สองเดือนต่อมา…
“ทำไมมาถึงช้าจังวะ” หนุ่มแว่นที่กำลังก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อค่ำในห้องครัวเหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เพื่อนสนิททั้งสามนัดแนะกันไว้ตั้งแต่เดือนก่อนว่าจะมาพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศริมทะเลของเอเดย์ สถานที่แห่งนี้ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณสองชั่วโมง ทว่าอนาคินกลับใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงกว่าจะมาถึง
“ลิลเมารถนะ เลยต้องแวะจอดเกือบตลอดทาง”
“แล้วดีขึ้นยัง?”
“ดีขึ้นแล้ว แต่ให้เข้าไปพักที่ห้องก่อน”
“ขาดเหลืออะไรก็บอกละกัน”
“เออ ขอบใจ ว่าแต่ไอ้ธีร์ไปไหน”
“ยืนเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ตรงนั้นไง”
หนุ่มเจ้าของบ้านบุ้ยปากไปทางระเบียงซึ่งมีร่างสูงยืนสูบบุหรี่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าในไม่ช้า
“พระเอกเอวีน่าจะเหมาะกับมันมากกว่า” อนาคินกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตพร้อมเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ให้ช่วยอะไรมั้ย”
“ช่วยอยู่เฉยๆ เถอะครับ”
“ดี กูจะได้ไม่เหนื่อย” ว่าพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวสูง
“ตั้งแต่ไอ้ธีร์ไปอยู่บ้านมึง กูรู้สึกว่าอาการมันเหมือนจะดีขึ้นนะ” คนที่กำลังหั่นผักอย่างชำนาญออกความคิดเห็น
“สงสัยลืมเฮิร์ทเพราะต้องเก็บแรงไว้เถียงกับลิลละมั้ง"
"ล่าสุด เถียงกันเรื่องขนมผูกรักบ้านแทบแตก"
"หืม เถียงกันเรื่องขนม?"
"ก็เออนะสิ ไอ้ธีร์มันบอกว่าต้องพรีออเดอร์ขนมนั้นจากสตูลตั้งสองอาทิตย์"
"..."
"แต่พอมาถึงกลับหายวับไปกับตาเพราะลิลคิดว่าเป็นขนมของกู"
"ไอ้ธีร์มันกินขนมพวกนั้นด้วยเหรอ แต่เดี๋ยวก่อน มันทะเลาะกับลิลเพราะเรื่องขนม..." สีหน้าของคนฟังแสดงออกถึงความสับสน
"ฟังดูไร้สาระไม่สมกับคนอย่างไอ้ธีร์ใช่มั้ยล่ะ แต่มึงเชื่อกูเถอะ ว่าจนถึงตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่คุยกันเลย"
"สมองมันได้รับการกระทบกระเทือนหรือเปล่ามึง"
"อันนั้นไม่รู้ แต่สมองกูนี่แหละจะแตกตายซะก่อน" อนาคินพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ช่วงค่ำวันเดียวกัน…
“ดีขึ้นแล้วใช่มั้ยครับ”
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อาจเพราะได้อากาศสดชื่นจากทะเล” หญิงสาวระบายรอยยิ้มกว้างขณะตอบคำถามของเอเดย์ ก่อนจะเบนสายตาไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าฟังเสียงคลื่นซัดสาดด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
“กินให้มันเยอะๆ หน่อย” คนเป็นพี่ชายตักข้าวผัดใส่จาน ตามด้วยปลาหมึกนึ่งมะนาวจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
ลลิลเริ่มตักอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย ดูเหมือนว่าเธอจะรับประทานอาหารได้มากกว่าปกติ หลังจากอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงเพราะอาการเมารถก่อนหน้านี้
“รสชาติเป็นไงบ้าง พอจะถูกปากมั้ย” คนรับหน้าที่พ่อครัวปริปากถามผลงานของตัวเอง
“อร่อยมากเลยค่ะ”
“ไม่ต้องถนอมน้ำใจมันหรอก” อนาคินแกล้งว่าพร้อมยกยิ้มมุมปาก
"พูดจริงๆ นะคะ ปลาหมึกนึ่งมะนาวรสชาติเปรี้ยวกำลังดีเลย ลิลชอบ” ไม่แค่พูดเพราะเธอตักมันเข้าปากคำแล้วคำเล่าไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม
"เฮ้ยไอ้ธีร์ ปลาหมึกย่างตรงนั้นเสร็จยัง" หนุ่มแว่นตะโกนถามพร้อมโบกไม้โบกมือไปยังธีระที่ยืนรับหน้าที่ปิ้งย่างอาหารทะเล
ไม่กี่วินาทีต่อมา จานปลาหมึกย่างส่งกลิ่นหอมกรุ่นถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าหญิงสาว
“ปลาหมึกไม่สดเหรอคะ ทำไมกลิ่นแรงจัง” ลลิลถามพลางทำจมูกฟุดฟิด สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"สดแน่นอนครับ พี่เลือกเองกับมือ" เอเดย์ยกจานขึ้นมาใกล้จมูกแล้วพูดต่อ
“พี่ว่าปกตินะ”
"เรื่องมากก็ไม่ต้องกิน" ริมฝีปากหยักลึกขยับพึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ได้ยินชัดเจน
"กุ้งเผาเสร็จยังคะ" ใบหน้าสวยหวานเงยขึ้นมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกะพริบตาปริบ
"ถ้าเสร็จแล้วรบกวนเสิร์ฟให้หน่อยค่ะ"
ธีระจ้องเธอแวบหนึ่งแล้วเดินไปคีบกุ้งใส่จานก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร
“เดี๋ยวพี่แกะให้” พี่ชายที่แสนดีเป็นคนรับจานใบนั้น
“ยังไม่ค่อยสุกรึเปล่าคะ” หญิงสาวร้องทักขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นเนื้อกุ้งที่มีมันเยิ้มถูกวางลงในจานตัวเอง
“สุกจนจะไหม้แล้วครับคุณผู้หญิง” น้ำเสียงของธีระแฝงความประชดประชันอย่างหมดความอดทน
"ลิลก็แค่ถามมั้ยคะ พี่ธีร์จะมาประชดทำไม" วางช้อนลงจนเกิดเสียงดัง
"อันนั้นก็กินไม่ได้ อันนี้ก็กินไม่ได้ เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ น้องมึงอะ" ใบหน้าหล่อเหลาจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวก็จริง ทว่าประโยคท้ายกลับวกมาที่เพื่อนสนิท
"เอาอีกแล้ว มึงเชื่อกูยัง" คนเป็นพี่ชายบอกกับเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
"กูขอนั่งอยู่เฉยๆ ละกัน"
"ลิลเอาแต่ใจแล้วมันจะทำไม พี่ธีร์ก็ไม่ต้องมายุ่งสิ"
"คิดว่าอยากยุ่งนักเหรอ"
"งั้นก็ไม่ต้องมายุ่ง ลิลไม่อยากเห็นหน้าพี่ธีร์แล้วเหมือนกัน จะอ้วก!"
"ลิล! " ประโยคนั้นของลลิลทำเอาพี่ชายที่นั่งมองอยู่เงียบๆ ปรามเสียงเข้มเป็นการเตือนสติ
หญิงสาวกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนเกือบจะห้อเลือดด้วยความน้อยใจ เธอน้อยใจปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่แสดงออกมา มากกว่าเสียงดุๆ จากพี่ชายเสียอีก
"เลิกเถียงกันเรื่องไม่เป็นเรื่องได้แล้ว"
"..." "..."
"ทั้งสองคน"
"บอกน้องมึงด้วยสิ ว่าให้เลิกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง นิสัยแบบนี้ใครได้ไปเป็นเมียคงซวยน่าดู!"
คำพูดจาร้ายกาจที่บาดลึกลงไปในจิตใจทำให้เธอลุกพรวดขึ้นยืนแล้วปรายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้น
ก๊อกๆเสียงเคาะประตูดังก้องกังวานไปทั่วห้องไม่ได้เรียกความสนใจจากหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟาแม้แต่น้อย เนื่องจากเธอรู้ดีว่าใครเป็นคนมาเยือนในเวลานี้“ลิล พี่ขอเข้าไปหน่อยได้มั้ย” เสียงทุ้มนุ่มของพี่ชายเอ่ยขึ้นจากด้านนอกทว่าเธอยังคงนั่งเงียบไร้การตอบโต้ทำให้ชายหนุ่มเริ่มเคาะประตูอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้และน้ำเสียงที่ถูกเปล่งออกมาก็เข้มขึ้นไม่ต่างจากพ่อที่กำลังดุลูกสาวจอมดื้อ“ลลิล พี่มีเรื่องจะคุยด้วย”“พี่คินมีอะไรก็พูดมาสิคะ” คนดื้อรั้นจำใจต้องเอ่ยตอบ“พี่เข้าไปได้หรือเปล่า”“ประตูไม่ได้ล็อกค่ะ”เมื่อคนข้างนอกได้ยินอย่างนั้นประตูก็ถูกผลักเข้ามา อนาคินเดินไปหาน้องสาวแล้วยื่นแก้วนมอุ่นๆ ให้ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ในเวลาต่อมา“เผื่อจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น”“ลิลไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่กลับรับแก้วมาถือไว้ในมือ“แต่สิ่งที่ลิลกำลังทำหรือเป็นอยู่ในตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กเลยนะ”“เพื่อนคนนั้นของพี่คินไปพูดอะไรให้ฟังอีกล่ะคะ” ลลิลเน้นย้ำคำว่าเพื่อนคนนั้นจนชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจเขาไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงไม่ยอมพูดจากันดีๆ หากเจอหน้ากันเมื่อไรเป็นอันต้องหาเรื่องถกเถีย
