บทที่ 4
หวงจิงอวี๋นั่งทอดถอนใจอยู่บนเรือที่ลอยลำกลับจากการสู้รบกับแคว้นศัตรู แม้จะนำชัยชนะกลับมาให้เสด็จพี่และปกป้องแผ่นดินบ้านเกิดได้สำเร็จ แต่ในใจของเขากลับไม่มีความยินดี เบื้องหน้าคือทัศนียภาพของแผ่นดินบ้านเกิดที่เขาเคยรักและคุ้นเคย แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องลงบนท้องทะเลและแผ่นดิน ทำให้เกิดภาพที่งดงามและสงบสุข ทว่าในใจของหวงจิงอวี๋กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความเศร้าหมอง หวงจิงอวี๋กำลังนั่งทอดถอนใจอยู่บนกาบด้านหน้าของเรือ แม้จะกำชัยชนะกลับมาให้เสด็จพี่ของตน แต่กลับไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกยินดีนัก เพราะการเอาชนะเมืองแถบนี้เป็นเรื่องที่แคว้นของเขาสามารถทำได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้หากส่งบรรณาการ เสด็จพี่ของเขาก็จะไม่ทำอะไรเหล่าเมืองเล็กเมืองน้อย นั่นมันเป็นเรื่องก่อนที่มเหสีของเสด็จพี่จะถูกสังหาร เหล่าขุนนางที่รับเงินและถูกหลอกว่าหากจัดการกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ลงได้จะได้รับบัลลังก์เป็นสิ่งตอบแทน คนเหล่านั้นไม่มีทั้งหัวคิดและความสามารถ อาศัยยามที่เสด็จพี่ไปออกศึกจัดการทุกคนที่เสด็จพี่ของเขารัก หวงจิงอวี๋รู้ดีว่านี้เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของพี่ชาย แต่เขาก็ช่วยเหลืออะไรมากไม่ได้ คนตายก็ได้ตายไปแล้ว การจากไปของมเหสีและะรัชทายาทที่รักทำให้หวงตี้ที่ยังคงมีใจเมตตาอยู่บ้างแปรเปลี่ยนไป เพราะรู้ถึงสาเหตุจึงไม่ปล่อยให้บรรดาเมืองใหญ่น้อยเป็นหอกข้างแคร่อีก นั่นจึงทำให้พี่ชายทำเช่นนี้เขาจึงจำต้องออกรบถี่ขึ้นกว่าเดิม โดยแต่ละครั้งที่กลับมา แม้จะมีชัยชนะมาถวาย แต่สิ่งที่ได้ก็คือใบหน้าที่นิ่งเฉยจากพี่ชายเพียงเท่านั้น หวงจิงอวี๋ยังนึกเสียดาย หากเขากลับมาก่อนพี่ชายในศึกครั้งนั้นจะสามารถช่วยพี่สะใภ้และหลานชายเอาไว้ได้หรือไม่ ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดไปแล้ว ดวงตาของหวงจิงอวี๋มองไปยังสายน้ำตรงหน้าก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นบางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น “นั่นมัน” เสียงของเขาเรียกสายตาองครักษ์ข้างกายให้หันกลับมามองด้วยความสงสัย แต่หวงจิงอวี๋ไม่ทันจะอธิบายอะไรกับคนของตนก็หยิบเอาเชือกพันกับตัวเองและส่งปลายเชือกให้กับองครักษ์จู “ดึงเอาไว้” จบคำแม่ทัพใหญ่ก็กระโดดลงจากเรือ ทำเอาคนในเรือต่างแตกตื่น ไม่ใช่เพราะไม่เคยเห็นแม่ทัพใหญ่ทำเช่นนี้ แต่เพราะเรื่องศึกมันจบแล้วก็ไม่น่าจะต้องมีเรื่องตื่นเต้นอะไรอีก ทางด้านหวงจิงอวี๋ก็ว่ายน้ำตรงไปยังร่างที่เขาเห็น ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าตัวเองตาฝาดจะมีใครผมสีนี้ได้กันหากไม่ใช่คนแก่ แต่แม่นางตรงหน้า ใบหน้าเนียนเรียบเช่นนี้และผมสีขาวยาวสลวยเช่นนี้ ราวกับเซียนกับเทพ ชายหนุ่มไม่คิดอะไรอีกเขาจับเชือกที่พันตัวเองพันเข้ากับอีกฝ่ายด้วยก่อนจะว่ายไปยังเรือของตน บรรดาคนในเรือส่งบันไดลิงลงมาให้ชายหนุ่ม พร้อมกับใช้เชือกที่ดึงร่างคนทั้งสองเมื่อครู่ดึงร่างของ...