บรรดาเศรษฐีหนุ่มทั้งหลาย รู้สึกตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นหุ่น นอกจากคำว่าไม่นะ พวกเขาก็พูดอะไรไม่ออกอีก ใครจะคิดว่าหลี่โม่ที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา ๆ กลับมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ขนาดผู้มีอำนาจอย่างชูจงเทียนยังต้องให้ความเคารพ หากตอนนี้มียาที่ทำให้ย้อนเวลากลับไปได้ บรรดาเศรษฐีหนุ่มเหล่านี้ คงจะต้องรีบหยิบยาย้อนเวลาขึ้นมาคนละขวด และรีบเทเข้าปากอย่างแน่นอน ถ้าหากย้อนเวลาได้ บรรดาเศรษฐีหนุ่มเหล่านี้คงจะตบหน้าเฉินผิงผิง ก่อนที่เฉินผิงผิงเรียกหลี่โม่แน่นอน แต่ไม่มีคำว่าถ้าหาก มีแต่ความโหดร้ายบนโลกแห่งความจริง พนักงานต้อนรับสาวสวยได้แจ้งเจ้าการ์ดอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นทีมเจ้าการ์ดของคลับดราก้อนพาเลซ ก็รีบวิ่งเข้ามายืนเข้าแถวอย่างเรียบร้อยต่อหน้าหลี่โม่และชูจงเทียน เมื่อมองไปที่เจ้าการ์ดของคลับดราก้อนพาเลซ เศรษฐีหนุ่มทั้งหลายก็รู้สึกหมดหวัง บ้าเอ๊ย ต้องจบเห่จริง ๆ หรือนี่! หลี่โม่เดินก้าวเข้าไปข้างหน้า พวกเศรษฐีหนุ่มคุกเข่าลงอย่างตื่นตระหนก และมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาอ้อนวอน “คุณหลี่ ไม่สิ คุณท่านหลี่ ปล่อยผมไปเถอะ ผมช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ต่อจากนี้ไป หากผมพบคุณท่านหลี่ ผมจะให
กู้เจี้ยนกั๋วกล่าวอย่างโหดเหี้ยม การพัฒนาธุรกิจของกู้หยุนหลานที่ผ่านมา ทำให้ทั้งกู้เจี้ยนกั๋วและกู้ซิ่งเหว่ยรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม ทั้งสองตัดสินใจร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เพื่อให้การทำงานที่โรงงานวัตถุดิบทางการแพทย์หยุดชะงัก และทำให้กู้หยุนหลาน ไม่สามารถส่งมอบสินค้าตามคำสั่งซื้อของหรงคังกรุ๊ปได้ตรงตามเวลา และเมื่อถึงตอนนั้น คงต้องชดใช้ค่าเสียหายมูลค่ามหาศาลอย่างแน่นอน ตราบใดที่สามารถกดดันกู้หยุนหลานได้ พวกเขาจึงจะสามารถควบคุมธุรกิจของครอบครัวให้ดีขึ้นได้ และได้รับผลกำไรที่มากขึ้น กู้ซิ่งเหว่ยวางโทรศัพท์ลง จากนั้นจึงหันหน้าไปมองพนักงานสองสามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า “สิ่งที่สั่งพวกนายไปก่อนหน้านี้ จำได้หรือยัง?” “จำได้ครับ พี่ซิ่งเหว่ยวางใจเถอะครับ ทันทีที่พวกเราลงมือ รับรองว่าสายการผลิตวัตถุดิบจะหยุดชะงักลงทันที ตราบใดที่เราไม่บอกว่าปัญหาอยู่ที่ไหน พวกเขาจะไม่มีทางค้นเจอสาเหตุของปัญหาได้เลย และสายการผลิตจะไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติอย่างแน่นอน” ชายที่เป็นหัวหน้ากล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “อย่างนั้นก็ดี หากทำเรื่องนี้สำเร็จ พวกนายเองก็ได้ผลประโยช