เช้าวันต่อมา…“เฮ้ย! ไปขับเจ็ทมั้ยวะ” เอเดย์ถามพร้อมใช้เท้าเขี่ยคนที่นอนเหยียดกายอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบริมชายหาดอย่างหยอกล้อธีระที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นลอนซิคแพ็คและมัดกล้ามแข็งแกร่งซึ่งกำลังปล่อยให้ความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามเช้าซึมซาบลงบนผิวด้วยความรู้สึกผ่อนคลายใช้สายตาคมกริบมองลอดแว่นกันแดดสีชาก่อนจะสบถด่าเจ้าตัวการ“เถื่อนขึ้นทุกวันนะมึง"“เถื่อนๆ แบบนี้ สาวๆ ชอบ” ไม่พูดเปล่ายังขยิบตาข้างขวาอย่างทะเล้น“ถ้ามึงสบายใจที่จะคิดแบบนั้นละก็นะ”“กูไม่อยากคุยกับคนจริงจังอย่างมึงแล้ววุ้ย!” พูดจบตั้งท่าจะเดินออกไป ทว่าขาของเขากลับชะงักกึก ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงเรือนร่างบอบบางในชุดบิกินีสีดำคลุมด้วยชุดตาข่ายตัวยาวสีเดียวกันกำลังเดินทอดน่องอยู่บนผืนทรายขาวละเอียด สายลมอ่อนๆ พัดปะทะใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาบางให้ความรู้สึกละมุนตาเข้ากับทรงผมที่มวยขึ้นเพียงหลวมๆ ดูเป็นธรรมชาติ“ไหนว่าจะไปขับเจ็ท”เจ้าของนัยน์ตาสีนิลมองไปตามสายตาของเพื่อนแล้วทวนถามน้ำเสียงติดประชดประชัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจยังคงพึมพำพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์“กูรับรองเลยว่าลลิลต้องโด
แสงแดดยามบ่ายเล็ดลอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่สาดส่องลงมายังเส้นผมยาวสลวยภายใต้หมวกปีกกว้างที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมเข้ากับชุดเดรสกระโปรงยาวระพื้นสีขาวที่เธอสวมใส่"ฟู่ว~ ค่อยดีขึ้นหน่อย"คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ชายหาดพ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วง หลังจากโดนพี่ชายตำหนิติเตียนเสียยาวยืดเรื่องการแต่งกายจึงหนีมานั่งเพลิดเพลินกับไอศกรีมโคนรสกะทิและน้ำมะพร้าวปั่นอย่างเอร็ดอร่อยขณะเดียวกันสายตาก็จับจ้องไปยังท้องฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่ฟังเสียงคลื่นที่ซัดสาดกระทบฝั่งด้วยความรู้สึกผ่อนคลายทะเลในเวลานี้สวยงามราวกับภาพวาด...ลลิลเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เหม่อมองทัศนียภาพเบื้องหน้าจนเวลาล่วงเลยไปสักพักแล้วค่อยๆ หลับตาปล่อยให้กลิ่นอายของทะเลโอบล้อมเธอไว้ กระทั่งเผลอหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย"ฮ่าๆ"เปลือกตาของคนที่นอนหลับใหลอย่างสุขสบายค่อยๆ ปรือขึ้น ครั้นมีเสียงรบกวนโสตประสาทเด็กผู้ชายอายุราวสิบขวบกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งแหมะอยู่บนหาดทรายทำท่าเหมือนกำลังขุดหาอะไรบางอย่างลลิลเริ่มกวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบจึงเห็นว่าดวงอาทิตย์คล้อยต่ำกว่าทีแรกอย่างเห็นได้ชัดซึ่งบ่งบอกว่าเธอนอน
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก...หญิงสาวยืนมองตัวเองผ่านกระจกในห้องน้ำอันเงียบสงัดด้วยหัวใจเต้นระรัว แสงไฟสลัวสาดส่องลงมายังใบหน้าไร้สีเลือดที่ฉายชัดถึงความวิตกกังวลมือเล็กที่ค่อยๆ เลื่อนไปหยิบตลับตรวจสอบการตั้งครรภ์สั่นเกินกว่าจะควบคุมได้ ลลิลสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามควบคุมสติและรวบรวมความกล้าเมื่อถึงเวลาต้องตรวจสอบผลลัพธ์ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างก่อนจะยกมือข้างหนึ่งปิดปาก สายตาจับจ้องอยู่ที่ขีดสีแดงเข้มซึ่งปรากฏขึ้นมาสองขีดชัดเจนในตอนนั้นเสมือนว่าเวลาของเธอได้หยุดนิ่งลงและทันทีที่กะพริบตาหยาดน้ำใสก็ไหลรินลงมาอาบแก้มด้วยความรู้สึกสิ้นหวังลลิลรู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมจะทำหน้าที่แม่ เธอเพิ่งเรียนจบและเริ่มเข้าไปเรียนรู้งานที่โรงแรมเพียงไม่นานซึ่งการตั้งครรภ์ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นโลกทั้งใบพังทลายลงในชั่วพริบตา ความคิดมากมายประดังประเดเข้ามาไม่ว่างเว้น หากเก็บเด็กคนนี้ไว้แล้วเธอจะเลี้ยงดูแบบไหนหรือบอกพี่ชายว่าอย่างไรที่มีน้องสาวใจแตกปล่อยตัวปล่อยใจให้กับเพื่อนสนิทของเขาถ้านี่คือความผิดพลาดก็คงเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตและหากจะมีใครสักคนที่ผิด คนคนนั้นย่
