล้ว” หลี่โม่อธิบายเบา ๆ กู้หยุนหลานเหลือบมองไปที่หลี่โม่ เมื่อเห็นท่าทางของหลี่โม่ ก็อดขำไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายแล้ว ยิ่งอธิบายยิ่งแย่ มาพูดถึงเรื่องที่คุณทำสำเร็จได้ยังไงดีกว่า ไม่รู้มาก่อนเลยว่า คุณจะมีความสามารถยอดเยี่ยมแบบนี้” “ไม่ใช่ว่าผมเก่ง แต่เป็นเพราะผมใช้วิธีเขียนเสือให้วัวกลัวต่างหาก โดยอาศัยชื่อเสียงของเพื่อนร่วมชั้นทำให
“คุณระวังตัวด้วย ถ้าพวกเขาคิดจะลงไม้ลงมือ พวกเราก็รีบหนีกันเถอะ” กู้หยุนหลานเตือน “ถ้าพวกเขาลงไม้ลงมือจริง ๆ คุณรีบหนีไปก่อนนะ ผมจะระวังหลังให้เอง” หลี่โม่หันมาหัวเราะ กู้หยุนหลานรู้สึกอบอุ่นใจ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าในที่สุดหลี่โม่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ขนาดนั้น อย่างน้อยช่วงเวลาสำคัญเขายังเป็นลูกผู้ชายพอ พี่หู่เหลือบมองหลี่โม่ และพูดข่มขู่ “น้องชาย ฉันจะให้เวลาแกสิบวินาทีเพื่อให้แกรีบไสหัวออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจนะ” “พวกนายเป็นใคร ทำไมถึงมาขวางประตูที่นี่” กู้หยุนหลานที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่โม่ได้ถามขึ้น “ฉันเป็นพี่ใหญ่ของถิ่นนี้ โรงงานของคุณไม่ได้จ่ายคุ้มครองให้ฉัน แน่นอนว่าฉันต้องพาบรรดาลูกน้องของฉันมาเรียกเก็บเงินอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณยอมมานอนกับพวกเรา ก็พอที่จะละเว้นค่าคุ้มครองทั้งหมดได้ พวกเราว่าใช่ไหม?” พี่หู่หัวเราะ “พี่หู่พูดถูก ขอแค่คนสวยไปกับเรา ค่าคุ้มครองทั้งหมดก็เป็นอันละเว้น” “อย่าว่าแต่ละเว้นค่าคุ้มครองเลย เรายังสามารถให้คนสวยกินดีอยู่ดี และใช้ชีวิตที่สุขสบายเหนือคนอื่นได้” พวกของพี่หู่ต่างเลือดร้อน ตอนนี้พวกเขาคิดที่จะดึงกู้หยุนหลาน
เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับพี่หู่ บรรดาลูกน้องของพี่หู่ต่างก็ถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้าไปช่วยพี่หู่เลยสักคน ต่างแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า พรรคพวกตายไปก็ไม่เป็นไร แต่ตนเองต้องรอด กู้หยุนหลานมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเห็นคนเหล่านั้นถูกหลี่โม่ต่อยจนเกิดรอยฟกช้ำขึ้นทั้งที่จมูกและใบหน้า ก็ยิ่งทำให้เธอประหลาดใจมากขึ้น เมื่อครู่ที่หลี่โม่พุ่งเขานั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมายเพียงลำพัง! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลี่โม่ไม่เพียงแต่ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่ตัวเขาเองกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานไม่อาจเข้าใจได้เลย สามีที่ไร้ประโยชน์ของตน เก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่เพียงแต่กู้หยุนหลานที่ไม่อาจเข้าใจได้ สำหรับพี่หู่เอง ก็ยากที่จะเข้าใจได้เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อเขาพาพวกลูกน้องไปไหนมาไหนก็ตาม เพียงแค่ยืนนิ่งก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว ทว่าตอนนี้ กลับต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่กล้าประจันหน้ากับคู่ต่อสู้กลุ่มใหญ่เพียงลำพัง และที่สำคัญ ชายคนนี้ไม่มีใบหน้าที่แสดงออกถึงความโหดเห
