สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“ยินดีด้วยนะ สาวน้อย”“ขอบคุณพี่คินนะคะ ที่ทำให้ลิลมีวันนี้” เรือนร่างบอบบางเข้าสวมกอดคนตัวสูงกว่าด้วยความซาบซึ้งใจ“เพราะความพยายามของลิลต่างหาก” ชายหนุ่มกอดตอบพร้อมใช้มือข้างหนึ่งลูบเรือนผมนุ่มสลวยด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพูดต่อ“นี่ถ้าท่านทั้งสองยังอยู่ คงภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มากแน่ๆ”อนาคินจ้องมองไปยังภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนังภายในโถงทางเดินของบ้านซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกในครอบครัวโดยมีเขาที่ตอนนั้นอายุประมาณสิบแปดปียืนอยู่ข้างหลัง ส่วนน้องสาวที่เพิ่งจะห้าขวบนั่งตรงกลางระหว่างบิดาและมารดา สีหน้าของทุกคนฉายชัดถึงความสุขอย่างชัดเจนแต่แล้วในอีกสิบปีต่อมาทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป เมื่อทั้งสองเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุระหว่างเดินทางไปเจรจาธุรกิจ ชายหนุ่มจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้บริหารโรงแรมหรูย่านใจกลางเมืองอย่างเต็มตัว รวมถึงการดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวที่เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา“ท่านต้องภูมิใจในตัวลูกชายด้วยสิคะ พี่คินทั้งดูแลโรงแรม แล้วยังต้องมาดูแลน้องสาวคนนี้อีก” ลลิลคลายอ้อมกอดแล้วเงยใบหน้าหวานละมุนมองพี่ชายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานจนเห็นฟันขาว“ก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยนี่ ในเมื่อน้อ
ชายหนุ่มดันร่างบางไปชิดผนังแล้วรวบข้อมือเล็กขึ้นเหนือศีรษะพลางบดจูบอย่างเร่าร้อน จนเธออ่อนระทวยแทบลงไปกองกับพื้นอยู่รอมร่อคนเมาไม่แม้แต่จะหยุดยั้งการกระทำของตัวเอง กลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนสัมผัสเหล่านั้นเป็นอ่อนโยนส่งผลให้หัวใจของเธอเต้นแรงแทบกระเด็นกระดอนออกจากอก ปรางแก้มนวลขึ้นสีระเรื่อ ลมหายใจสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว“อื้ม~”เขาขบเม้มริมฝีปากนุ่มส่วนบนสลับล่างก่อนจะละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง แววตาหยาดเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์จ้องมองเธอด้วยความเคลิบเคลิ้มชายหนุ่มตรงหน้าหารู้ไม่ว่า การกระทำเหล่านั้นทำเอาโลกทั้งใบของเธอหยุดหมุนไปชั่วขณะ ในคราแรกลลิลคิดว่าความรู้สึกเมื่อครั้งอดีตอาจจางหายไปตามกาลเวลา แต่ดูเหมือนว่ามันไม่เคยหายไปอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้หญิงสาวจึงถูกล่อลวงหลุดลอยเข้าไปในห้วงสวาทอันร้อนฉ่าอย่างง่ายดาย“อื้อ”รอยจูบเมื่อครู่ยังไม่ทันจางหาย ทว่าธีระกลับประกบริมฝีปากลงมาอีกครา มิหนำซ้ำยังตะกละตะกลามกว่าเดิมหลายเท่าราวกับว่าความอดทนของเขาได้สิ้นสุดลงแล้วปลายจมูกซุกไซ้ลงมายังซอกคอหอมกรุ่นแล้วใช้ฟันขบเม้มไปตามผิวเนื้อ ฝากฝังร่องรอยสีกุหลาบไว้อีกหลายจุด"อ้ะ!" ลมหายใจของเธอสะดุด อุณหภูมิใน
"ลิล""...""ลลิล!""คะ?""เป็นอะไรหรือเปล่า" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขณะมองน้องสาวที่นั่งเหม่อลอยอยู่สักพักแล้วด้วยความเป็นห่วง"ปะ เปล่าค่ะ" หญิงสาวตอบตะกุกตะกักพลางเขี่ยอาหารมื้อเช้าในจาน"กับข้าวไม่ถูกปากเหรอ""ลิลยังไม่ค่อยหิวนะคะ" ตอบโดยพยายามไม่สบตาพี่ชาย“เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะอีกหรอก ฝืนกินหน่อยก็แล้วกัน”"ค่ะ"ลลิลพยายามฝืนตักอาหารเข้าปากเพื่อความสบายใจของผู้เป็นพี่ ทว่าสมองกลับนึกถึงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อีกทั้งความเป็นห่วงเป็นใยจากอีกฝ่ายยิ่งทำให้เธอรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตัวเอง"เมื่อคืนหลับสบายมั้ย?""