ท่ามกลางร่มเงาของต้นไม้สูงตระหง่านภายในสวนอันกว้างใหญ่ ลลิลพยายามเขย่งปลายเท้าพลางใช้ไม้ที่พอจะหาได้กระทุ้งผลไม้รสเปรี้ยวหวังปลิดให้หลุดจากขั้ว“หล่นลงมาสักทีเถอะน่า” สายตายังคงจับจ้องไปยังผลมะดันพลางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่“ได้รึเปล่าจ๊ะหนู” หญิงสูงวัยเดินเข้ามาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง“ไม้คงสั้นไปนะคะ” หันไปตอบแล้วปักไม้ลงบนพื้นดินก่อนจะเงยหน้ามองผลของมันอย่างอาลัยอาวรณ์“หลานชายของยายคงกำลังมา รอเดี๋ยวนะ”ใบหน้าที่มีร่องรอยตามวัยแย้มยิ้มอย่างคนใจดีจนหญิงสาวกล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก ก่อนหน้านี้ลลิลออกมาเดินเล่นเพราะรู้สึกเบื่อ อาจเพราะความหิวที่เข้าจู่โจมทว่ากลับไม่รู้สึกอยากอาหารทำเอาเธอถึงกับหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกหญิงสาวจึงลองเดินมาตามแนวชายหาดซึ่งเป็นฝั่งของหมู่บ้านชาวประมงที่มีบ้านเรือนหลังเล็กๆ เรียงรายกันแน่นขนัด แต่กลับมีเพียงหลังเดียวที่มีรั้วกั้นไว้ดูโดดเด่นสะดุดตาทว่าความสนใจของเธอกลับจดจ่อไปยังผลมะดันที่ชวนให้รู้สึกน้ำลายสอจนต้องยืนด้อมๆ มองๆ แล้วบังเอิญพบกับเจ้าของบ้านสุดแสนจะใจดีอย่างคุณยายดาวเรือง“จะเอาไปทำน้ำพริกเหรอหนู”“ทำน้ำพริกได้ด้วยเหรอคะ”“อร่อยเชียวละ”“หนูท
ควันบุหรี่พวยพุ่งออกมาจากริมฝีปากหยักลึกกระจายตลบอบอวลไปทั่วบริเวณแล้วปะทะเข้ากับกระจกระเบียงท่ามกลางบรรยากาศของสายฝนที่โหมกระหน่ำชายหนุ่มอัดนิโคตินเข้าปอดมวนแล้วมวนเล่าด้วยความรู้สึกสับสน ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เขาเริ่มติดบุหรี่หนักขึ้นและยิ่งวันไหนสมองหวนไปนึกถึงความทรงจำในอดีต ความปั่นป่วนจะถาโถมเข้ามาจนต้องพึ่งพามันทุกครั้งอย่างตอนนี้ก็เช่นกัน…ธีระขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยจนประกายไฟมอดดับซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ความสว่างรอบกายถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดพรึ่บ กรี๊ด!!เสียงกรีดร้องดังลั่นทั่วทั้งบ้านทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งก่อนจะรีบคว้าสมาร์ตโฟนมาเปิดไฟฉายแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังต้นตอของเสียง“ลิล!” เขาส่งเสียงเรียกพร้อมเคาะประตูห้องนอน“พี่ธีร์ช่วยลิลด้วย”เสียงตะโกนดังเล็ดลอดมาจากห้องน้ำ เขาจึงรีบผลักประตูห้องนอนเข้าไปแล้วหยุดยืนหน้าประตูอีกบาน"โอ๊ย"คนข้างในร้องโอดโอยจนเขาเริ่มใช้กำปั้นทุบแทนการเคาะ“ลิล เป็นอะไร!”ประตูห้องน้ำถูกเปิดออกพร้อมกับหญิงสาวที่อยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ เส้นผมบนศีรษะยังมีฟองประปรายลามมาถึงใบหน้า"ฟองยาสระผมเข้าตา..." ว่าพลางใช้นิ้วขยี้ตาจึงไม่ทันสังเกตเห
ดวงตะวันสีส้มสุกสว่างทอประกายอยู่เหนือเส้นขอบฟ้าของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ชายหนุ่มในชุดกีฬาสีดำวิ่งไปตามแนวชายหาดที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาเสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ขาที่ทรงพลังกระทบพื้นทรายอย่างหนักแน่น ขณะเดียวกันนัยน์ตาสีนิลก็จับจ้องไปยังเส้นทางข้างหน้าธีระวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนจะวนกลับมายังจุดเริ่มต้นด้วยอาการเหนื่อยหอบ หยาดเหงื่อชโลมไปทั่วทั้งร่างกาย แต่ถึงกระนั้นสมองกลับปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูกเขานอนหลับสนิทในรอบหลายปี...