ทุกคนปิดปากสนิทเมื่อเห็นการแต่งตัว ใบหน้า และสีผมของร่างหญิงสาวที่เจ้านายของตนพาขึ้นมาจากน้ำ ทันทีที่หวงจิงอวี๋ขึ้นมาจากน้ำเขาก็พาหญิงสาวไปยังห้องพักของตนในเรือ อีกฝ่ายได้สติเพียงชั่วครู่ก่อนจะสลบไปอีกครั้ง ไม่มีหญิงสาวคนใดจะสามารถเปลี่ยนชุดให้แม่นางตรงหน้านี่ได้ แม่ทัพหนุ่มมองหญิงสาวตรงหน้าอยู่นานก่อนจะหยิบเอาเศษผ้ามาพันตาเอาไว้ แล้วจัดการถอดชุดที่เปียกชื้นของนางออกแล้วเปลี่ยนเป็นชุดของเขา รวมถึงตัวเขาเองก็เปลี่ยนเป็นชุดใหม่เพราะชุดเก่าเปียกหมดแล้วจากการลงไปช่วยนางตรงหน้า หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างชายหนุ่มก็ออกไปบอกกับคนของตนให้ต้มยาแก้หนาวให้กับหญิงสาว แม้จะไม่รู้ว่านี่เป็นคนหรือเซียนเทพลงมาจุติ สิ่งที่เขาเห็นชัดที่สุดก็คือร่างที่สั่นน้อย ๆ จากความหนาวเย็นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ถึงเมืองของเขา เพราะสีผมที่แปลกตาและใบหน้าที่...หวงจิงอวี๋ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเขานั้นถูกใจใบหน้าของนาง เขาไม่สามารถปล่อยหญิงสาวเอาไว้ด้านนอกกับคนอื่น ๆ ในเรือได้ ไม่ใช่เพราะนางเป็นหญิง หรือเพราะเขาถูกใจ แต่สีผมของนางจะทำให้เกิดคำพูดมากมาย แต่หากเขาเป็นคนพูดออกไปเองเรื่องทุกอย่างก็คงจะง่ายกว่า เพราะนอกจากเรื่องที่พี่ชายเขานิสัยเปลี่ยนไปแล้วมันยังมีเรื่องอื่นที่รุนแรงกว่านั้น พี่ชายของเขาเพราะความเสียใจจึงตัดสินใจใช้คัมภีร์โบราณกับร่างและวิญญาณของพี่สะใภ้และหลานของเขา หลังจากนั้นทั้งเขาและเสด็จพี่ของเขาก็คล้ายจะติดต่อสื่อสารกับคนที่จากไปทั้งสองได้ แต่มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด การทำพิธีเป็นการทำให้ร่างทั้งสองทรมานเพราะสิ่งที่เขียนเอาไว้ในคัมภีร์มันคือคำสาปทำให้วิญญาณของทั้งคู่ถูกจองจำเอาไว้ และนั่นก็ยิ่งทำให้หวงตี้ฮ่องเต้ที่เคยเข้มแข็งและยิ่งใหญ่แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน “ยามเจ้าและลูกอยู่ข้าไม่สามารถช่วยชีวิตเจ้าและลูกเอาไว้ได้ ยามวิญญาณของเจ้าและลูกต้องการจะไป ข้ายังไปรั้งพวกเจ้าเอาไว้อีก” หวงจิงอวี๋เคยคิดหากเขาสามารถที่จะลบล้างคำสาปได้ บางทีเสด็จพี่ของเขาอาจจะรู้สึกดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ไม่ติดค้างกับภรรยาและบุตรชายของตน และยังไม่ทันที่หวงจิงอวี๋จะคิดมากไปกว่านั้นเขาก็ได้ยินเสียงละเมอของหญิงสาวที่ยังคงหลับตาสนิท มันจะไม่ทำให้ดวงใจของชายหนุ่มรู้สึกอะไรเลย หากไม่ใช่ว่าคำที่หลุดออกมานั้นจะเป็นชื่อของพี่สะใภ้และหลานชายที่จากไปแล้วของเขาบทที่ 5ยังมีเวลาอีกเป็นวันกว่าจะถึงเมืองหลวง หวงจิงอวี๋นั่งมองคนที่ยังคงหลับสนิทราวกับต้องการจะถามว่าคำที่นางเอ่ยออกมาเมื่อคืนก่อนมันคืออะไรกัน“ทำไมท่านแม่ทัพไม่ออกมาเลยล่ะ” เพราะเป็นแม่ทัพใหญ่จึงไม่ชอบให้ใครยกยศถาบรรดาศักดิ์ของตนมาที่สนามรบ ระหว่างที่ทำหน้าที่แม่ทัพ แม้จะเป็นอ๋องหรือจะเป็นพระอนุชาของกษัตริย์แต่หวงจิงอวี๋ก็ให้ทุกคนปฏิบัติกับเขาเหมือนกับแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น“ตั้งแต่รับแม่นางผมขาวคนนั้นขึ้นมาก็หายเงียบไปในห้องมีเพียงแค่องครักษ์จูที่เข้า ๆ ออก ๆ ได้” องครักษ์จูได้ยินทุกคนที่เหล่าทหารบนเรือพูด และที่จริงเขาก็บอกกับแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ยังเลือกที่จะเฝ้าแม่นางผู้นั้นราวกับรอคอยอะไรสักอย่าง“อื้อออ” เสียงคล้ายกับคนรู้สึกตัว ไม่ใช่เสียงบ่นงึมงัมเหมือนก่อนหน้านี้ทำให้หวงจิงอวี๋ที่เฝ้าอีกฝ่ายจนแทบไม่ได้หลับได้นอนเร่งไปที่ข้างเตียง “แม่นาง” คำเรียกของชายหนุ่มยังไม่แปลกเท่ากับทรงผมและเสื้อผ้าของเขา“มันก็แค่ปาร์ตี้ทำไมต้องเรียกอย่างนี้ด้วย” หลงเหยียนที่คิดว่าตนยังคงอยู่ในปาร์ตี้บนเรือบ่นออกไป “แล้วใครเป็นคนไปช่วยฉันเนี่ย” เธอคิดว่าตัวเองเพียงแค่ตกน้ำแล้วก