กู้หยุนหลานเคยได้ยินชื่อเสียงของหลูหมิงเชิง เขาถือเป็นเจ้าแห่งการเอารัดเอาเปรียบเลยก็ว่าได้ “จุดที่คุณควรให้ความสนใจ ไม่ใช่เรื่องที่แม่ของเราถูกทำร้ายหรอกหรือ?” หลี่โม่ถามด้วยความสงสัย กู้หยุนหลานกลอกตา และพูดอย่างไม่พอใจนัก “หลังจากที่ฉันสนใจแล้ว ยังไงต่อล่ะ? จะให้บ่นเกี่ยวกับเรื่องที่แม่ของฉันออกหน้าแทนฮั๋วเจี้ยนเฟิง หรือจะให้โกรธเรื่องที่คุณดูแลแม่ของฉันได้ไม่ดี” เรื่องที่หวังฟางโดนตบหน้า กู้หยุนหลานจงใจแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่หลี่โม่กลับยกขึ้นมาพูดอย่างไม่คิด ไม่ว่าจะเข้าข้างใคร กู้หยุนหลานก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี หลี่โม่เกาหัวเบา ๆ รู้สึกเหมือนว่าเขาพูดอะไรผิดอีกครั้ง “อ๋อ จริง ๆ แล้วเป็นเพราะผมไม่ทันรู้ตัว พอผมตั้งสติได้มันก็สายไปเสียแล้ว” หลี่โม่อธิบายเบา ๆ กู้หยุนหลานเหลือบมองไปที่หลี่โม่ เมื่อเห็นท่าทางของหลี่โม่ ก็อดขำไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายแล้ว ยิ่งอธิบายยิ่งแย่ มาพูดถึงเรื่องที่คุณทำสำเร็จได้ยังไงดีกว่า ไม่รู้มาก่อนเลยว่า คุณจะมีความสามารถยอดเยี่ยมแบบนี้” “ไม่ใช่ว่าผมเก่ง แต่เป็นเพราะผมใช้วิธีเขียนเสือให้วัวกลัวต่างหาก โดยอาศัยชื่อเสียงของเพื่อนร่วมชั้นทำให
“คุณระวังตัวด้วย ถ้าพวกเขาคิดจะลงไม้ลงมือ พวกเราก็รีบหนีกันเถอะ” กู้หยุนหลานเตือน “ถ้าพวกเขาลงไม้ลงมือจริง ๆ คุณรีบหนีไปก่อนนะ ผมจะระวังหลังให้เอง” หลี่โม่หันมาหัวเราะ กู้หยุนหลานรู้สึกอบอุ่นใจ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกว่าในที่สุดหลี่โม่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ขนาดนั้น อย่างน้อยช่วงเวลาสำคัญเขายังเป็นลูกผู้ชายพอ พี่หู่เหลือบมองหลี่โม่ และพูดข่มขู่ “น้องชาย ฉันจะให้เวลาแกสิบวินาทีเพื่อให้แกรีบไสหัวออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจนะ” “พวกนายเป็นใคร ทำไมถึงมาขวางประตูที่นี่” กู้หยุนหลานที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่โม่ได้ถามขึ้น “ฉันเป็นพี่ใหญ่ของถิ่นนี้ โรงงานของคุณไม่ได้จ่ายคุ้มครองให้ฉัน แน่นอนว่าฉันต้องพาบรรดาลูกน้องของฉันมาเรียกเก็บเงินอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณยอมมานอนกับพวกเรา ก็พอที่จะละเว้นค่าคุ้มครองทั้งหมดได้ พวกเราว่าใช่ไหม?” พี่หู่หัวเราะ “พี่หู่พูดถูก ขอแค่คนสวยไปกับเรา ค่าคุ้มครองทั้งหมดก็เป็นอันละเว้น” “อย่าว่าแต่ละเว้นค่าคุ้มครองเลย เรายังสามารถให้คนสวยกินดีอยู่ดี และใช้ชีวิตที่สุขสบายเหนือคนอื่นได้” พวกของพี่หู่ต่างเลือดร้อน ตอนนี้พวกเขาคิดที่จะดึงกู้หยุนหลาน