ถึงแม้จะจำไม่ได้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน ทว่าสิ่งที่เขาจดจำได้เป็นอย่างดีคือ ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ ข้างกายของเขามีน้องสาวเพื่อนสนิทนอนเคียงข้างบนโซฟาตัวเดียวกัน เพราะแบบนั้นจึงรีบลุกขึ้นแล้วเตรียมตัวออกมาวิ่งอย่างบ้าคลั่งเสมือนคนกระทำความผิดRrrr~สมาร์ตโฟนในกระเป๋าคาดเอวส่งเสียงอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเห็นหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำเอาเขาถึงกับพ่นลมหายใจพรวด สีหน้าออกอาการเหนื่อยหน่ายชัดเจน“ครับ”คำพูดบางอย่างจากปลายสายส่งผลให้แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะเผลอกัดริมฝีปากล่างเบาๆ อย่างลืมตัว“ผมอยู่ต่างจังหวัด”“พ่อจั
“คุณลลิล”“…”“คุณลลิลคะ!”“คะ?”“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”“เปล่าค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นหมอจะเริ่มตรวจแล้วนะคะ”คนที่นอนราบอยู่บนเตียงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะหลับตาลงครู่หนึ่งพลางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมสติไม่ให้เหม่อลอยอย่างก่อนหน้าไม่กี่วินาทีต่อมา เจลเย็นก็ถูกทาลงบนหน้าท้องแบนราบตามด้วยการใช้หัวตรวจเลื่อนวนไปมาเพื่อดูสิ่งมีชีวิตที่สุดแสนจะมหัศจรรย์ภายในนั้น“อายุครรภ์เจ็ดสัปดาห์ ทารกจะมีขนาดประมาณผลบลูเบอร์รี่เองค่ะ” แพทย์หญิงเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มไม่จางหายคนฟังอย่างเธอถึงกับหัวใจพองโต มือชื้นไปด้วยเหงื่อ ความรู้สึกตื้นตันท่วมท้นอยู่ภายในใจยากจะอธิบาย ครั้นเห็นทารกขนาดจิ๋วบนหน้าจอมอนิเตอร์ขยับตัวไปมาช้าๆ“แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีหัวใจแล้วนะคะ” สิ้นประโยคนั้น แพทย์หญิงจึงทำการกดปุ่มอะไรบางอย่างแต่แล้วจู่ๆ หญิงสาวก็รับรู้ได้ถึงอากัปกิริยาที่แปลกไปของอีกฝ่ายจึงรีบปริปากถามด้วยความฉงน“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“สักครู่นะคะ” บอกพลางกดปุ่มเดิมซ้ำๆ จนภายในห้องเริ่มมีเสียงหัวใจเต้นดังผ่านลำโพง แต่กระนั้นกลับต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างมากกว่าจะได้ยิน“ดูเหมือนว่าทารกจะมีภาวะหัวใจเ
สองเดือนต่อมา…ผมเฝ้ามองลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงหลังน้อยภายในห้องนั่งเล่นอย่างไม่รู้สึกเบื่อ ใบหน้าเล็กๆ ของเธอช่างบริสุทธิ์และน่าทะนุถนอมอะไรเช่นนี้อย่างที่รู้กันว่า ณดาเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ทุกคนรอบตัวต่างหลงรักเธอซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ตกหลุมรักลูกสาวตัวน้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า“กำลังชื่นชมผลผลิตของตัวเองอยู่เหรอคะ”ภรรยาของผมเอ่ยแซวแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายพร้อมระบายรอยยิ้มหวานอันเป็นเอกลักษณ์ เธอคือบุคคลสำคัญที่มอบของขวัญล้ำค่าและน่าอัศจรรย์ใจให้กับผม"แน่นอน"ผมว่าแล้วโอบไหล่บางแนบชิดกาย แต่พอลองสังเกตดูดีๆ เหมือนสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดีนักจึงอดที่จะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้“ที่รักไม่สบายหรือเปล่า”“แค่รู้สึกมึนๆ เหมือนนอนไม่พอนะคะ”เธอยังคงส่งรอยยิ้มฝืดเฝื่อนอย่างที่ชอบทำเพื่อให้ผมคลายกังวล“ไปพักหน่อยมั้ย ถึงยังไงวันนี้พี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ได้น้ำหวานๆ แล้วรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”ผมเพิ่งเห็นชานมไข่มุกที่เหลือครึ่งแก้วในมือข้างซ้ายของเธอ"ของหวานทำให้อารมณ์ดีขึ้นงั้นสิ"เธอพยักแทนคำตอบแล้วยื่นแก้วมาตรงหน้าผม"ลองชิมดูมั้ยคะ หวานร้อย(เปอร์เซ็นต์)อร่