หลี่โม่เกาหัวพร้อมยิ้ม คาดเดาไม่ออกเลยว่าสายตาเช่นนั้นหมายถึงอะไร หรือเพราะเธอรังเกียจที่เขาพูดมากเกินไป หรือรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ถูกต้อง ทั้งสองเดินอย่างเงียบ ๆ ภายในโรงงานมีชายร่างผอมอายุประมาณสามสิบกว่า สวมใส่ชุดสูท และกำลังเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา “คนที่เป็นหัวหน้าคือกู้เผิงเฟย เดี๋ยวคุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะคุณไม่ได้ทำงานในบริษัทของครอบครัวอยู่แล้ว” หลี่โม่พยักหน้า เพื่อไม่ให้กู้หยุนหลานลำบากใจ ความคับข้องใจของหลี่โม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย “อ้าว หยุนหลานมาแล้วเหรอ จู่ ๆ ที่นี่ก็เกิดปัญหาขึ้น ฉันส่งคนไปซ่อมแซมแล้วแหละ เธอไม่ต้องกังวลเลย จะมาให้เหนื่อยทำไมกัน” กู้เผิงเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึม ด้วยท่าทีที่ต้องการปฏิเสธผู้อื่นไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว “ไม่จำเป็นจะต้องมาดู ช่วงนี้มีรายการสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ถ้าวัตถุดิบผลิตไม่ทัน ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะส่งของทันตามเวลาที่กำหนด และผลที่ตามมาคงร้ายแรงมาก” กู้หยุนหลานมองไปที่กู้เผิงเฟยด้วยใบหน้าที่เย็นชา และแสดงท่าทีว่ากำลังทำตามหน้าที่ เมื่อทั้งสองพบกัน ก็เกิดความกระทบกระทั่งกันขึ้นทันที หลี่โม่ขมวดคิ้ว คิด
“โอ้โห คิดจะสั่งสอนพวกเราอย่างนั้นเหรอ นายคิดว่านายเป็นใคร นายก็เป็นแค่ขยะและราชาแมงดาของตระกูลกู้ก็เท่านั้น ตลกชะมัดเลย” “นายก็แค่โชคดีที่ได้ขึ้นเตียงของประธานกู้ ไม่อย่างนั้น นายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเราสักเท่าไหร่หรอก ยังจะกล้าอวดเบ่งต่อหน้าพวกเราอีก” “เจ้าคนไร้ค่านี่ก็เพียงแค่อาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดเบ่งเท่านั้น คอยเลียแข้งเลียขาเจ้านาย เพื่อให้ได้กระดูกมากขึ้น” คนงานเหล่านี้ต่างมองที่หลี่โม่ด้วยท่าทีเยาะเย้ย เรื่องความไร้ประโยชน์ของหลี่โม่ ถือเป็นเรื่องซุบซิบนินทาของพนักงานในโรงงานเป็นประจำอยู่แล้ว กู้หยุนหลานกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ใครกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ถ้าถูกไล่ออกอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!” “แหม ผมกลัวจังเลยครับ ตราบใดที่โรงงานยังกลับมาเริ่มงานต่อไม่ได้ เกรงว่าตำแหน่งของประธานกู้ก็จะไม่มั่นคงอีกต่อไป ยังขู่ว่าจะไล่พวกเราออกอีก น่าขำจริง ๆ ผมว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตกงานน่าจะเป็นประธานกู้มากกว่า” คนของกู้เผิงเฟยเหล่านี้ เป็นเพราะได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ตอนนี้จึงกล้าพูดอย่างไม่เกรงใจ หลี่โม่หรี่ตาลง แต่กลับมีไฟลุกโชนอยู่ในใจของเขา เขาไม่ได้โกรธเพราะโดนดูถูกเหยียบย่ำ แต่
