“ถ้าจะมองขนาดนั้น ถ่ายรูปไว้เลยดีมั้ย” ริมฝีปากหยักลึกค่อยๆ ขยับเปล่งเสียงออกมาขณะที่เปลือกตายังคงปิดสนิท“ตื่นนานแล้วเหรอคะ”“ก็นานพอที่จะเห็นว่ามีคนแอบมอง”“ไม่ได้ทำอย่างนั้นซะหน่อย”“หลักฐานคาตายังมาปฏิเสธอีก” ลืมตาขึ้นแล้วจับจ้องใบหน้าหวานของคนข้างกายพลางกระตุกยิ้มมุมปาก“ถ้างั้นก็ลุกขึ้นไปเลยค่ะ” งุดหน้าอย่างเขินอายแล้วเอ่ยปากไล่ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทำทีเป็นไม่ได้ยินก่อนจะพึมพำกับตัวเอง“หลับต่ออีกหน่อยดีกว่า”“ไม่ได้นะ เดี๋ยวพยาบาลก็เข้ามาเห็นหรอก” น้ำเสียงเริ่มจริงจังเมื่อหันไปมองนาฬิกาแขวนบนผนังซึ่งบ่งบอกเวลาแปดโมงครึ่ง“พยาบาลเข้ามาช่วงเก้าโมงไม่ใช่เหรอ” เขาทวนถามพลางเหลือบมองเวลาไปด้วยโดยไม่ลืมออกคำสั่งเป็นการทิ้งท้าย“อีกยี่สิบนาทีปลุกพี่ด้วย” เปลือกตาปิดสนิทอีกครั้งซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เลื่อนแขนไปวางลงบนเอวคอดเธอถอนหายใจเบาๆ ให้กับความเอาแต่ใจของเขา แต่ถึงอย่างนั้นกลับไล่สายตามองไปทั่วใบหน้าหล่อเหลาราวกับถูกสะกดอย่างไม่รู้สึกเบื่อจนอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ตราบนานเท่านานครึ่งวันเช้าผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ทว่าช่วงบ่ายกลับมีเรื่องราววุ่นวายอันก่อให้เกิดสถานการณ์เคร่งเ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา…หญิงสาวบนชิงช้าภายในสนามเด็กเล่นของสวนหย่อมโรงพยาบาลกวาดสายตามองไปรอบบริเวณราวกับธรรมชาติร่มรื่นเหล่านั้นเป็นสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเธอ ขณะที่เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสลงบนผืนทรายขาวละเอียดยิ่งชวนให้คิดถึงชายหาดอันงดงามลลิลพ่นลมหายใจออกทางปากอย่างแรงราวกับอยากให้ความเครียดสะสมทั้งหมดทั้งมวลจางหายไปในอากาศ หลังจากต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องตลอดระยะเวลาสิบกว่าวันนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหยุดมองต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ที่ผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งซึ่งบางดอกกำลังร่วงหล่นลงสู่พื้นที่ปกคลุมไปด้วยหญ้า สายลมยามเย็นพัดพาความสดชื่นชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย กระทั่งเสียงหัวเราะร่าของเด็กคนหนึ่งดึงความสนใจจากเธอหนูน้อยอายุราวสี่ถึงห้าขวบในชุดผู้ป่วยกำลังวิ่งไล่จับฝูงผีเสื้อด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าลูกครึ่งผสานเสียงหัวเราะคิกคักบ่งบอกถึงความสุขได้เป็นอย่างดีทำเอาคนที่ลอบมองอยู่เผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว"หืม?" จู่ๆ หนูน้อยก็วิ่งมาหยุดยืนตรงหน้าพลางยื่นช่อดอกหญ้าที่กำไว้ในมือซ้ายให้เธอ“จะฝากเหรอคะ” ถามพร้อมคลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตร“หนูให้ค่ะ” ดวงตากลมใสแจ๋วภายใต้แพขนตางอนยาวมองอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก
ตึกตัก ตึกตัก~“พี่ธีร์""หืม?""เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”“ปะ…เปล่า” เอ่ยปฏิเสธแต่กลับเงยใบหน้าพลางกะพริบตาปริบๆ ไล่หยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นบริเวณขอบตา เมื่อได้ยินเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจดวงน้อยซึ่งเปรียบเสมือนของขวัญอันล้ำค่าจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ชายหนุ่มกล้ายอมรับอย่างลูกผู้ชายว่า หลังจากชีวิตต้องเจอกับความผิดหวังและจมอยู่กับความเศร้าเป็นเวลานานส่งผลให้เขาเลิกคิดเรื่องการสร้างครอบครัวหรือมีทายาทสืบสกุลไปโดยปริยายแต่ตอนนี้ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลจากความเมามายจนขาดสติเพียงครั้งเดียว“หัวใจของเขาเต้นปกติแล้วใช่มั้ยครับหมอ” สีหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวลขณะปริปากถาม“กลับมาเต้นปกติแล้วค่ะ ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” แพทย์หญิงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลครั้นได้ยินอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกโดยไม่ทันสังเกตว่าอากัปกิริยาเหล่านั้นตกอยู่ในสายตาของคนบนเตียงตลอดเวลานัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองมือใหญ่ที่กอบกุมมือเธอไว้แน่นพลางคลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ ก่อนจะหันไปจับจ้องยังจุดเดียวกันนั่นคือหน้าจอมอนิเตอร์ซึ่งปรากฏสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วกำลังเ
“ที่บอกว่าให้เก็บแรงไว้ เพื่อสิ่งนี้นะเหรอคะ” ขนตายาวเป็นแพพะเยิบขึ้นขณะปริปากถามด้วยความฉงน“อยากช่วยนักไม่ใช่เหรอ”“ก็ใช่ค่ะ แต่ไม่คิดว่าพี่ธีร์จะชวนทำขนม”“หรือไม่อยากกินทาร์ตรูบาร์บสตรอว์เบอรีแล้ว” คิ้วเข้มเลิกขึ้นก่อนจะหยุดมือที่กำลังหั่นก้านสีแดงของรูบาร์บ“อยากกินค่ะ” รีบโพล่งออกมาก่อนที่เขาจะเปลี่ยนใจ“งั้นช่วยร่อนแป้งก็แล้วกัน” ว่าแล้วบุ้ยปากไปยังอุปกรณ์บนเคาน์เตอร์ที่ถูกเตรียมไว้ครบครัน“พี่ธีร์นี่บางครั้งดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจอะไร แต่กลับใส่ใจคนอื่นเป็นเหมือนกันนะคะ” เธอตั้งข้อสังเกตพลางใช้ตะแกรงร่อนแป้งลงในภาชนะอีกใบ“ฟังดูทะแม่งๆ นะ”“ลิลชมหรอกค่ะ” ผุดรอยยิ้มกว้างอย่างมีเสน่ห์ก่อนจะเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของเขาแวบหนึ่ง“มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ เลอะหมดแล้วเห็นมั้ย” ถึงแม้น้ำเสียงจะแข็งกระด้าง แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยนโดยอีกฝ่ายไม่ทันสังเกตลลิลยู่ปากกระเง้ากระงอด แต่ถึงอย่างนั้นกลับตั้งใจทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยมีชายหนุ่มคอยลอบมองอยู่เป็นระยะ กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงขั้นตอนเทแป้งที่ผสมเสร็จแล้วลงในพิมพ์จากนั้นจึงส่งเข้าเตาอบรอบแรกแววตาของทั้งสองจับจ้องไปยังด้านใ
"พี่ธีร์ไม่กลับไปนอนคอนโดจริงๆ เหรอคะ" เงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ตโฟนพลางถามชายหนุ่มที่เดินออกมาจากห้องน้ำเพื่อความแน่ใจ"ไม่ทันไรก็ไล่กันซะแล้ว" ร่างสูงในชุดนอนบ่นพึมพำขณะหย่อนก้นนั่งลงบนเตียงนอนของเธอ"พี่ธีร์ก็รู้ว่าลิลไม่ได้หมายความแบบนั้น"“แล้วหมายความแบบไหน” ย้อนถามเหมือนอยากจะแกล้งมากกว่าต้องการคำตอบ“เผื่อพี่ธีร์อยากมีเวลาส่วนตัวบ้าง" บอกด้วยความเกรงใจเพราะตลอดระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา เขาทำหน้าที่ดูแลเธอได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง“ถ้าพี่ต้องการแบบนั้นจริงๆ รับรองว่าไม่มาอยู่ตรงนี้” นัยน์ตาสีนิลฉายแววจริงจังไม่ต่างจากน้ำเสียงลลิลเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสื่อเป็นอย่างดีจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อไปอาบน้ำ"พี่เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างไว้ให้แล้ว แต่อย่าแช่นานเกินไปละ แล้วก็เดินระวังด้วย พื้นห้องน้ำค่อนข้างลื่น" เอ่ยจบค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงจึงไม่ทันเห็นว่ามุมปากของคนฟังกำลังยกยิ้มให้กับความน่ารักของเขาหลังจากนั้นไม่นาน หญิงสาวในชุดคลุมสีขาวพาตัวเองมาหยุดยืนข้างอ่างอาบน้ำซึ่งมีฟองนุ่มฟูส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายดอกไม้ลอยเข้ามาเตะจมูกชวนให้รู้สึกสดชื่น ก่อนจะก้าวขาลงไปด้ว
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเล็ดลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาสาดส่องลงบนเรือนร่างบอบบางที่กำลังตกอยู่ในนิทรารมณ์ แต่แล้วจู่ๆ คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดเข้าหากันเพราะเสียงดังรบกวนโสตประสาทลลิลค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองหาคนข้างกายด้วยความง่วงงุน ทว่าเธอกลับพบเพียงความว่างเปล่า กระทั่งเสียงอาเจียนอันหนักหน่วงดังมาจากห้องน้ำจนต้องเบนสายตาไปมองไม่กี่วินาทีต่อมา หญิงสาวลุกจากเตียงแล้วเดินไปเคาะประตูพร้อมถามขึ้นด้วยความหวั่นวิตก“พี่ธีร์เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”“ไม่ ไม่เป็นไร”น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูแหบแห้งอย่างชัดเจนและหลังจากนั้นไม่นานเสียงอาเจียนก็ดังขึ้นอีกครั้ง“ขอเข้าไปนะคะ” ลลิลไม่รอฟังคำตอบรับจากเขาแล้วรีบผลักประตูเข้าไปร่างสูงนั่งแหมะอยู่บนพื้นโดยแผ่นหลังพิงผนังไว้เป็นที่ยึดในสภาพไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดและดูทรมานในเวลาเดียวกัน"พี่ธีร์เป็นอะไรไปเนี่ย" นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววกังวลขณะมองสภาพของคนตรงหน้า“สงสัยจะกินของผิดสำแดงเข้าไป”“ไปนอนที่เตียงดีกว่าค่ะ ลุกไหวมั้ย” ทำท่าจะเข้าประคอง แต่เขากลับพยายามพยุงตัวลุกขึ้นด้วยตัวเอง“พี่เดินเองได้” ร่างสูงยืนโงนเงน เนื่องจากอาการวิงเวียนที่เข้ามาจู่โจมอีกครั
“หมดฤทธิ์แล้วสินะ” ระบายรอยยิ้มตรงมุมปากพลางยื่นมือเกลี่ยผิวแก้มใสกระจ่างของคนที่นอนหลับใหลบนเตียง แต่แล้วกลับต้องชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงไอความร้อนจางๆหญิงสาวจึงเตรียมผ้าเปียกหมาดผืนเล็กมาถือไว้แล้วนั่งลงอีกครั้ง เธอเริ่มเช็ดตั้งแต่หน้าผากวนไปตามใบหน้าหล่อเหลาลามลงมายังซอกคออย่างอ่อนโยนจากนั้นจึงปลดกระดุมเสื้อของคนป่วยออกทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผงอกรวมถึงกล้ามท้องแข็งแกร่งพลางเช็ดลงบนผิวด้วยความตั้งใจทว่าจู่ๆ ร่างกายของเขากลับกระสับกระส่าย ทำท่าคว้าอะไรบางอย่างกลางอากาศ ขณะเดียวกันก็พร่ำเพ้อออกมาแทบจับใจความไม่ได้“แม่ครับ อย่าไป!” สิ้นคำพูดนั้น หยาดน้ำใสก็ไหลลงมาเป็นทางจนคนที่มองอยู่รีบเขย่าเรียกด้วยความตกใจ“พี่ธีร์ พี่ธีร์คะ”เฮือก!ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะผุดขึ้นนั่งหายใจเร็วแรง ตามกรอบหน้ามีเหงื่อเม็ดเล็กประปราย“ไม่เป็นไรแล้วนะ”ลลิลเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงฝันถึงมารดาผู้ล่วงลับจึงไม่ได้ปริปากถามอะไร ทำเพียงเข้าสวมกอดแล้วเลื่อนมือลูบแผ่นหลังของเขาแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมรอจนกว่าจะดีขึ้น“ยังรู้สึกเวียนหัวอยู่มั้ยคะ” คลายอ้อมกอดแล้วเอ่ยถาม หลังจากอีกฝ่ายเริ่มสงบ“นิดหน่อย แต่หิวมากกว่า”“หิวเห
หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้าสิ้นสุดลง ชายหนุ่มบอกว่าจะขึ้นไปอาบน้ำแล้วปรี่ออกจากห้องนั่งเล่นทันที หญิงสาวจึงพาตัวเองมาขลุกอยู่ในห้องทำงานอันเงียบสงบของพี่ชายคนบนเก้าอี้บุนวมสีครีมเริ่มเปิดอัลบั้มเล่มใหญ่อย่างทะนุถนอม เธอพลิกดูแต่ละภาพช้าๆ ขณะที่ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มละไม ภาพแต่ละภาพล้วนบันทึกช่วงเวลาอันแสนมีค่าในชีวิตของเธอไว้แต่แล้วรอยยิ้มเหล่านั้นกลับค่อยๆ เจื่อนลง เมื่อหวนนึกถึงความผิดพลาดที่ตัวเองได้ก่อไว้ซึ่งอาจจะทำให้พี่ชายผิดหวังในตัวเธอเป็นอย่างมาก ถึงกระนั้นก็ต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเองให้ได้ลลิลเปิดดูภาพถ่ายต่อไปเรื่อยๆ จนครบทุกหน้าแล้วเปลี่ยนมาอ่านนิยายรักของนักเขียนในดวงใจ แค่เพียงตัวอักษรที่นำมาร้อยเรียงกลับสามารถพาดำดิ่งลงสู่อีกโลกหนึ่งได้อย่างน่ามหัศจรรย์จนหลงลืมทุกสิ่งรอบกายรวมถึงชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่สักพักแล้วก๊อกๆธีระเรียกสติอีกฝ่ายด้วยการเอื้อมมือไปเคาะบานประตูและดูเหมือนว่าเธอจะสะดุ้งเล็กน้อยจากการกระทำของเขา“พี่ธีร์จะไปข้างนอกเหรอคะ” ไล่สายตามองการแต่งตัวของชายหนุ่มที่บัดนี้อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำ แต่ไม่ได้ดูเป็นทางการจนเกินไป“ใช่ เล
สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“เป็นยังไงบ้างคะ”“อืม ดีมาก”“หมายถึงรสชาติอาหาร?”“หมายถึงเมีย”สิ้นประโยคนั้น ฉันถูกหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่จึงวางช้อนชิมน้ำซุปก่อนหน้านี้ลงที่เดิมแล้วเอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีเชิงตัดพ้อ“เสียใจจัง ลิลอุตส่าห์ตั้งใจทำนะคะเนี่ย” “อ่า~ ไม่งอนผัวนะครับคนดี"เขาตีเนียนกระชับอ้อมแขนที่กำลังสวมกอดฉันจากข้างหลังแน่นขึ้นพลางเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนแล้วเริ่มเอ่ยชมไม่ขาดปาก"ถึงยังไงอาหารฝีมือเมียก็รสชาติดี มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย และอร่อยที่สุดในโลก""...""แถมคนทำยังอร่อยและแซ่บจนหยุดกินไม่ได้อีกต่างหาก...”น้ำเสียงกระเส่าพอๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะซุกไซ้ยังซอกคอของฉันอย่างหื่นกระหายจนต้องเอียงคอหลบสัมผัสสุดแสนจะวาบหวาม"อื้อ พี่ธีร์"“ผัวหิวอีกแล้ว”“เห็นทีตอนนี้คงไม่ได้ค่ะ” ฉันรีบตัดบทคนหื่นกระหายอย่างเขาที่ต้องทำเรื่องอย่างว่าสามเวลาก่อนอาหารหรือทุกครั้งที่มีโอกาส“ทำไมล่ะจ๊ะ เมียจ๋า” เขาใช้ฟันขาวๆ ขบเม้มผิวเนื้อนวลเนียนที่ซอกคออย่างคนที่กำลังมันเขี้ยว มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฉันราวกับปลาหมึกแต่แล้ว…แอ๊ะ แง แง!เสียงร้องของลูกสาวตัวน้