“เป็นยังไงบ้างคะ”“อืม ดีมาก”“หมายถึงรสชาติอาหาร?”“หมายถึงเมีย”สิ้นประโยคนั้น ฉันถูกหอมแก้มทั้งสองข้างอีกฟอดใหญ่จึงวางช้อนชิมน้ำซุปก่อนหน้านี้ลงที่เดิมแล้วเอียงคอมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นสามีเชิงตัดพ้อ“เสียใจจัง ลิลอุตส่าห์ตั้งใจทำนะคะเนี่ย” “อ่า~ ไม่งอนผัวนะครับคนดี"เขาตีเนียนกระชับอ้อมแขนที่กำลังสวมกอดฉันจากข้างหลังแน่นขึ้นพลางเกยคางลงบนไหล่อย่างออดอ้อนแล้วเริ่มเอ่ยชมไม่ขาดปาก"ถึงยังไงอาหารฝีมือเมียก็รสชาติดี มีประโยชน์ ถูกหลักอนามัย และอร่อยที่สุดในโลก""...""แถมคนทำยังอร่อยและแซ่บจนหยุดกินไม่ได้อีกต่างหาก...”น้ำเสียงกระเส่าพอๆ กับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดขึ้นตรงมุมปากก่อนจะซุกไซ้ยังซอกคอของฉันอย่างหื่นกระหายจนต้องเอียงคอหลบสัมผัสสุดแสนจะวาบหวาม"อื้อ พี่ธีร์"“ผัวหิวอีกแล้ว”“เห็นทีตอนนี้คงไม่ได้ค่ะ” ฉันรีบตัดบทคนหื่นกระหายอย่างเขาที่ต้องทำเรื่องอย่างว่าสามเวลาก่อนอาหารหรือทุกครั้งที่มีโอกาส“ทำไมล่ะจ๊ะ เมียจ๋า” เขาใช้ฟันขาวๆ ขบเม้มผิวเนื้อนวลเนียนที่ซอกคออย่างคนที่กำลังมันเขี้ยว มือไม้เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฉันราวกับปลาหมึกแต่แล้ว…แอ๊ะ แง แง!เสียงร้องของลูกสาวตัวน้
ฟู่ว~ริมฝีปากหยักลึกระบายลมหายใจออกมาราวกำลังรวบรวมความกล้าพลางใช้นิ้วกดกริ่งสนทนาข้างประตูแล้วยืนรอครู่หนึ่ง ทว่ากลับไร้วี่แววของคนในห้องจึงลองใหม่อีกครั้งไม่กี่วินาทีต่อมา เขาตัดสินใจใช้คีย์การ์ดที่เพื่อนให้ติดมาด้วยแล้วผลักประตูเข้าไปทันทีก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจทั่วห้องเตียงนอนดูเป็นระเบียบเสมือนไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน บนโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้าไม่หลงเหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว อีกทั้งภายในห้องน้ำก็ปราศจากคนที่เขากำลังตามหาจึงรีบต่อสายหาเพื่อนด้วยความร้อนใจ“ลิลไม่ได้อยู่ที่ห้อง ของใช้ทุกอย่างก็ไม่มี” โพล่งออกมาทันทีที่อีกฝ่ายกดรับแล้วพึมพำด้วยความรู้สึกหวั่นใจ“หรือลิลหนีกูไปแล้ว”(มึงใจเย็นๆ แล้วลองขึ้นไปหาบนดาดฟ้าก่อน ลิลชอบไปนั่งเล่นที่นั่น)ธีระกดตัดสายแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังลิฟต์ ทว่าดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อเห็นป้ายลิฟต์ขัดข้องตั้งหราอยู่ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังใช้งานได้ปกติจึงเหลือบมองหมายเลขชั้นแวบหนึ่งขณะนี้เขายืนอยู่ที่ชั้นห้าสิบและดาดฟ้าคือชั้นเจ็ดสิบ นั่นหมายความว่าต้องเดินขึ้นบันไดไปถึงยี่สิบชั้น!"เอาว่ะ" นาทีนี้ต่อให้ต้องแลกกับอะไรเข
ปังๆๆเสียงทุบประตูห้องทำงานดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาชายหนุ่มที่หลับใหลอยู่บนโซฟาสะดุ้งตื่นก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด เขาคร่ำเคร่งกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำและเพิ่งจะได้นอนอย่างสงบสุขไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง“ไอ้คิน! กูมีเรื่องจะคุยกับมึง”น้ำเสียงคุ้นเคยเล็ดลอดผ่านเข้ามาพร้อมกับเสียงทุบบานประตูที่ยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ จนอนาคินต้องลุกไปปลดล็อกแล้วโพล่งถามท่าทางไม่สบอารมณ์“เป็นบ้าอะไรของมึง วุ่นวายแม่งตั้งแต่เช้า”"เช้าอะไรของมึง นี่มันเที่ยงแล้วโว้ย" สวนกลับทันควัน"แล้วมึงมีธุระอะไร" อนาคินมองเพื่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยหนวดเคราดูแปลกตา“มึงจะส่งลิลกลับไปอยู่ต่างประเทศเหรอ”“ใครบอกมึง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความสงสัย“ไอ้เดย์บอกว่าลิลจะออกเดินทางช่วงบ่ายของวันนี้”อนาคินจ้องลึกลงไปในดวงตาสีนิลคู่นั้นราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างและสิ่งที่เห็นได้ชัดคือความกระวนกระวายของอีกฝ่ายขณะรอฟังคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้“เพราะเรื่องนี้ มึงเลยรีบถ่อมา?”“กูจะไม่ยอมให้มึงทำแบบนั้นเด็ดขาด”“แล้วมึงจะทำไม" สีหน้าแฝงความเจ้าเล่ห์ขณะย้อนถามพร้อมจับตาดูอากัปก
