เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับพี่หู่ บรรดาลูกน้องของพี่หู่ต่างก็ถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้าไปช่วยพี่หู่เลยสักคน ต่างแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า พรรคพวกตายไปก็ไม่เป็นไร แต่ตนเองต้องรอด กู้หยุนหลานมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเห็นคนเหล่านั้นถูกหลี่โม่ต่อยจนเกิดรอยฟกช้ำขึ้นทั้งที่จมูกและใบหน้า ก็ยิ่งทำให้เธอประหลาดใจมากขึ้น เมื่อครู่ที่หลี่โม่พุ่งเขานั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมายเพียงลำพัง! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลี่โม่ไม่เพียงแต่ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่ตัวเขาเองกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานไม่อาจเข้าใจได้เลย สามีที่ไร้ประโยชน์ของตน เก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่เพียงแต่กู้หยุนหลานที่ไม่อาจเข้าใจได้ สำหรับพี่หู่เอง ก็ยากที่จะเข้าใจได้เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อเขาพาพวกลูกน้องไปไหนมาไหนก็ตาม เพียงแค่ยืนนิ่งก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว ทว่าตอนนี้ กลับต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่กล้าประจันหน้ากับคู่ต่อสู้กลุ่มใหญ่เพียงลำพัง และที่สำคัญ ชายคนนี้ไม่มีใบหน้าที่แสดงออกถึงความโหดเห
หลี่โม่เกาหัวพร้อมยิ้ม คาดเดาไม่ออกเลยว่าสายตาเช่นนั้นหมายถึงอะไร หรือเพราะเธอรังเกียจที่เขาพูดมากเกินไป หรือรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ถูกต้อง ทั้งสองเดินอย่างเงียบ ๆ ภายในโรงงานมีชายร่างผอมอายุประมาณสามสิบกว่า สวมใส่ชุดสูท และกำลังเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา “คนที่เป็นหัวหน้าคือกู้เผิงเฟย เดี๋ยวคุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะคุณไม่ได้ทำงานในบริษัทของครอบครัวอยู่แล้ว” หลี่โม่พยักหน้า เพื่อไม่ให้กู้หยุนหลานลำบากใจ ความคับข้องใจของหลี่โม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย “อ้าว หยุนหลานมาแล้วเหรอ จู่ ๆ ที่นี่ก็เกิดปัญหาขึ้น ฉันส่งคนไปซ่อมแซมแล้วแหละ เธอไม่ต้องกังวลเลย จะมาให้เหนื่อยทำไมกัน” กู้เผิงเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึม ด้วยท่าทีที่ต้องการปฏิเสธผู้อื่นไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว “ไม่จำเป็นจะต้องมาดู ช่วงนี้มีรายการสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ถ้าวัตถุดิบผลิตไม่ทัน ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะส่งของทันตามเวลาที่กำหนด และผลที่ตามมาคงร้ายแรงมาก” กู้หยุนหลานมองไปที่กู้เผิงเฟยด้วยใบหน้าที่เย็นชา และแสดงท่าทีว่ากำลังทำตามหน้าที่ เมื่อทั้งสองพบกัน ก็เกิดความกระทบกระทั่งกันขึ้นทันที หลี่โม่ขมวดคิ้ว คิด
“โอ้โห คิดจะสั่งสอนพวกเราอย่างนั้นเหรอ นายคิดว่านายเป็นใคร นายก็เป็นแค่ขยะและราชาแมงดาของตระกูลกู้ก็เท่านั้น ตลกชะมัดเลย” “นายก็แค่โชคดีที่ได้ขึ้นเตียงของประธานกู้ ไม่อย่างนั้น นายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเราสักเท่าไหร่หรอก ยังจะกล้าอวดเบ่งต่อหน้าพวกเราอีก” “เจ้าคนไร้ค่านี่ก็เพียงแค่อาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดเบ่งเท่านั้น คอยเลียแข้งเลียขาเจ้านาย เพื่อให้ได้กระดูกมากขึ้น” คนงานเหล่านี้ต่างมองที่หลี่โม่ด้วยท่าทีเยาะเย้ย เรื่องความไร้ประโยชน์ของหลี่โม่ ถือเป็นเรื่องซุบซิบนินทาของพนักงานในโรงงานเป็นประจำอยู่แล้ว