ก็ดีค่ะ""แต่พี่นี่แทบไม่ได้นอน พอดีเกิดปัญหาวุ่นวายที่โรงแรมนะ เลยต้องไปจัดการด้วยตัวเอง"คำอธิบายเหล่านั้นทำให้เธอพอจะคลายความสงสัยอยู่บ้างว่าพี่ชายหายไปไหน แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังข้องใจจึงลองเลียบเคียงถาม“แล้วพี่คินกลับมาตอนไหนเหรอคะ”“หกโมงเช้าได้มั้ง เผลอหลับที่ห้องทำงานนะ”"แต่ก่อนหน้านั้น ลิลได้ยินเสียงดังมาจากห้องพี่" หญิงสาวแสร้งทำสีหน้าสงสัย"อ๋อ พี่ว่าจะคุยเรื่องนี้อยู่พอดี" อนาคินรวบช้อนและส้อมเข้าหากันบ่งบอกว่ามื้ออาหารของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยมีผู้เป็
สองเดือนต่อมา…“ทำไมมาถึงช้าจังวะ” หนุ่มแว่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อค่ำในห้องครัวเหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัยเพื่อนสนิททั้งสามนัดแนะกันไว้ตั้งแต่เดือนก่อนว่าจะมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลของเอเดย์ สถานที่แห่งนี้ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณสองชั่วโมง ทว่าอนาคินกลับใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงกว่าจะมาถึง“ลิลเมารถนะ เลยต้องแวะจอดเกือบตลอดทาง”“แล้วดีขึ้นยัง?”“ดีขึ้นแล้ว แต่ให้เข้าไปพักที่ห้องก่อน”“ขาดเหลืออะไรก็บอกละกัน”“เออ ขอบใจ ว่าแต่ไอ้ธีร์ไปไหน”“ยืนเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ตรงนั้นไง”หนุ่มเจ้าของบ้านบุ้ยปากไปทางระเบียงซึ่งมีร่างสูงยืนสูบบุหรี่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าในไม่ช้า“พระเอกเอวีน่าจะเหมาะกับมันมากกว่า” อนาคินกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย“ให้ช่วยอะไรมั้ย”“ช่วยอยู่เฉยๆ เถอะครับ”“ดี กูจะได้ไม่เหนื่อย” ว่าพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูง“ตั้งแต่ไอ้ธีร์ไปอยู่บ้านมึง กูรู้สึกว่าอาการมันเหมือนจะดีขึ้นนะ” คนที่กำลังหั่นผักอย่างชำนาญออกความคิดเห็น“สงสัยลืมเฮิร์ทเพราะ
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังก้องกังวานไปทั่วห้องไม่ได้เรียกความสนใจจากหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาแม้แต่น้อย เนื่องจากเธอรู้ดีว่าใครเป็นคนมาเยือนในเวลานี้“ลิล พี่ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย” เสียงทุ้มนุ่มของพี่ชายเอ่ยขึ้นจากด้านนอกทว่าเธอยังคงนั่งเงียบไร้การตอบโต้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเคาะประตูอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้และน้ำเสียงที่ถูกเปล่งออกมาก็เข้มขึ้นไม่ต่างจากพ่อที่กำลังดุลูกสาวจอมดื้อ“ลลิล พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”“พี่คินมีอะไรก็พูดมาสิคะ” คนดื้อรั้นจำใจต้องเอ่ยตอบ“พี่เข้าไปได้หรือเปล่า”“ประตูไม่ได้ล็อกค่ะ”เมื่อคนข้างนอกได้ยินอย่างนั้นประตูก็ถูกผลักเข้ามา อนาคินเดินไปหาน้องสาวแล้วยื่นแก้วนมอุ่นๆ ให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ในเวลาต่อมา“เผื่อจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น”“ลิลไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่กลับรับแก้วมาถือไว้ในมือ“แต่สิ่งที่ลิลกำลังทำหรือเป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กเลยนะ”“เพื่อนคนนั้นของพี่คินไปพูดอะไรให้ฟังอีกล่ะคะ” ลลิลเน้นย้ำคำว่าเพื่อนคนนั้นจนชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจเขาไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงไม่ยอมพูดจากันดีๆ หากเจอหน้ากันเมื่อไรเป็นอันต้องหาเรื่องถกเถีย