“ลลิล!”“คะ?” เงยใบหน้ามองพี่ชายด้วยความงุนงง“เป็นอะไรไปนะ”“ปะ เปล่านี่คะ”อนาคินเบนสายตามองเอกสารบนโต๊ะที่ให้เธอตรวจสอบความเรียบร้อยแวบหนึ่งแล้วจับจ้องไปยังใบหน้าหวานอีกครั้ง"แล้วร้องไห้ทำไม"หญิงสาวรีบงุดหน้าและเห็นว่าบนแผ่นกระดาษมีหยดน้ำตาร่วงโรยลงมาจนเกิดรอยด่างดวงโดยที่เธอแทบไม่รู้ตัว“อ้ะ! ขอโทษค่ะ ลิลทำเอกสารเลอะหมดเลย” รีบขอโทษขอโพยอย่างรู้สึกผิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้“จะกลับบ้านก่อนมั้ย เดี๋ยวพี่ไปส่ง” เบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นสภาพน้องสาวของตัวเอง ความสดใสหายไป จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งหลุดลอยเสียแล้ว“ลิลไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” น้ำเสียงยังคงขึ้นจมูกขณะยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มกลืน“งั้นคืนนี้เราพักกันที่นี่เป็นไง พี่จะได้อยู่เคลียร์งานยาวๆ ”“ดีเหมือนกันค่ะ” อันที่จริงเธอเองก็ไม่อยากกลับบ้าน อีกทั้งยังคิดว่าหากได้อยู่ในสถานที่ใหม่ๆ อาจจะทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้าง“ไว้เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องห้องให้”หลังจากนั้นสองพี่น้องจึงนั่งทำงานของตัวเองไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นตึง!"โอ๊ะโอ~ ทำไมห้องนี้บรรยากาศดูอึมคร
นัยน์ตาคู่สวยเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ปราศจากดวงดาวพลางลูบสองแขนไปมาเพราะสะท้านกับความเหน็บหนาวขณะตกอยู่กับความคิดมากมายเพียงลำพังตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องกล้ำกลืนฝืนทนกลับมาใช้ชีวิตโดยไม่มีชายหนุ่มเคียงข้างกาย ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้เจอหน้า และทำได้เพียงแค่คิดถึงเท่านั้นความรู้สึกแสบร้อนเริ่มผุดขึ้นในดวงตาจนต้องกะพริบถี่ไล่ความชื้นให้มลายหายไปซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่หางตาเหลือบเห็นแสงไฟสว่างจ้าบริเวณสามแยกถนนลลิลจับราวระเบียงแล้วชะเง้อคอมองอย่างมีความหวังว่าอาจจะมีรถของใครบางคนจอดอยู่ตรงนั้น ทว่าเสียงที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกสติเธอให้กลับคืนมา“กับข้าวเสร็จแล้ว”อนาคินเดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้างน้องสาวแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางถามขึ้นด้วยความสงสัย“มองหาอะไรเหรอ”“เปล่าค่ะ ลิลแค่ออกมาสูดอากาศเฉยๆ”"เหมือนฝนจะตก เข้าข้างในเถอะ"หญิงสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วลอบมองไปยังจุดนั้นอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงความมืดมิดเท่านั้นจึงเลื่อนปิดประตูระเบียงก่อนจะเดินตามหลังพี่ชายลงไปยังห้องรับประทานอาหารความห่างเหินระหว่างพี่น้องเริ่มก่อเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นและถึงแม้ตอนนี้จะดีขึ้