กู้หยุนหลานกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ใครกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ถ้าถูกไล่ออกอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!” “แหม ผมกลัวจังเลยครับ ตราบใดที่โรงงานยังกลับมาเริ่มงานต่อไม่ได้ เกรงว่าตำแหน่งของประธานกู้ก็จะไม่มั่นคงอีกต่อไป ยังขู่ว่าจะไล่พวกเราออกอีก น่าขำจริง ๆ ผมว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตกงานน่าจะเป็นประธานกู้มากกว่า” คนของกู้เผิงเฟยเหล่านี้ เป็นเพราะได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ตอนนี้จึงกล้าพูดอย่างไม่เกรงใจ หลี่โม่หรี่ตาลง แต่กลับมีไฟลุกโชนอยู่ในใจของเขา เขาไม่ได้โกรธเพราะโดนดูถูกเหยียบย่ำ แต่
อย่างไรเสียก็ได้ค้นพบประกายในตัวหลี่โม่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงประกายเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจได้ ท้ายที่สุดแล้วหลี่โม่ไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์อีกต่อไป อีกทั้งเขากล้าที่จะต่อสู้กับคนอื่นเพื่อปกป้องเธอ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกชื่นใจ หลี่โม่และกู้หยุนหลานเดินไปที่บริเวณโรงงาน ในห้องรักษาความปลอดภัยที่อยู่ไม่ไกลนัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง “ทำไมเจ้าคนไร้ค่านี่ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ เอาชนะพวกกระจอกอย่างพี่หู่ได้ไม่ก็ไม่แปลก แต่นี่ถึงขั้นเอาชนะคนที่แข็งแกร่งอย่างเหล่าหวางได้” “ถ้าเป็นแค่คนไร้ค่าจริง ๆ กู้หยุนหลานจะเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือ? คงเป็นเพราะปกติเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนออกมาแน่นอน รีบโทรแจ้งหัวหน้างานเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโทรหากู้เผิงเฟย และแจ้งให้เขาทราบสถานการณ์ตอนนี้ ทันใดนั้นกู้เผิงเฟยก็รู้สึกโกรธจนใบหน้าบูดบึ้ง “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ เก่งแต่ปากทั้งนั้น ไหนบอกว่าเป็นหมัดเหล็กขาเหล็กที่ไร้คู่ต่อสู้ไม่มีวันแพ้ไง เวลามีปัญหาต้องหายังต้องให้ฉันไปจัดการอยู่ดี!” กู้เผิงเฟยวางสายโทรศัพท์ และยืนอยู่ตรงป
หัวหน้าห้องเครื่องและกลุ่มคนงานที่ยืนอยู่ด้านข้าง กำลังมองดูกู้เผิงเฟยพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยความตกตะลึง คนนี้นะหรือที่ทุกคนเรียกว่าคนไร้ค่า? คนไร้ค่าสมัยนี้เก่งกาจขนาดนี้เลยหรือ? ถ้าหากเจ้าคนไร้ค่านี่บ้าคลั่งขึ้นมาและฆ่าคนไม่ยั้งมือ เลือดคงจะเจิ่งนองไปทั่วห้องเครื่องหรือเปล่า? เมื่อนึกแบบนี้แล้ว ทุกคนก็กลัวจนตัวสั่น สายตาที่มองหลี่โม่ก็เปลี่ยนไป หลี่โม่ปฏิบัติต่อกู้เผิงเฟยเช่นนี้ ก็เพื่อจะเชือดไก่ให้ลิงดู หากเขาไม่สามารถทำให้คนในห้องเครื่องกลัวเขาได้อย่างรวดเร็ว ก็คงจะต้องถูกขัดขวางและถ่วงเวลาไปอีกนาน เพื่อกู้หยุนหลาน หลี่โม่ตัดสินใจที่จะกำจัดคนชั่วให้ถึงที่สุด กู้หยุนหลานเป็นกังวลในใจ เธอกลัวว่าหลี่โม่จะใจร้อนจนพลั้งมือฆ่ากู้เผิงเฟยจริง ๆ เธอรีบเข้าไปจับแขนของหลี่โม่แล้วตะโกน “หลี่โม่ใจเย็น ๆ รีบปล่อยเขาเร็วเข้า เขากำลังจะถูกคุณบีบคอตายอยู่แล้ว ถ้ามีคนตายขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องดีแน่!” ดวงตาที่เย็นชาของหลี่โม่ทิ่มแทงเข้าในหัวใจของกู้เผิงเฟย กู้เผิงเฟยรู้สึกเย็นเยือกไปทั้งตัว ให้ตายเถอะ หลี่โม่เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ สายตาแบบนั้น เป็นสายตาที่กล้าฆ่าคนแน่นอน! “ฉั