อย่างไรเสียก็ได้ค้นพบประกายในตัวหลี่โม่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงประกายเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจได้ ท้ายที่สุดแล้วหลี่โม่ไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์อีกต่อไป อีกทั้งเขากล้าที่จะต่อสู้กับคนอื่นเพื่อปกป้องเธอ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกชื่นใจ หลี่โม่และกู้หยุนหลานเดินไปที่บริเวณโรงงาน ในห้องรักษาความปลอดภัยที่อยู่ไม่ไกลนัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง “ทำไมเจ้าคนไร้ค่านี่ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ เอาชนะพวกกระจอกอย่างพี่หู่ได้ไม่ก็ไม่แปลก แต่นี่ถึงขั้นเอาชนะคนที่แข็งแกร่งอย่างเหล่าหวางได้” “ถ้าเป็นแค่คนไร้ค่าจริง ๆ กู้หยุนหลานจะเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือ? คงเป็นเพราะปกติเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนออกมาแน่นอน รีบโทรแจ้งหัวหน้างานเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโทรหากู้เผิงเฟย และแจ้งให้เขาทราบสถานการณ์ตอนนี้ ทันใดนั้นกู้เผิงเฟยก็รู้สึกโกรธจนใบหน้าบูดบึ้ง “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ เก่งแต่ปากทั้งนั้น ไหนบอกว่าเป็นหมัดเหล็กขาเหล็กที่ไร้คู่ต่อสู้ไม่มีวันแพ้ไง เวลามีปัญหาต้องหายังต้องให้ฉันไปจัดการอยู่ดี!” กู้เผิงเฟยวางสายโทรศัพท์ และยืนอยู่ตรงป
หัวหน้าห้องเครื่องและกลุ่มคนงานที่ยืนอยู่ด้านข้าง กำลังมองดูกู้เผิงเฟยพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยความตกตะลึง คนนี้นะหรือที่ทุกคนเรียกว่าคนไร้ค่า? คนไร้ค่าสมัยนี้เก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ? ถ้าหากเจ้าคนไร้ค่านี่บ้าคลั่งขึ้นมาและฆ่าคนไม่ยั้งมือ เลือดคงจะเจิ่งนองไปทั่วห้องเครื่องหรือเปล่า? เมื่อนึกแบบนี้แล้ว ทุกคนก็กลัวจนตัวสั่น สายตาที่มองหลี่โม่ก็เปลี่ยนไป หลี่โม่ปฏิบัติต่อกู้เผิงเฟยเช่นนี้ ก็เพื่อจะเชือดไก่ให้ลิงดู หากเขาไม่สามารถทำให้คนในห้องเครื่องกลัวเขาได้อย่างรวดเร็ว ก็คงจะต้องถูกขัดขวางและถ่วงเวลาไปอีกนาน เพื่อกู้หยุนหลาน หลี่โม่ตัดสินใจที่จะกำจัดคนชั่วให้ถึงที่สุด กู้หยุนหลานเป็นกังวลในใจ เธอกลัวว่าหลี่โม่จะใจร้อนจนพลั้งมือฆ่ากู้เผิงเฟยจริง ๆ เธอรีบเข้าไปจับแขนของหลี่โม่แล้วตะโกน “หลี่โม่ใจเย็น ๆ รีบปล่อยเขาเร็วเข้า เขากำลังจะถูกคุณบีบคอตายอยู่แล้ว ถ้ามีคนตายขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่!” ดวงตาที่เย็นชาของหลี่โม่ทิ่มแทงเข้าในหัวใจของกู้เผิงเฟย กู้เผิงเฟยรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว ให้ตายเถอะ หลี่โม่เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ สายตาแบบนั้น เป็นสายตาที่กล้าฆ่าคนแน่นอน! “ฉั