เมื่อเห็นสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับพี่หู่ บรรดาลูกน้องของพี่หู่ต่างก็ถอยหลังไปสิบกว่าก้าว ไม่มีใครกล้าวิ่งเข้าไปช่วยพี่หู่เลยสักคน ต่างแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า พรรคพวกตายไปก็ไม่เป็นไร แต่ตนเองต้องรอด กู้หยุนหลานมองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอเห็นคนเหล่านั้นถูกหลี่โม่ต่อยจนเกิดรอยฟกช้ำขึ้นทั้งที่จมูกและใบหน้า ก็ยิ่งทำให้เธอประหลาดใจมากขึ้น เมื่อครู่ที่หลี่โม่พุ่งเขานั้น เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้มากมายเพียงลำพัง! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลี่โม่ไม่เพียงแต่ทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บเท่านั้น แต่ตัวเขาเองกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้กู้หยุนหลานไม่อาจเข้าใจได้เลย สามีที่ไร้ประโยชน์ของตน เก่งกาจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่เพียงแต่กู้หยุนหลานที่ไม่อาจเข้าใจได้ สำหรับพี่หู่เอง ก็ยากที่จะเข้าใจได้เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อเขาพาพวกลูกน้องไปไหนมาไหนก็ตาม เพียงแค่ยืนนิ่งก็สามารถทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้แล้ว ทว่าตอนนี้ กลับต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่กล้าประจันหน้ากับคู่ต่อสู้กลุ่มใหญ่เพียงลำพัง และที่สำคัญ ชายคนนี้ไม่มีใบหน้าที่แสดงออกถึงความโหดเห
หลี่โม่เกาหัวพร้อมยิ้ม คาดเดาไม่ออกเลยว่าสายตาเช่นนั้นหมายถึงอะไร หรือเพราะเธอรังเกียจที่เขาพูดมากเกินไป หรือรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ถูกต้อง ทั้งสองเดินอย่างเงียบ ๆ ภายในโรงงานมีชายร่างผอมอายุประมาณสามสิบกว่า สวมใส่ชุดสูท และกำลังเดินนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา “คนที่เป็นหัวหน้าคือกู้เผิงเฟย เดี๋ยวคุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เพราะคุณไม่ได้ทำงานในบริษัทของครอบครัวอยู่แล้ว” หลี่โม่พยักหน้า เพื่อไม่ให้กู้หยุนหลานลำบากใจ ความคับข้องใจของหลี่โม่นั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย “อ้าว หยุนหลานมาแล้วเหรอ จู่ ๆ ที่นี่ก็เกิดปัญหาขึ้น ฉันส่งคนไปซ่อมแซมแล้วแหละ เธอไม่ต้องกังวลเลย จะมาให้เหนื่อยทำไมกัน” กู้เผิงเฟยกล่าวอย่างเคร่งขรึม ด้วยท่าทีที่ต้องการปฏิเสธผู้อื่นไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยว “ไม่จำเป็นจะต้องมาดู ช่วงนี้มีรายการสั่งซื้อเข้ามาจำนวนมาก ถ้าวัตถุดิบผลิตไม่ทัน ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าจะส่งของทันตามเวลาที่กำหนด และผลที่ตามมาคงร้ายแรงมาก” กู้หยุนหลานมองไปที่กู้เผิงเฟยด้วยใบหน้าที่เย็นชา และแสดงท่าทีว่ากำลังทำตามหน้าที่ เมื่อทั้งสองพบกัน ก็เกิดความกระทบกระทั่งกันขึ้นทันที หลี่โม่ขมวดคิ้ว คิด