บทที่ 6แน่นอนว่าหลังจากนางสมอ้างตามน้ำตามคำพูดหวงจิงอวี๋ หลงเหยียนก็ถูกต้อนรับเป็นอย่างดี “ตอนนี้มีเพียงแค่เสื้อผ้าของข้ารบกวนเทพธิดาใส่ไปก่อนจะได้หรือไม่ หากถึงเมืองเมื่อใดท่านจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี” หลงเหยียนรู้สึกว่าตัวเองหลอกชายหนุ่มตรงหน้านี่เธอก็เป็นแค่คนธรรมดา แต่อีกฝ่ายกลับคิดว่าเธอเป็นเทพธิดาไปซะได้“เรียกเราหลงเหยียนก็พอ” หญิงสาวบอกออกไปด้วยรอยยิ้ม และนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มต้องก้มหน้าหลบสายตา “ได้หลงเหยียน”หวงจิงอวี๋ใช้เวลาคิดสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาว “ท่านรู้เรื่องทั้งหมดใช่หรือไม่ ข้าหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและคำสาป ท่านรู้มากแค่ไหนกัน” หลงเหยียนพยักหน้า “รู้อยู่บ้างเท่าที่หยูอิงและหย่งเล่อเล่าให้ฟัง และยังเห็นภาพคืนนั้นที่พวกเขาจากไป แต่เรื่องพิธีที่สามีของหยูอิงทำนั้นเราไม่เห็น” หลงเหยียนบอกออกไปตามตรง และแม้หญิงสาวจะไม่ได้อวดอ้างอะไร แต่การพูดแบบนั้นก็ยิ่งทำให้หวงจิงอวี๋เชื่อว่าหญิงสาวไม่ใช่คนของดินแดนมนุษย์และไม่ใช่คนจริง ๆส่วนทางหลงเหลียนที่พูดออกไปแบบนั้นก็เพราะเธอเห็นภาพจากมุมมองของคนที่จากไปแล้วอย่างหยูอิงทั้งเรื่องตอนที่กำลังจะจากไปและหลังจากนั้
บทที่ 7หลงเหยียนได้อาบน้ำและพักผ่อน ทุกครั้งที่เธอหลับหยูอิงและหย่งเล่อจะมาบอกเรื่องต่าง ๆ ที่หญิงสาวควรจะรู้และต้องรู้ “บอกพระสวามีของข้าว่าต่อให้ดื่มน้ำแกงของยายเมิ่งแล้วข้าก็ยังคงจะจดจำเขาได้” หลงเหยียนตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของนางกำนัลในจวนอ๋อง คำพูดของหยูอิงในความฝันนั้นช่างน่าแปลก แต่หลงเหยียนก็จำได้ทุกคำ ไม่เท่านั้น“บอกเขาแค่คนเดียวนะ อย่าให้ใครได้ยิน” เสียงกระซิบที่คล้ายจะลอยมากับสายลมทำให้หญิงสาวต้องพยักหน้าเบา ๆ เธอไม่รู้แล้วว่าเรื่องตอนนี้อะไรจริงอะไรเท็จ แต่หากนี่เป็นเรื่องจริงที่เธอไม่ได้คิดนึกขึ้นเอง การได้เจอกับหวงตี้ฮ่องเต้ก็เป็นอะไรที่น่ากลัวภาพในความฝันที่เห็นบ่อยครั้ง อีกฝ่ายไม่ได้ใจดีเหมือนกับน้องชายหวงจิงอวี๋ แต่กลับมีความโหดร้ายและเอาแต่ใจหนักอยู่ก่อนหน้าฮองเฮาจะจากไปก็ว่าแย่แล้วหลังจากจากไปก็ยิ่งแย่ขึ้นกว่าเดิมอีกหลงเหยียนถูกจับแต่งตัวโดยนางกำนัลมากมาย เธอนึกเห็นใจหญิงสาวสมัยก่อนที่ต้องเปิดเผยร่างกายให้กับสาวใช้ได้รู้ แต่จะให้ทำนั่นนี่เองไปทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ยากเกินไป ไม่ชินเลยจริง ๆ หลงเหยียนคิดชุดของเธอเป็นสีขาวเหมือนกับผมของเธอแต่มีผ้าวกกลับขึ้นไปคลุมผ
บทที่ 8“ฟังสิต่อให้เป็นคำลวงก็อยากฟัง” ฮ่องเต้หนุ่มไม่สนใจจะเก็บท่วงท่าสง่างามเอาไว้ เขาแค่ต้องการรู้จริง ๆ ว่าสิ่งที่ภรรยาที่รักบอกสิ่งใดกับหญิงสาวที่อ้างว่ามีพลังวิเศษนี้ แม้จะเป็นคำลวงเขาก็อยากฟัง หลงเหยียนกระดิกนิ้วให้อีกฝ่ายขยับมาใกล้ ๆ คนทั้งท้องพระโรงตาโตกับท่าทางราวกับดูถูกนั่น แต่หวงตี้ฮ่องเต้กลับทำตามโดยไม่ได้พูดอะไรคงเพราะสร้อยที่มันเหมือนกับของคนที่เขารักอยู่บนคอของนาง ช่างทำออกมาได้เหมือนกับของหยูอิงมากจริง ๆหวงจิงอวี๋ที่มองอยู่ก็รู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งเห็นสองคนกระซิบกระซาบใกล้กันก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ“เข้าใจหรือไม่” คำช่วงแรกไม่มีใครได้ยินนอกจากหวงตี้อ่องเต้เท่านั้น แต่หลังจากเสียงของหลงเหยียนเงียบลง หวงตี้ฮ่องเต้ก็เดินกลับไปยังบัลลังก์ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและออกคำสั่งทันที “ให้นางเข้ามาอยู่ในวังหลวง นางคือเทพธิดาที่จะมาช่วยบ้านเมืองเรา” หลงหยียนตกใจ นางไม่ได้ต้องการเช่นนี้ หญิงสาวขมวดคิ้วและส่ายหน้า “เราเข้ามาอยู่ที่นี่ไม่ได้ จะทำเรื่องนั้นได้เราจำเป็นต้องมีหวงจิงอวี๋ ไหนยังจะต้องเดินทางอีก” ทุกครั้งที่หลงเหยียนเรียกฮ่องเต้และท่านอ๋อ