เช้าวันต่อมา…“เฮ้ย! ไปขับเจ็ทมั้ยวะ” เอเดย์ถามพร้อมใช้เท้าเขี่ยคนที่นอนเหยียดกายอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบริมชายหาดอย่างหยอกล้อธีระที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นลอนซิคแพ็คและมัดกล้ามแข็งแกร่งซึ่งกำลังปล่อยให้ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามเช้าซึมซาบลงบนผิวด้วยความรู้สึกผ่อนคลายใช้สายตาคมกริบมองลอดแว่นกันแดดสีชาก่อนจะสบถด่าเจ้าตัวการ“เถื่อนขึ้นทุกวันนะมึง"“เถื่อนๆ แบบนี้ สาวๆ ชอบ” ไม่พูดเปล่ายังขยิบตาข้างขวาอย่างทะเล้น“ถ้ามึงสบายใจที่จะคิดแบบนั้นละก็นะ”“กูไม่อยากคุยกับคนจริงจังอย่างมึงแล้ววุ้ย!” พูดจบตั้งท่าจะเดินออกไป ทว่าขาของเขากลับชะงักกึก ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงเรือนร่างบอบบางในชุดบิกินีสีดำคลุมด้วยชุดตาข่ายตัวยาวสีเดียวกันกำลังเดินทอดน่องอยู่บนผืนทรายขาวละเอียด สายลมอ่อนๆ พัดปะทะใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาบางให้ความรู้สึกละมุนตาเข้ากับทรงผมที่มวยขึ้นเพียงหลวมๆ ดูเป็นธรรมชาติ“ไหนว่าจะไปขับเจ็ท”เจ้าของนัยน์ตาสีนิลมองไปตามสายตาของเพื่อนแล้วทวนถามน้ำเสียงติดประชดประชัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจยังคงพึมพำพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์“กูรับรองเลยว่าลลิลต้องโด
แสงแดดยามบ่ายเล็ดลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่สาดส่องลงมายังเส้นผมยาวสลวยภายใต้หมวกปีกกว้างที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมเข้ากับชุดเดรสกระโปรงยาวระพื้นสีขาวที่เธอสวมใส่"ฟู่ว~ ค่อยดีขึ้นหน่อย"คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ชายหาดพ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วง หลังจากโดนพี่ชายตำหนิติเตียนเสียยาวยืดเรื่องการแต่งกายจึงหนีมานั่งเพลิดเพลินกับไอศกรีมโคนรสกะทิและน้ำมะพร้าวปั่นอย่างเอร็ดอร่อยขณะเดียวกันสายตาก็จับจ้องไปยังท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ฟังเสียงคลื่นที่ซัดสาดกระทบฝั่งด้วยความรู้สึกผ่อนคลายทะเลในเวลานี้สวยงามราวกับภาพวาด...ลลิลเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองทัศนียภาพเบื้องหน้าจนเวลาล่วงเลยไปสักพักแล้วค่อยๆ หลับตาปล่อยให้กลิ่นอายของทะเลโอบล้อมเธอไว้ กระทั่งเผลอหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย"ฮ่าๆ"เปลือกตาของคนที่นอนหลับใหลอย่างสุขสบายค่อยๆ ปรือขึ้น ครั้นมีเสียงรบกวนโสตประสาทเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งแหมะอยู่บนหาดทรายทำท่าเหมือนกำลังขุดหาอะไรบางอย่างลลิลเริ่มกวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบจึงเห็นว่าดวงอาทิตย์คล้อยต่ำกว่าทีแรกอย่างเห็นได้ชัดซึ่งบ่งบอกว่าเธอนอน
สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“เป็นยังไงบ้างคะ”“อืม ดีมาก”“หมายถึงรสชาติอาหาร?”“หมายถึงเมีย”สิ้นประโยคนั้น ฉันถูกหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่จึงวางช้อนชิมน้ำซุปก่อนหน้านี้ลงที่เดิมแล้วเอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีเชิงตัดพ้อ“เสียใจจัง ลิลอุตส่าห์ตั้งใจทำนะคะเนี่ย” “อ่า~ ไม่งอนผัวนะครับคนดี"เขาตีเนียนกระชับอ้อมแขนที่กำลังสวมกอดฉันจากข้างหลังแน่นขึ้นพลางเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนแล้วเริ่มเอ่ยชมไม่ขาดปาก"ถึงยังไงอาหารฝีมือเมียก็รสชาติดี มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย และอร่อยที่สุดในโลก""...""