เช้าวันต่อมาปึง!ร่างบางที่นอนหลับตาพริ้มในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงบางอย่างดังรบกวนโสตประสาท เธอจึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ดวงตาของเธอกลับเบิกกว้าง ความง่วงงุนก่อนหน้าหายเป็นปลิดทิ้งแล้วรีบยันกายขึ้นนั่งพลางกระชับผ้าห่มผืนหนาปกปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าเอาไว้“พี่คิน” แววตาสั่นระริกเช่นเดียวกับริมฝีปากที่พยายามเปล่งเสียงออกมาชายหนุ่มที่ยืนอยู่ปลายเตียงจับจ้องน้องสาวของตัวเองด้วยแววตาวาวโรจน์ กรามของเขาขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน อีกทั้งเส้นเลือดตรงขมับยังปูดโปนจากการพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังเดือดดาลสุดกำลังอนาคินแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความจริง หลังจากไม่ได้กลับมาบ้านเป็นระยะเวลาเกือบหนึ่งเดือน คนที่เขาไว้ใจมากสองคนกำลังนอนเคียงข้างกันบนเตียงในสภาพเปลือยเปล่ามือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นพร้อมพ่นลมหายใจพรวดออกทางปากก่อนจะตะคอกถามเสียงดังลั่นอย่างหมดความอดทน“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”ผู้เป็นน้องสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัวแล้วลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออึกใหญ่ก่อนจะมองพี่ชายด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด“เสียงอาราย”
“เดี๋ยว เดี๋ยวลิลช่วยพาไปห้องน้ำก็แล้วกัน” ละล่ำละลักบอกพลางช่วยพยุงไปยังห้องน้ำด้วยความทุลักทุเลทันทีที่มาถึงก็รีบปล่อยให้เขานั่งแหมะลงบนพื้นเย็นเยียบแล้วเปิดเรนชาวเวอร์หวังว่ากระแสน้ำเย็นๆ ที่ไหลผ่านจะช่วยระงับอารมณ์พลุ่งพล่านของเขาได้บ้าง“มันไม่ดีขึ้นหรอก” พิงผนังไว้เป็นที่ยึดแล้วปล่อยให้สายน้ำไหลลงมาสัมผัสร่างกายอันร้อนรุ่มขณะเดียวกันลมหายใจเริ่มติดขัดราวกับถูกขังในพื้นที่คับแคบ จากนั้นจึงเลื่อนมือสั่นเทาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตไล่ลงมาทีละเม็ดจนเผยให้เห็นแผงอกแข็งแกร่ง"พี่ธีร์จะทำอะไรนะ!" โพล่งถามแล้วรีบหันหลังหนีด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นมือของเขากำลังปลดหัวเข็มขัด"ในเมื่อเมียไม่ช่วย ก็คงต้องช่วยตัวเอง"น้ำเสียงเชิงตัดพ้อของเขาทำเอาเธอถึงกับเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปริปากพูดอะไรกลับถูกร่างสูงโถมตัวเข้ากอดจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัวหมับ!ธีระฉวยโอกาสนั้นซุกไซ้ยังซอกคอขาวสลับดูดดึงติ่งหูอย่างหื่นกระหาย“อื้อ” ความรู้สึกวาบหวามแล่นปราดไปทั่วสรรพางค์กาย ขณะเดียวกันก็พยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการของเขา"จะไม่ช่วยผัวจริงๆ เหรอ" กระซิบถามเสียงกระเส่าแล้ว
“พี่ธีร์โกรธลิลเหรอคะ” ปริปากทำลายความเงียบชวนอึดอัด หลังจากไฮเปอร์คาร์คันหรูเคลื่อนตัวออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นสักพักแล้ว“ทำไมพี่ต้องโกรธด้วยล่ะ” ย้อนถามขณะที่สายตายังคงมุ่งมองตรงไปบนถนนเบื้องหน้า“ถ้าไม่โกรธก็แสดงว่าหึง?” ชำเลืองมองปฏิกิริยาคนข้างกาย“ไม่มีทาง” ปฏิเสธเสียงห้วน“โอเค ไม่หึงก็ไม่หึง” ลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนปากแข็งแวบหนึ่งพลางอมยิ้ม จากนั้นจึงกลับไปให้ความสนใจทิวทัศน์นอกหน้าต่าง“พี่ธีร์ชะลอรถหน่อย” จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น“ทำไม”“ตรงนั้นน่าจะเป็นร้านขายของกิน” แล้วชี้ไปยังจุดที่มีแสงไฟอ่อนละมุนตัดกับแม่น้ำอันมืดมิดยามราตรี“ไปที่อื่นดีกว่ามั้ย”“แต่ลิลอยากไปดูตรงนั้นก่อน”ธีระได้ยินอย่างนั้นจึงเบี่ยงรถไปทางซ้ายแล้วขับเลียบแม่น้ำประมาณหนึ่งร้อยเมตร กระทั่งเห็นรถตู้สีแดงสำหรับขายอาหารแบบเคลื่อนที่ ด้านบนมีป้ายไฟเขียนไว้ว่าหม่าล่า&ยาดองหน้าร้านมีโต๊ะและเก้าอี้เข้าชุดวางไว้เพียงสองชุด พื้นที่ภายในรถถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านซ้ายมือมีวัตถุดิบเสียบไม้ไว้หลากหลายชนิดให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่ เนื้อปลา ลูกชิ้นและผักนานาชนิดส่วนด้านขวามือเต็มไปด้วยขวดโหลขนาดกลางที่บรรจุน้ำส