บทที่ 9องค์หญิงม่านหลินจึงจำต้องเก็บความไม่พอใจลงคอทำได้เพียงยืนมองสองหนุ่มสาวยืนเคียงคู่กันม่านหลินเฝ้าดูอยู่จากมุมหนึ่งของท้องพระโรง สายตาจับจ้องไปที่หญิงสาวผู้ที่เดินเคียงข้างชายที่นางหลงรัก หวงจิงอวี๋และหญิงสาวผู้นั้นกำลังเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าหวงตี้ฮ่องเต้ หวงจิงอวี๋ยืนอยู่ข้างหญิงสาวผู้วิเศษอย่างเต็มใจ ภาพนั้นทำให้ม่านหลินรู้สึกเคียดแค้นอย่างยิ่ง แม้หวงตี้ฮ่องเต้จะไม่ได้กดนางให้ต้อยต่ำเยี่ยงตัวประกันผู้อื่น แต่การที่นางได้มายืนต้อนรับแม่ทัพและทหารที่กลับมาจากการชนะศึกที่ท้องพระโรงได้ ก็ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯ หาที่สุดมิได้แล้วหากม่านหลินแสดงกริยาใด ๆ ออกไปให้ขุ่นเคือง นางมิรู้ว่าตนเองที่อยู่ในฐานะที่ไม่แน่นอนจะเป็นเช่นไร แม้หวงตี้ฮ่องเต้จะให้นางอยู่เยี่ยงองค์หญิงพระองค์หนึ่งในวังหลังแห่งนี้ แต่ม่านหลินไม่ได้มีอำนาจอย่างที่ตำแหน่งของนางควรจะมีองค์หญิงม่านหลินจึงจำต้องเก็บความไม่พอใจลงคอ ทำได้เพียงยืนมองสองหนุ่มสาวยืนเคียงคู่กัน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจนางยิ่งเพิ่มพูนเมื่อเห็นหวงจิงอวี๋มองหญิงสาวที่เขาเอ่ยว่านางคือเทพธิดาที่จะมาช่วยถอนคำสาปด้วยสายตาอบอุ่นและ
บทที่ 10“พี่ใหญ่ดูสิเหมือนวันนี้เราจะเจอของดีเข้า” บรรดาโจรโผล่ขึ้นมาในมุมต่าง ๆ ทำให้หลงเหยียนรู้สึกกังวล “หยูอิงไม่ได้บอกว่าจะมีแบบนี้นี่นา”หลงเหยียนมองบรรดาซากศพของโจรที่เพิ่งต้องการจะปลดชีพนางและหวงจิงอวี๋ แค่เพียงนางหลับตาไปเพียงครู่ บรรดาองครักษ์และคนติดตามของท่านอ๋องก็จัดการโจรลงได้ในเวลาเพียงไม่นาน เรียกได้ว่าไม่กี่นาที“ท่านเป็นเทพธิดาคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้ แต่ดินแดนมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ บางคนไม่มีก็ไม่ทำอะไร หมายมั่นจะแย่งชิงเพียงอย่างเดียว และเพราะอย่างนั้นพี่สะใภ้และหลานของข้าจึงต้องจากไป”หลงเหยียนเข้าใจคำของหวงจิงอวี๋เป็นอย่างดี และอยากจะบอกกับชายหนุ่มด้วยว่าที่ไหนก็มีทั้งนั้น นางเองก็โดนแย่งงาน แล้วตอนนี้ยังต้องถูกพาร่างทั้งร่างย้อนเวลามาหาวิธีแก้คำสาปอีก และมีอยู่เรื่องหนึ่งที่หลงเหยียนไม่ได้บอกกับใคร เพราะหยูอินก็ไม่ได้บอกกับนาง ขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องทำในการล้างคำสาป มันเขียนเอาไว้ในคัมภีร์ หยูอิงเลือกที่จะปิดบังมันจากนาง หลงเหยียนรู้แต่เลือกที่จะนิ่งเงียบ เพราะนางในตอนนี้เรียกว่าไม่มีทางเลือก ต้องทำตามน้ำและความต้องการของคนพวกนี้ หากนางย้อนเวลามาแล้วไม่ได้เจอกับหวง
บทที่ 11ระหว่างเดินทางนับสิบกว่าวันหลงเหยียนแวะอาบน้ำสระผมถึงสามสามครั้ง นางก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นลำบากหรอก นางก็แค่ไม่ชิน แล้วอีกอย่าง หยูอินบอกว่าไปตอนนี้นางก็เข้าไปด้านในไม่ได้ เพราะไต้ซือที่ดูแลเจดีย์ทองนั้นเก็บตัวอยู่ ที่จริงอีกฝ่ายจะออกมาไม่จากเจดีย์ไม่กี่ครั้งต่อปีเท่านั้น และวันที่จะมาถึงก็อีกห้าวันแม้การเดินทางไปยังลี่เจียงจะใช้เวลานานและเต็มไปด้วยความลำบาก แต่หวงจิงอวี๋ก็จัดการทุกอย่างได้ดีเกินคาด เขาคอยดูแลหลงเหยียนอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินหรือที่พัก หลงเหยียนรู้สึกขอบคุณในใจและเริ่มเห็นถึงความพิเศษของชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้น“พวกเรามาถึงลี่เจียงแล้ว