ฟู่ว~ริมฝีปากหยักลึกระบายลมหายใจออกมาราวกำลังรวบรวมความกล้าพลางใช้นิ้วกดกริ่งสนทนาข้างประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง ทว่ากลับไร้วี่แววของคนในห้องจึงลองใหม่อีกครั้งไม่กี่วินาทีต่อมา เขาตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่เพื่อนให้ติดมาด้วยแล้วผลักประตูเข้าไปทันทีก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องเตียงนอนดูเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน บนโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าไม่หลงเหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งภายในห้องน้ำก็ปราศจากคนที่เขากำลังตามหาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนด้วยความร้อนใจ“ลิลไม่ได้อยู่ที่ห้อง ของใช้ทุกอย่างก็ไม่มี” โพล่งออกมาทันทีที่อีกฝ่ายกดรับแล้วพึมพำด้วยความรู้สึกหวั่นใจ“หรือลิลหนีกูไปแล้ว”(มึงใจเย็นๆ แล้วลองขึ้นไปหาบนดาดฟ้าก่อน ลิลชอบไปนั่งเล่นที่นั่น)ธีระกดตัดสายแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ทว่าดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเห็นป้ายลิฟต์ขัดข้องตั้งหราอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้งานได้ปกติจึงเหลือบมองหมายเลขชั้นแวบหนึ่งขณะนี้เขายืนอยู่ที่ชั้นห้าสิบและดาดฟ้าคือชั้นเจ็ดสิบ นั่นหมายความว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงยี่สิบชั้น!"เอาว่ะ" นาทีนี้ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเข
ปังๆๆเสียงทุบประตูห้องทำงานดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำและเพิ่งจะได้นอนอย่างสงบสุขไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง“ไอ้คิน! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”น้ำเสียงคุ้นเคยเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบบานประตูที่ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคินต้องลุกไปปลดล็อกแล้วโพล่งถามท่าทางไม่สบอารมณ์“เป็นบ้าอะไรของมึง วุ่นวายแม่งตั้งแต่เช้า”"เช้าอะไรของมึง นี่มันเที่ยงแล้วโว้ย" สวนกลับทันควัน"แล้วมึงมีธุระอะไร" อนาคินมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราดูแปลกตา“มึงจะส่งลิลกลับไปอยู่ต่างประเทศเหรอ”“ใครบอกมึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย“ไอ้เดย์บอกว่าลิลจะออกเดินทางช่วงบ่ายของวันนี้”อนาคินจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างและสิ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระวนกระวายของอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้“เพราะเรื่องนี้ มึงเลยรีบถ่อมา?”“กูจะไม่ยอมให้มึงทำแบบนั้นเด็ดขาด”“แล้วมึงจะทำไม" สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะย้อนถามพร้อมจับตาดูอากัปก
“ลลิล!”“คะ?” เงยใบหน้ามองพี่ชายด้วยความงุนงง“เป็นอะไรไปนะ”“ปะ เปล่านี่คะ”อนาคินเบนสายตามองเอกสารบนโต๊ะที่ให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยแวบหนึ่งแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าหวานอีกครั้ง"แล้วร้องไห้ทำไม"หญิงสาวรีบงุดหน้าและเห็นว่าบนแผ่นกระดาษมีหยดน้ำตาร่วงโรยลงมาจนเกิดรอยด่างดวงโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว“อ้ะ! ขอโทษค่ะ ลิลทำเอกสารเลอะหมดเลย” รีบขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้“จะกลับบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพน้องสาวของตัวเอง