แถมคนทำยังอร่อยและแซ่บจนหยุดกินไม่ได้อีกต่างหาก...”น้ำเสียงกระเส่าพอๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะซุกไซ้ยังซอกคอของฉันอย่างหื่นกระหายจนต้องเอียงคอหลบสัมผัสสุดแสนจะวาบหวาม"อื้อ พี่ธีร์"“ผัวหิวอีกแล้ว”“เห็นทีตอนนี้คงไม่ได้ค่ะ” ฉันรีบตัดบทคนหื่นกระหายอย่างเขาที่ต้องทำเรื่องอย่างว่าสามเวลาก่อนอาหารหรือทุกครั้งที่มีโอกาส“ทำไมล่ะจ๊ะ เมียจ๋า” เขาใช้ฟันขาวๆ ขบเม้มผิวเนื้อนวลเนียนที่ซอกคออย่างคนที่กำลังมันเขี้ยว มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฉันราวกับปลาหมึกแต่แล้ว…แอ๊ะ แง แง!เสียงร้องของลูกสาวตัวน้
ฟู่ว~ริมฝีปากหยักลึกระบายลมหายใจออกมาราวกำลังรวบรวมความกล้าพลางใช้นิ้วกดกริ่งสนทนาข้างประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง ทว่ากลับไร้วี่แววของคนในห้องจึงลองใหม่อีกครั้งไม่กี่วินาทีต่อมา เขาตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่เพื่อนให้ติดมาด้วยแล้วผลักประตูเข้าไปทันทีก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องเตียงนอนดูเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน บนโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าไม่หลงเหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งภายในห้องน้ำก็ปราศจากคนที่เขากำลังตามหาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนด้วยความร้อนใจ“ลิลไม่ได้อยู่ที่ห้อง ของใช้ทุกอย่างก็ไม่มี” โพล่งออกมาทันทีที่อีกฝ่ายกดรับแล้วพึมพำด้วยความรู้สึกหวั่นใจ“หรือลิลหนีกูไปแล้ว”(มึงใจเย็นๆ แล้วลองขึ้นไปหาบนดาดฟ้าก่อน ลิลชอบไปนั่งเล่นที่นั่น)ธีระกดตัดสายแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ทว่าดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเห็นป้ายลิฟต์ขัดข้องตั้งหราอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้งานได้ปกติจึงเหลือบมองหมายเลขชั้นแวบหนึ่งขณะนี้เขายืนอยู่ที่ชั้นห้าสิบและดาดฟ้าคือชั้นเจ็ดสิบ นั่นหมายความว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงยี่สิบชั้น!"เอาว่ะ" นาทีนี้ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเข
ปังๆๆเสียงทุบประตูห้องทำงานดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำและเพิ่งจะได้นอนอย่างสงบสุขไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง“ไอ้คิน! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”น้ำเสียงคุ้นเคยเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบบานประตูที่ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคินต้องลุกไปปลดล็อกแล้วโพล่งถามท่าทางไม่สบอารมณ์“เป็นบ้าอะไรของมึง วุ่นวายแม่งตั้งแต่เช้า”"เช้าอะไรของมึง นี่มันเที่ยงแล้วโว้ย" สวนกลับทันควัน"แล้วมึงมีธุระอะไร" อนาคินมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราดูแปลกตา“มึงจะส่งลิลกลับไปอยู่ต่างประเทศเหรอ”“ใครบอกมึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย“ไอ้เดย์บอกว่าลิลจะออกเดินทางช่วงบ่ายของวันนี้”อนาคินจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างและสิ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระวนกระวายของอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้“เพราะเรื่องนี้ มึงเลยรีบถ่อมา?”“กูจะไม่ยอมให้มึงทำแบบนั้นเด็ดขาด”“แล้วมึงจะทำไม" สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะย้อนถามพร้อมจับตาดูอากัปก
“ลลิล!”“คะ?” เงยใบหน้ามองพี่ชายด้วยความงุนงง“เป็นอะไรไปนะ”“ปะ เปล่านี่คะ”อนาคินเบนสายตามองเอกสารบนโต๊ะที่ให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยแวบหนึ่งแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าหวานอีกครั้ง"แล้วร้องไห้ทำไม"หญิงสาวรีบงุดหน้าและเห็นว่าบนแผ่นกระดาษมีหยดน้ำตาร่วงโรยลงมาจนเกิดรอยด่างดวงโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว“อ้ะ! ขอโทษค่ะ ลิลทำเอกสารเลอะหมดเลย” รีบขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้“จะกลับบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพน้องสาวของตัวเอง ความสดใสหายไป จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งหลุดลอยเสียแล้ว“ลิลไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” น้ำเสียงยังคงขึ้นจมูกขณะยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มกลืน“งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี่เป็นไง พี่จะได้อยู่เคลียร์งานยาวๆ ”“ดีเหมือนกันค่ะ” อันที่จริงเธอเองก็ไม่อยากกลับบ้าน อีกทั้งยังคิดว่าหากได้อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อาจจะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง“ไว้เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องห้องให้”หลังจากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นตึง!"โอ๊ะโอ~ ทำไมห้องนี้บรรยากาศดูอึมคร
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาวพลางลูบสองแขนไปมาเพราะสะท้านกับความเหน็บหนาวขณะตกอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่มีชายหนุ่มเคียงข้างกาย ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า และทำได้เพียงแค่คิดถึงเท่านั้นความรู้สึกแสบร้อนเริ่มผุดขึ้นในดวงตาจนต้องกะพริบถี่ไล่ความชื้นให้มลายหายไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบเห็นแสงไฟสว่างจ้าบริเวณสามแยกถนนลลิลจับราวระเบียงแล้วชะเง้อคอมองอย่างมีความหวังว่าอาจจะมีรถของใครบางคนจอดอยู่ตรงนั้น ทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกสติเธอให้กลับคืนมา“กับข้าวเสร็จแล้ว”อนาคินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างน้องสาวแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย“มองหาอะไรเหรอ”“เปล่าค่ะ ลิลแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”"เหมือนฝนจะตก เข้าข้างในเถอะ"หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลอบมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความมืดมิดเท่านั้นจึงเลื่อนปิดประตูระเบียงก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายลงไปยังห้องรับประทานอาหารความห่างเหินระหว่างพี่น้องเริ่มก่อเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นและถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้
เช้าวันต่อมาปึง!ร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงบางอย่างดังรบกวนโสตประสาท เธอจึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ดวงตาของเธอกลับเบิกกว้าง ความง่วงงุนก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้งแล้วรีบยันกายขึ้นนั่งพลางกระชับผ้าห่มผืนหนาปกปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าเอาไว้“พี่คิน” แววตาสั่นระริกเช่นเดียวกับริมฝีปากที่พยายามเปล่งเสียงออกมาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายเตียงจับจ้องน้องสาวของตัวเองด้วยแววตาวาวโรจน์ กรามของเขาขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน อีกทั้งเส้นเลือดตรงขมับยังปูดโปนจากการพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลสุดกำลังอนาคินแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความจริง หลังจากไม่ได้กลับมาบ้านเป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน คนที่เขาไว้ใจมากสองคนกำลังนอนเคียงข้างกันบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่ามือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นพร้อมพ่นลมหายใจพรวดออกทางปากก่อนจะตะคอกถามเสียงดังลั่นอย่างหมดความอดทน“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”ผู้เป็นน้องสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออึกใหญ่ก่อนจะมองพี่ชายด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด“เสียงอาราย”
“เดี๋ยว เดี๋ยวลิลช่วยพาไปห้องน้ำก็แล้วกัน” ละล่ำละลักบอกพลางช่วยพยุงไปยังห้องน้ำด้วยความทุลักทุเลทันทีที่มาถึงก็รีบปล่อยให้เขานั่งแหมะลงบนพื้นเย็นเยียบแล้วเปิดเรนชาวเวอร์หวังว่ากระแสน้ำเย็นๆ ที่ไหลผ่านจะช่วยระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของเขาได้บ้าง“มันไม่ดีขึ้นหรอก” พิงผนังไว้เป็นที่ยึดแล้วปล่อยให้สายน้ำไหลลงมาสัมผัสร่างกายอันร้อนรุ่มขณะเดียวกันลมหายใจเริ่มติดขัดราวกับถูกขังในพื้นที่คับแคบ จากนั้นจึงเลื่อนมือสั่นเทาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตไล่ลงมาทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผงอกแข็งแกร่ง"พี่ธีร์จะทำอะไรนะ!" โพล่งถามแล้วรีบหันหลังหนีด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นมือของเขากำลังปลดหัวเข็มขัด"ในเมื่อเมียไม่ช่วย ก็คงต้องช่วยตัวเอง"น้ำเสียงเชิงตัดพ้อของเขาทำเอาเธอถึงกับเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปริปากพูดอะไรกลับถูกร่างสูงโถมตัวเข้ากอดจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัวหมับ!ธีระฉวยโอกาสนั้นซุกไซ้ยังซอกคอขาวสลับดูดดึงติ่งหูอย่างหื่นกระหาย“อื้อ” ความรู้สึกวาบหวามแล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กาย ขณะเดียวกันก็พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของเขา"จะไม่ช่วยผัวจริงๆ เหรอ" กระซิบถามเสียงกระเส่าแล้ว
“พี่ธีร์โกรธลิลเหรอคะ” ปริปากทำลายความเงียบชวนอึดอัด หลังจากไฮเปอร์คาร์คันหรูเคลื่อนตัวออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นสักพักแล้ว“ทำไมพี่ต้องโกรธด้วยล่ะ” ย้อนถามขณะที่สายตายังคงมุ่งมองตรงไปบนถนนเบื้องหน้า“ถ้าไม่โกรธก็แสดงว่าหึง?” ชำเลืองมองปฏิกิริยาคนข้างกาย“ไม่มีทาง” ปฏิเสธเสียงห้วน“โอเค ไม่หึงก็ไม่หึง” ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนปากแข็งแวบหนึ่งพลางอมยิ้ม จากนั้นจึงกลับไปให้ความสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่าง“พี่ธีร์ชะลอรถหน่อย” จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น“ทำไม”“ตรงนั้นน่าจะเป็นร้านขายของกิน” แล้วชี้ไปยังจุดที่มีแสงไฟอ่อนละมุนตัดกับแม่น้ำอันมืดมิดยามราตรี“ไปที่อื่นดีกว่ามั้ย”“แต่ลิลอยากไปดูตรงนั้นก่อน”ธีระได้ยินอย่างนั้นจึงเบี่ยงรถไปทางซ้ายแล้วขับเลียบแม่น้ำประมาณหนึ่งร้อยเมตร กระทั่งเห็นรถตู้สีแดงสำหรับขายอาหารแบบเคลื่อนที่ ด้านบนมีป้ายไฟเขียนไว้ว่าหม่าล่า&ยาดองหน้าร้านมีโต๊ะและเก้าอี้เข้าชุดวางไว้เพียงสองชุด พื้นที่ภายในรถถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายมือมีวัตถุดิบเสียบไม้ไว้หลากหลายชนิดให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่ เนื้อปลา ลูกชิ้นและผักนานาชนิดส่วนด้านขวามือเต็มไปด้วยขวดโหลขนาดกลางที่บรรจุน้ำส