เจดีย์สีทองอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” หวงจิงอวี๋บอกเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองลี่เจียงหลงเหยียนมองไปยังทิวทัศน์รอบ ๆ เมืองที่สวยงาม แต่ก็รู้ว่าการมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อท่องเที่ยว แต่เพื่อทำภารกิจสำคัญในการปลดปล่อยวิญญาณและแก้คำสาป“ขอบคุณท่านมากที่ดูแลข้าอย่างดีมาตลอด” หลงเหยียนเอ่ยขึ้น“อีกสามวันก็จะถึงแล้ว” เวลาค่อนข้างชั้นเลยทีเดียว “ไต้ซือจะออกมาจากเจดีย์หลังจากนี้ห้าวัน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเราต้องทิ้งทุกคนแล้
บทที่ 12ทันทีที่ก้าวเดินเข้ามาในเจดีย์ทอง คำพูดที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินก็ดังขึ้น “คงเป็นการเดินทางที่ไกลมากสินะ ถึงจะไม่ง่ายแต่สิ่งที่ทำนี่ก็ไม่ยากเกินไปหรอกเพราะใช้ของที่ไม่ควรจะใช้จึงเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่สมบัติของแคว้นนี้เมืองนี้มันมาจากที่โบราณกว่านั้น” ไต้ซือพูดออกมาแทบจะในทันทีที่เดินเข้าไปถึงด้านใน“ไต้ซือรู้” หลงเหยียนหลุดเอ่ยออกมาด้วยความตกใจ เรื่องที่นางถูกวิญญาณของหยูอิงพาย้อนข้ามกาลเวลามา นางมิได้บอกใครแม้แต่หวงจิงอวี๋ไต้ซือหันมามอง และยิ้มจาง ๆ “รู้ทุกเรื่องจนเหนื่อยใจ ไม่ว่าจะอดีต ปัจจุบัน หรือวันข้างหน้า เอาเป็นว่าถ้าหากรู้สึกหลงทางก็ทำตามที่คัมภีร์ว่า อาตมาไม่ได้อยู่กับโยมจนถึงที่สุดของเรื่องราวหรอก นี่คงเป็นการเจอกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของเราทั้งสอง” อีกฝ่ายพูดไปก็เดินไปหยิบคัมภีร์ ก่อนจะนำมาส่งให้กับหญิงสาวผู้มาจากอีกห้วงเวลา ห้วงเวลาที่ยังมาไม่ถึง“ฝังมันไปกับโยม มันคือหนทางที่ดีที่สุดเพราะเจ้าของเก่าเขาโกรธแค้นที่สูญเสียคัมภีร์ประจำตระกูลไป และ” คำที่พูดซ้ำยิ่งทำให้หลงเหยียนสังสัยและอดไม่ได้ที่จะถาม “ฉันจะต้องตายที่นี่เหรอหรือเจ้าคะ” เมื่ออีกฝ่ายน่าจะรู้คว
ตอนพิเศษ+5แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปที่ไซต์งานจริง ๆ หวงต้าลู่กลับขับรถพาเธอไปส่งถึงที่ พร้อมกับเตรียมเก้าอี้นุ่ม ๆ และร่มกันแดดคันใหญ่ให้เธอตลอดเวลาที่เธอออกจากที่ร่ม อีกฝ่ายไม่ได้ให้เธอได้เดินไปไหนมาไหนเกินความจำเป็น ลูกน้องทุกคนได้รับคำสั่งให้ดูแลเธออย่างใกล้ชิด ราวกับเธอเป็นสมบัติล้ำค่าที่ต้องดูแลให้ดีที่สุด แต่หลงเหยียนก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะอย่างน้อยเธอก็ได้ทำงาน...หญิงสาวนั่งดูงานด้วยความพอใจ ขณะที่หวงต้าลู่นั่งอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลไม่ห่าง พวกเขาทั้งคู่หัวเราะและพูดคุยกันเบา ๆ ในบางครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นท่าทางที่ดูน่ารักดีสำหรับบรรดาเพื่อนร่วมงานคนอื่นเวลาผ่านไป 6 ปีพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่งดงาม ห้อมล้อมไปด้วยเทือกเขาและลำธารที่ไหลผ่าน ผืนดินที่เคยเป็นสถานที่ขุดค้นสมบัติโบราณ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชม ด้วยความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ และการจัดแสดงที่ได้รับการบูรณะอย่างพิถีพิถัน ซึ่งเป็นเรื่องราวของความรักและความเสียสละของต้นตระกูลหวง กลายเป็นเรื่องราวที่ซึ้งกินใจใครหลาย ๆ คนหวงต้าลู่และหลงเหยียนพาลูกแฝดของพ
ตอนพิเศษ+4“หลงเหยียน คุณต้องพักผ่อนมาก ๆ นะครับ อย่าทำงานหนักเกินไป ผมไม่อยากให้คุณหรือลูก ๆ ของเราเสี่ยงอะไรทั้งนั้น” หวงต้าลู่พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ขณะที่เขาช่วยประคองพาหญิงสาวเดินไปนั่งบนโซฟานุ่ม ๆ ในบ้าน เขาดูแลทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกินไปจนถึงการนอนหลับของเธอ จนหลงเหยียนนึกว่าตัวเองเข้าคอร์สอะไรสักอย่างที่ต้องมีเทรนเนอร์ตามติดหญิงสาวค่อนข้างจะอึดอัด เพราะปกติแล้ว หลงเหยียนเคยชินกับการทำงานหนักในไซต์งาน การเป็นนักโบราณคดีเรียกได้ว่านอนกลางดินกินกลางทราย บางทีก็ไม่ได้นอน บางทีก็ไม่ได้กิน ตอนนี้ได้ทั้งนอนเต็มอิ่มและกินจนจุกจึงทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการถูกประคบประหงมขนาดนี้ เธอรู้สึกคิดถึงการทำงานภาคสนาม ที่ซึ่งเธอสามารถใช้ความรู้และทักษะของเธอได้เต็มที่ ไม่ใช่แค่มองภาพที่ถ่ายมาแล้วประเมินเนื้อหาทั่ว ๆ ไปอย่างตอนนี้“หวงต้าลู่คะ ฉันอยากกลับไปทำงานที่ไซต์งานได้ยินว่าเจอของใหม่ และฉันมั่นใจว่ามีอีกหลายอย่างที่เรายังต้องค้นพบอีก แล้วก็ยังสุสานเก่าอีกที่ที่เราเคยไปด้วยกันเมื่ออดีตที่นั่น ฉันก็อยากจะหามันให้เจอแต่ที่สำคัญที่สุดเลย คือฉันคิดถึงการทำงานที่นั่นมาก” หญิงสาวบอก
ตอนพิเศษ+3ภาพคนทั้งสองที่ยืนเคียงข้างกัน ขณะที่เสียงเพลงหวาน ๆ บรรเลงขึ้นเบา ๆ เป็นภาพที่ทำให้บรรดาแขกมีรอยยิ้ม ทุกคนต่างเห็นพ้องว่าทั้งสองคนนั้นถูกกำหนดมาให้คู่กันอย่างแท้จริง ซึ่งแม้แต่กาลเวลาก็ไม่สามารถทำลายได้เมื่อเรือแล่นกลับมายังท่า หวงต้าลู่จับมือหลงเหยียนไว้แน่น ขณะที่พวกเขาเดินลงจากเรือไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เปล่งประกายทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันไปข้างหน้า ท่ามกลางเสียงปรบมือและความยินดีของแขกที่มาร่วมงาน งานแต่งงานครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเริ่มต้นชีวิตคู่ในปัจจุบัน แต่เป็นการเริ่มต้นชีวิตคู่ที่ได้รับการสานต่อจากอดีต และพวกเขารู้ดีว่าทุกย่างก้าวที่พวกเขาจะก้าวไปด้วยกันนั้นจะเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความผูกพันที่ยืนยาวข้ามผ่านกาลเวลาหลังจากงานแต่งงานที่อลังการบนเรือผ่านพ้นไป หวงต้าลู่และหลงเหยียนเลือกที่จะไม่เดินทางไปยังสถานที่หรูหราเหมือนคู่แต่งงานอื่น ๆ แต่พวกเขากลับเลือกที่จะไปฮันนีมูนในเมืองโบราณที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความทรงจำ เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่พวกเขาไม่ได้ใช้ร่วมกันในอดีตพวกเขาเดินทางมาถึงเมืองโบราณลี่เจียง เมืองที่มีอายุนับร้อยปี ถนนหนทางยังคงปูด้วยหินกรวด บ้
ตอนพิเศษ+2“ขอบคุณนะที่อยู่ข้าง ๆ ฉันเสมอ คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนเรากำลังเริ่มต้นสิ่งใหม่”“ผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน ทุกอย่างที่เราเจอมา ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน มันทำให้ผมมั่นใจว่าเราถูกกำหนดมาให้คู่กัน” แม้ว่าจะต้องใช้ความเจ้าเล่ห์ของตัวเองช่วยเหลือบ้าง แต่หวงต้าลู่คิดเช่นนั้นจริง ๆ ถ้าสวรรค์ไม่ช่วย เขาจะนำหญิงสาวข้าง ๆ กายมาเป็นของตนได้อย่างนั้นเหรอคงไม่มีทางงานแต่งงานของพวกเขาที่กำลังจะมาถึง ไม่ใช่แค่งานแต่งงานธรรมดา ๆ แต่มันเป็นการฉลองให้กับความรักที่ยาวนานผ่านกาลเวลา และเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่รู้จบงานแต่งงานของหลงเหยียนและหวงต้าลู่จัดขึ้นอย่างอลังการ บนเรือที่ล่องออกไปกลางแม่น้ำใหญ่ แม้ว่าในตอนแรกทั้งสองจะมีความลังเลใจเป็นอย่างมากที่จะทำแบบนี้ เพราะในอดีตเคยเกิดเหตุที่ทำให้หลงเหยียนหายไปจากชีวิตของหวงต้าลู่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแต่ความเชื่อมั่นที่ทั้งสองคนมีให้ต่อกันก็ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะจัดงานแต่งงานในสถานที่แห่งนี้ เพื่อเป็นการพิสูจน์ความรักที่ยิ่งใหญ่และความผูกพันที่จะไม่มีวันจางหายตลอดกาล ต่อให้จะมีอุปสรรคมากแค่ไหนก็ตาม“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมหลงเหยียน” หวงต้า