ความสดใสหายไป จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งหลุดลอยเสียแล้ว“ลิลไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” น้ำเสียงยังคงขึ้นจมูกขณะยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มกลืน“งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี่เป็นไง พี่จะได้อยู่เคลียร์งานยาวๆ ”“ดีเหมือนกันค่ะ” อันที่จริงเธอเองก็ไม่อยากกลับบ้าน อีกทั้งยังคิดว่าหากได้อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อาจจะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง“ไว้เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องห้องให้”หลังจากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นตึง!"โอ๊ะโอ~ ทำไมห้องนี้บรรยากาศดูอึมคร
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาวพลางลูบสองแขนไปมาเพราะสะท้านกับความเหน็บหนาวขณะตกอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่มีชายหนุ่มเคียงข้างกาย ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า และทำได้เพียงแค่คิดถึงเท่านั้นความรู้สึกแสบร้อนเริ่มผุดขึ้นในดวงตาจนต้องกะพริบถี่ไล่ความชื้นให้มลายหายไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบเห็นแสงไฟสว่างจ้าบริเวณสามแยกถนนลลิลจับราวระเบียงแล้วชะเง้อคอมองอย่างมีความหวังว่าอาจจะมีรถของใครบางคนจอดอยู่ตรงนั้น ทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกสติเธอให้กลับคืนมา“กับข้าวเสร็จแล้ว”อนาคินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างน้องสาวแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย“มองหาอะไรเหรอ”“เปล่าค่ะ ลิลแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”"เหมือนฝนจะตก เข้าข้างในเถอะ"หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลอบมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความมืดมิดเท่านั้นจึงเลื่อนปิดประตูระเบียงก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายลงไปยังห้องรับประทานอาหารความห่างเหินระหว่างพี่น้องเริ่มก่อเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นและถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้
เช้าวันต่อมาปึง!ร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงบางอย่างดังรบกวนโสตประสาท เธอจึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ดวงตาของเธอกลับเบิกกว้าง ความง่วงงุนก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้งแล้วรีบยันกายขึ้นนั่งพลางกระชับผ้าห่มผืนหนาปกปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าเอาไว้“พี่คิน” แววตาสั่นระริกเช่นเดียวกับริมฝีปากที่พยายามเปล่งเสียงออกมาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายเตียงจับจ้องน้องสาวของตัวเองด้วยแววตาวาวโรจน์ กรามของเขาขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน อีกทั้งเส้นเลือดตรงขมับยังปูดโปนจากการพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลสุดกำลังอนาคินแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความจริง หลังจากไม่ได้กลับมาบ้านเป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน คนที่เขาไว้ใจมากสองคนกำลังนอนเคียงข้างกันบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่ามือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นพร้อมพ่นลมหายใจพรวดออกทางปากก่อนจะตะคอกถามเสียงดังลั่นอย่างหมดความอดทน“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”ผู้เป็นน้องสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออึกใหญ่ก่อนจะมองพี่ชายด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด“เสียงอาราย”
“เดี๋ยว เดี๋ยวลิลช่วยพาไปห้องน้ำก็แล้วกัน” ละล่ำละลักบอกพลางช่วยพยุงไปยังห้องน้ำด้วยความทุลักทุเลทันทีที่มาถึงก็รีบปล่อยให้เขานั่งแหมะลงบนพื้นเย็นเยียบแล้วเปิดเรนชาวเวอร์หวังว่ากระแสน้ำเย็นๆ ที่ไหลผ่านจะช่วยระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของเขาได้บ้าง“มันไม่ดีขึ้นหรอก” พิงผนังไว้เป็นที่ยึดแล้วปล่อยให้สายน้ำไหลลงมาสัมผัสร่างกายอันร้อนรุ่มขณะเดียวกันลมหายใจเริ่มติดขัดราวกับถูกขังในพื้นที่คับแคบ จากนั้นจึงเลื่อนมือสั่นเทาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตไล่ลงมาทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผงอกแข็งแกร่ง"พี่ธีร์จะทำอะไรนะ!" โพล่งถามแล้วรีบหันหลังหนีด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นมือของเขากำลังปลดหัวเข็มขัด"ในเมื่อเมียไม่ช่วย ก็คงต้องช่วยตัวเอง"น้ำเสียงเชิงตัดพ้อของเขาทำเอาเธอถึงกับเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปริปากพูดอะไรกลับถูกร่างสูงโถมตัวเข้ากอดจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัวหมับ!ธีระฉวยโอกาสนั้นซุกไซ้ยังซอกคอขาวสลับดูดดึงติ่งหูอย่างหื่นกระหาย“อื้อ” ความรู้สึกวาบหวามแล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กาย ขณะเดียวกันก็พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของเขา"จะไม่ช่วยผัวจริงๆ เหรอ" กระซิบถามเสียงกระเส่าแล้ว
“พี่ธีร์โกรธลิลเหรอคะ” ปริปากทำลายความเงียบชวนอึดอัด หลังจากไฮเปอร์คาร์คันหรูเคลื่อนตัวออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นสักพักแล้ว“ทำไมพี่ต้องโกรธด้วยล่ะ” ย้อนถามขณะที่สายตายังคงมุ่งมองตรงไปบนถนนเบื้องหน้า“ถ้าไม่โกรธก็แสดงว่าหึง?” ชำเลืองมองปฏิกิริยาคนข้างกาย“ไม่มีทาง” ปฏิเสธเสียงห้วน“โอเค ไม่หึงก็ไม่หึง” ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนปากแข็งแวบหนึ่งพลางอมยิ้ม จากนั้นจึงกลับไปให้ความสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่าง“พี่ธีร์ชะลอรถหน่อย” จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น“ทำไม”“ตรงนั้นน่าจะเป็นร้านขายของกิน” แล้วชี้ไปยังจุดที่มีแสงไฟอ่อนละมุนตัดกับแม่น้ำอันมืดมิดยามราตรี“ไปที่อื่นดีกว่ามั้ย”“แต่ลิลอยากไปดูตรงนั้นก่อน”ธีระได้ยินอย่างนั้นจึงเบี่ยงรถไปทางซ้ายแล้วขับเลียบแม่น้ำประมาณหนึ่งร้อยเมตร กระทั่งเห็นรถตู้สีแดงสำหรับขายอาหารแบบเคลื่อนที่ ด้านบนมีป้ายไฟเขียนไว้ว่าหม่าล่า&ยาดองหน้าร้านมีโต๊ะและเก้าอี้เข้าชุดวางไว้เพียงสองชุด พื้นที่ภายในรถถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายมือมีวัตถุดิบเสียบไม้ไว้หลากหลายชนิดให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่ เนื้อปลา ลูกชิ้นและผักนานาชนิดส่วนด้านขวามือเต็มไปด้วยขวดโหลขนาดกลางที่บรรจุน้ำส