ความผิดนี้ต้องปัดให้พ้นตัวอยู่แล้ว แต่กู้เผิงเฟยต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะปัดอย่างไรให้น่าดู กู้หยุนหลานส่งสายตาซักถามไปที่หลี่โม่ ราวกับว่าในตอนนี้ หลี่โม่ได้กลายเป็นแกนนำไปเสียแล้ว หลี่โม่ยิ้มและตบไหล่กู้เผิงเฟย แต่กู้เผิงเฟยตัวสั่นและเกือบจะทรุดลงบนพื้นด้วยความตกใจ “ฉันพูด ฉันจะพูดทุกอย่าง กู้เจี้ยนกั๋วและกู้ซิ่งเหว่ยเป็นคนสั่งให้เราหยุดการผลิตที่นี่และถ่วงเวลาเอาไว้ ส่วนเรื่องอื่นฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อ” “ที่ฉันทำแบบนี้เพราะถูกบังคับ ฉันไม่มีทางเลือก พวกเขาข่มขู่ฉัน ถ้าฉันไม่ทำตามที่พวกเขาบอก พวกเขาจะไล่ฉันออก เธอก็รู้ว่าสถานการณ์ของครอบครัวฉันเป็นยังไง ฉันต้องเลี้ยงดูคนทั้งครอบครัว ฉันแค่...” กู้เผิงเฟยร่ายยาวออกมาเป็นชุด “พอแล้ว เลิกแสดงละครน้ำเน่าได้แล้ว อีกเดี๋ยวคุณจะบอกว่ายังมีแม่อายุแปดสิบปีและลูกชายวัยแปดขวบที่ต้องเลี้ยงดูอีกใช่ไหมล่ะ” หลี่โม่พูดพลางหัวเราะ “ฉัน… ฉันมีแม่อายุแปดสิบปีจริง ๆ ไม่ใช่สิ เป็นคุณยายอายุแปดสิบปีน่ะ” กู้เผิงเฟยกล่าวด้วยใบหน้าแดงก่ำ หลี่โม่ซักถามและได้คำตอบทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องน
ในเวลาเดียวกันนี้ ฮั๋วเจี้ยนเฟิงเคาะประตูบ้านของกู้หยุนหลาน หลังทราบข่าวจากพี่ตาว ฮั๋วเจี้ยนเฟิงอดใจไม่ไหว รีบรุดมาเยาะเย้ยหลี่โม่ หลังพี่ตาวถูกชูจงเทียนตำหนิยกใหญ่ ในใจยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แสร้งบอกฮั๋วเจี้ยนเฟิงว่าได้จัดการหลี่โม่แล้ว เพื่อให้ฮั๋วเจี้ยนเฟิงโอนเงินงวดสุดท้ายให้เขา หลังฮั๋วเจี้ยนเฟิงโอนเงินงวดสุดท้ายไปด้วยความดีใจ จึงรีบไปซื้อของฝากให้ครอบครัวกู้หยุนหลานทันที เพื่อเยาะเย้ยและสร้างความอับอายให้แก่หลี่โม่ เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของตน เปิดประตูบ้าน หวังฟางเห็นแก้มของฮั๋วเจี้ยนเฟิงยังคงมีรอบบวมแดงอยู่ จึงเกิดความรู้สึกโกรธแค้นขึ้นในใจ “เจี้ยนเฟิงเองเหรอ รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อนเถอะ” “ผมซื้อเครื่องสำอาง และแผ่นมาร์คหน้ามาให้คุณป้าครับ สามารถลดอาการปวดบวมได้เป็นอย่างดี ผมเองก็ลองใช้ดูแล้ว ดีขึ้นมากทีเดียว” หวังฟางได้ยินก็แทบจะร้องไห้ ช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นจริง ๆ ตนเองถูกตบจนหน้าบวม ยังไม่ลืมซื้อของมาฝากอีก เมื่อเทียบกับคนไร้ค่าอย่างหลี่โม่แล้ว เขาใส่ใจมากกว่าหลายเท่านัก “เธอควรพักฟื้นอยู่ที่บ้าน เป็นถึงเจ้าคนนายคน รักษาแผลให้หายดีเสียก่อน จะได้ไม่ต้องอับอายต่อหน้าล
“แต่ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไรนักหรอกนะ เป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยของเพื่อน แต่หลี่โม่ไม่มีเอกสารรับรองการศึกษา ทำงานรักษาความปลอดภัย ก็ถือว่าดีมากสำหรับเขาแล้ว” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดด้วยท่าทีเย้ยหยัน กู้หยุนหลานถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ไม่ว่ากู้หยุนหลานจะพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งกู้หยุนหลานเองก็หวังว่าหลี่โม่จะหางานดี ๆ ทำ อย่างไรเสียผู้ชายก็ไม่เหมาะสมที่จะทำงานในร้านเสริมสวยสักเท่าไหร่ หลี่โม่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา ราวกับว่าสิ่งที่ฮั๋วเจี้ยนเฟิงพูดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตน เพื่อไม่ให้กู้หยุนหลานต้องวางตัวลำบากระหว่างตนกับแม่ของเธอ หลี่โม่จึงยินดีแบกรับความอัปยศเอาไว้กับตนเอง หวังฟางเหลือบมองหลี่โม่ และพูดเสียงดังว่า “หลี่โม่ เพื่อที่จะหางานให้แกทำ เจี้ยนเฟิงอุตส่าห์ใช้เส้นสายในวงการ แกยังไม่รีบขอบคุณเขาอีกหรือ” “อ๋อ รอให้จัดการเรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยขอบคุณจะดีกว่า เพราะหากทำไม่ได้ ไม่เท่ากับว่าเป็นการขอบคุณโดยเปล่าประโยชน์หรือครับ” หลี่โม่ตอบเบา ๆ “ฮ่าฮ่าฮ่า” ฮั๋วเจี้ยนเฟิงหัวเราะท้องแข็ง “เจ้าคนไร้ค่า นายนี่มันลูกไม้เยอะจริง ๆ ฉันบอกว่าจัดการได้ก็ต้องจัดการได้แ