ตอนพิเศษ+1งานแต่งงานที่ใกล้เข้ามา ทำให้หลงเหยียนตื่นเต้นและอดไม่ได้ที่จะมีความคาดหวังกับมัน และเพราะอย่างนั้นหญิงสาวจึงมากังวลอยู่อย่างนี้ ตอนนี้เธอนั่งประชุมกับเพื่อน ๆ เพื่อจัดเตรียมงานแต่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ถึงแม้หลาย ๆ อย่างจะถูกเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว กลับมีสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวยังหาไม่ได้ นั่นก็คือธีมของงานแต่ง ในวันที่สถานที่พร้อม ชุดพร้อม และทุกอย่างพร้อมสิ่งที่สำคัญที่สุดกลับยังไม่มี“ฉันมีไอเดียเสนอ ทำไมเราไม่ใช้ธีมต่อจากนิทรรศการที่เพิ่งจัดไปล่ะ” หลงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่เพื่อนอีกคนก็รีบเสริมทันที“จริงด้วย จริงด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นจะต้องเป็นธีมงานที่คนพูดถึงไปอีกนานแน่ ๆ ไหน ๆ ก็คงจะต้องเป็นข่าวอยู่แล้วใช่ไหมว่าที่คุณนายหวง” คำของเพื่อน ๆ ทำให้หลงเหยียนหน้าแดง เพื่อนที่ช่วยกันอยู่ตอนนี้ก็เป็นบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นของเธอที่มหาวิทยาลัย และเพื่อนร่วมงานทั้งนั้น เพราะหญิงสาวเป็นคนบ้างานบ้าเรียนสุดท้ายจึงรู้จักคนอยู่เท่านี้“ใช่ไหมล่ะ ท่านอ๋องที่รอคนรักมาตลอดหลายร้อยปี แล้วสุดท้ายก็ได้เจอกันในชาตินี้และได้แต่งงานกัน เหมือนคู่ของเธอกับคุณหวงไง เจอกันเพราะเธอมาขุดสุสานต้น
บทที่ 35บนเรือสำราญลำเดิมที่ทำให้หวงต้าลู่และหลงเหยียนได้พบกันจากอุบัติเหตุของหญิงสาว ตอนนี้ทั้งคู่กลับมายืนที่ตรงนี้อีกครั้งพร้อมกับบรรยากาศที่คล้าย ๆ เดิมแต่ไม่เหมือนเดิมซะทีเดียว ปาร์ตี้ก็ยังคงดำเนินไประหว่างที่เรือลำใหญ่ล่องผ่านสายน้ำที่เงียบสงบ ไม่มีอาจารย์จางอยู่บนเวทีและไม่มีคนที่แอบอ้างงานคนอื่นอย่างว่านหนิงอยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลงเหยียนกับทีมนักโบราณคดีคนอื่น ๆ ที่ถูกกล่าวถึงทีละคน เพราะ “งานนี้คงสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีทุกคนช่วยเหลือ” หลงเหยียนกล่าวระหว่างที่ยืนอยู่บนเวทีที่ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายแสงไฟวิบวับจากดวงไฟนับร้อยที่ประดับประดาบนเรือ ทำให้บรรยากาศของงานเลี้ยงฉลองดูหรูหราและอลังการมากขึ้นไปอีกแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างแต่งกายในชุดราตรี นักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงและสื่อมากมายหลายสื่อต่างเข้าร่วมงานนี้ หลายคนมาเพราะคำเชิญ อีกหลายคนมาเพราะสนใจในงานนิทรรศการที่เพิ่งผ่านไปจริง ๆ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงดนตรีที่บรรเลงเบา ๆ คลออยู่ในอากาศหลงเหยียนกลับมายืนอยู่ที่ด้านหลังเรืออีกครั้ง หญิงสาวมองออกไปยังสายน้ำเบื้องล่าง เธอสวมชุดราตรีสีงาช้างที่พลิ้วไหวท
บทที่ 34ความเชื่อมั่นที่หญิงสาวมีต่อหวงต้าลู่ทำให้เธอรู้สึกเข้มแข็งขึ้น และไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ความจริงที่ชายหนุ่มเล่าให้ฟังอาจทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวหรือกังวล แต่สำหรับหลงเห ยียน เธอกลับรู้สึกเฉย ๆ ไม่ใช่เพราะเธอไม่ใส่ใจ แต่เพราะตอนนี้เธอมีหวงต้าลู่อยู่เคียงข้าง ความรู้สึกปลอดภัยที่เขามอบให้มันมีค่ามากพอที่จะทำให้เธอไม่ต้องกังวลกับเรื่องอดีตอีกต่อไปหลงเหยียนยิ้มบาง ๆ และบีบมือหวงต้าลู่ที่ยังจับมือเธออยู่เบา ๆ“แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณจริง ๆ นะคะที่คุณเป็นห่วงและเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน แต่...ฉันคิดว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ ไม่ว่าว่านหนิงจะเคยทำอะไรหรือไม่เคยทำ ตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจแล้วจริง ๆ เพราะฉันมีคุณอยู่ข้าง ๆ ฉันรู้ว่าคุณจะปกป้องฉันได้เสมอ” หลงเหยียนตัดสินใจพูดความในใจออกไปให้อีกฝ่ายได้รู้หวงต้าลู่มองหลงเหยียนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับ“ผมดีใจที่คุณรู้สึกแบบนั้นครับหลงเหยียน ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณปลอดภัย และจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายคุณได้อีกแน่นอน” หลงเหยียนพยักหน้าและยิ้มอย่
บทที่ 33“นี่มัน” หญิงสาวพูดออกมาเมื่อเสื้อเชิ้ตขาวของชายหนุ่มแหวกออกเพราะแรงกอดของเธอ รอยสลักที่เป็นชื่อของหญิงสาวยิ่งทำให้น้ำตาของหลงเหยียนไหลออกมาอีก “นี่มัน” หวงต้าลู่ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น “เอาไว้ผมจะเล่าทุกเรื่องให้ฟัง แต่ตอนนี้คุณต้องพักก่อนนะ ผมรู้ว่าคุณอาจจะเป็นห่วงเรื่องงานและเรื่องนิทรรศการด้วย” หลงเหยียนยิ้มจาง ๆ อยากจะบอกกับอีกฝ่ายว่าเธอลืมมันเกือบหมดเมื่อเห็นชายหนุ่ม ไม่น่าเชื่อว่าความรู้สึกมันจะท่วมท้นจนทนไม่ไหวขนาดนี้“ฉันคิดถึงคุณมากตอนนี้เรื่องอื่นฉันไม่สนหรอก ขอโทษนะที่ทิ้งคุณมา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมฉันถึงได้ลืมคุณ เรื่องทดลองคบของเราเปลี่ยนมันเป็นถาวรเถอะนะ” หลงเหยียนไม่รีรออะไรอีกแล้ว เพราะเธอและอีกฝ่ายรอมานานเหลือเกินแล้ว“ผมก็คิดถึงคุณ คิดถึงมากเกินกว่าที่คุณจะคาดคิดเลยทีเดียว และเพราะอย่างนั้นผมเลย...” หลงเหยียนรีบเอามือปิดปากไม่ให้เขาพูดอะไรออกมา น้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาของเธอ เธอเห็นมันทั้งหมดว่าเขาทำสิ่งใดเพื่อให้ได้มาพบเธอในโลกปัจจุบัน ความฝันทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มที่อยู่ในฝันคือเขาในอดีต“แต่ตอนนี้เราม
บทที่ 32หลังจากเรื่องราวทั้งหมด เมื่อความอิจฉาและความแค้นก่อตัวขึ้นในใจของว่านหนิง จนแทบจะระเบิด เธอก็เริ่มคิดถึงวิธีการที่จะทำให้หลงเหยียนได้รับความเจ็บปวดเหมือนที่ตัวเองเคยเผชิญมา ความรู้สึกที่ถูกหวงต้าลู่ปฏิเสธอย่างไร้ค่า รวมถึงการเห็นหลงเหยียนกับหวงต้าลู่รักกันมากขึ้นทุกวัน มันทำให้ว่านหนิงไม่สามารถทนได้อีกต่อไปว่านหนิงเฝ้าดูหลงเหยียนจากระยะไกลมาตลอด แม้ว่าช่วงนี้เธอและอีกฝ่ายจะไม่ค่อยได้เจอกัน หญิงสาวรอคอยโอกาสที่จะแก้แค้นให้สมกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับตลอดมา เพราะสนิทจึงรู้ว่าหลงเหยียนมักจะใช้บันไดทางด้านหลังของอาคารเก็บผลงานเพื่อเดินไปยังห้องทำงานตรงไซต์งาน เนื่องจากเป็นทางที่เงียบสงบและมีคนใช้น้อย ว่านหนิงจึงคิดว่านั่นน่าจะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลงมือจัดการหลงเหยียนโดยไม่มีใครเห็นว่านหนิงแสร้งทำตัวเป็นมิตร และเดินเข้าไปทักทายหลงเหยียนด้วยรอยยิ้มที่ดูไร้พิษภัย แต่ในใจกลับคิดถึงแผนการที่อันตรายอย่างเงียบ ๆ“อยู่ทำงานดึกอีกแล้วนะ” หลงเหยียนยิ้มตอบอย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่มีเรื่องกัน หากไม่จำเป็นเธอและอีกฝ่ายก็แทบจะไม่พูดคุย“แค่ยุ่งนิดหน่อยน่ะ” หลงเหยียนตอบกลับไ