“โอ้โห คิดจะสั่งสอนพวกเราอย่างนั้นเหรอ นายคิดว่านายเป็นใคร นายก็เป็นแค่ขยะและราชาแมงดาของตระกูลกู้ก็เท่านั้น ตลกชะมัดเลย” “นายก็แค่โชคดีที่ได้ขึ้นเตียงของประธานกู้ ไม่อย่างนั้น นายเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเราสักเท่าไหร่หรอก ยังจะกล้าอวดเบ่งต่อหน้าพวกเราอีก” “เจ้าคนไร้ค่านี่ก็เพียงแค่อาศัยบารมีของคนอื่นมาอวดเบ่งเท่านั้น คอยเลียแข้งเลียขาเจ้านาย เพื่อให้ได้กระดูกมากขึ้น” คนงานเหล่านี้ต่างมองที่หลี่โม่ด้วยท่าทีเยาะเย้ย เรื่องความไร้ประโยชน์ของหลี่โม่ ถือเป็นเรื่องซุบซิบนินทาของพนักงานในโรงงานเป็นประจำอยู่แล้ว กู้หยุนหลานกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ใครกล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก ถ้าถูกไล่ออกอย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน!” “แหม ผมกลัวจังเลยครับ ตราบใดที่โรงงานยังกลับมาเริ่มงานต่อไม่ได้ เกรงว่าตำแหน่งของประธานกู้ก็จะไม่มั่นคงอีกต่อไป ยังขู่ว่าจะไล่พวกเราออกอีก น่าขำจริง ๆ ผมว่าสุดท้ายแล้วคนที่ตกงานน่าจะเป็นประธานกู้มากกว่า” คนของกู้เผิงเฟยเหล่านี้ เป็นเพราะได้ยินข่าวลือบางอย่างมา ตอนนี้จึงกล้าพูดอย่างไม่เกรงใจ หลี่โม่หรี่ตาลง แต่กลับมีไฟลุกโชนอยู่ในใจของเขา เขาไม่ได้โกรธเพราะโดนดูถูกเหยียบย่ำ แต่
อย่างไรเสียก็ได้ค้นพบประกายในตัวหลี่โม่แล้ว ถึงแม้จะเป็นเพียงประกายเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้กู้หยุนหลานรู้สึกประหลาดใจได้ ท้ายที่สุดแล้วหลี่โม่ไม่ได้เป็นคนไร้ประโยชน์อีกต่อไป อีกทั้งเขากล้าที่จะต่อสู้กับคนอื่นเพื่อปกป้องเธอ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกชื่นใจ หลี่โม่และกู้หยุนหลานเดินไปที่บริเวณโรงงาน ในห้องรักษาความปลอดภัยที่อยู่ไม่ไกลนัก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง “ทำไมเจ้าคนไร้ค่านี่ถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้ เอาชนะพวกกระจอกอย่างพี่หู่ได้ไม่ก็ไม่แปลก แต่นี่ถึงขั้นเอาชนะคนที่แข็งแกร่งอย่างเหล่าหวางได้” “ถ้าเป็นแค่คนไร้ค่าจริง ๆ กู้หยุนหลานจะเห็นเขาอยู่ในสายตาหรือ? คงเป็นเพราะปกติเขาไม่ค่อยเปิดเผยตัวตนออกมาแน่นอน รีบโทรแจ้งหัวหน้างานเดี๋ยวนี้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโทรหากู้เผิงเฟย และแจ้งให้เขาทราบสถานการณ์ตอนนี้ ทันใดนั้นกู้เผิงเฟยก็รู้สึกโกรธจนใบหน้าบูดบึ้ง “เจ้าพวกไร้ประโยชน์ เก่งแต่ปากทั้งนั้น ไหนบอกว่าเป็นหมัดเหล็กขาเหล็กที่ไร้คู่ต่อสู้ไม่มีวันแพ้ไง เวลามีปัญหาต้องหายังต้องให้ฉันไปจัดการอยู่ดี!” กู้เผิงเฟยวางสายโทรศัพท์ และยืนอยู่ตรงป
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา