“ไปทางนี้ แพงต้องเกาะหลังพี่ไว้ พี่จะพาว่ายน้ำข้ามฝั่งไปหา บุญยอด เราจะหลบอยู่ที่นั่นก่อนป้าจันไม่กล้าตอแยแม่บุญเยี่ยมหรอก”
พิมพ์ภัสสรจูงมือผอมๆ ของน้องสาวเดินลัดเลาะกำแพงมาอีกด้านซึ่งไกลพอสมควรจนมาถึงคลองเล็กๆ หลังหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ที่สายน้ำขุ่นทั้งดำสกปรก แต่พวกเธอไม่มีทางเลือก ถ้ากลับไปที่ถนนพวกเธอถูกจับตัวกลับไปได้แน่นอนแต่ถ้าไปทางนี้ พวกเธออาจจะรอด
เด็กหญิงทั้งสองเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มและลมก็กรรโชกแรงขึ้น สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่บนผืนฟ้าทะมึนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานพายุฝนก็จะเทกระหน่ำลงมา ทั้งสองเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นมือเล็กๆ ถือไม้อันยาวก็ฟาดถางทางให้ตนเองกับน้องจนถึงลำคลองเด็กหญิงก็ถอนใจด้วยความโล่งอกและเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปมองกำแพงบ้านของตนเป็นครั้งสุดท้าย บ้านที่เคยสวยงามอบอุ่นเพียบพร้อมจะไม่มีอีกแล้ว...
“เพื่อน แพงกลัว ฮือๆๆ”
“ไม่ต้องกลัวนะแพง เพื่อนจะดูแลแพงเอง น้องพี่อย่ากลัว”
ผู้ซึ่งเกิดก่อนไม่กี่นาทีเฝ้าปลอบโยน ใบหน้าเล็กๆ ก็ซีดลงอีกคราเมื่อได้ยินเสียงเดินและเสียงก่นด่าของสองแม่ลูกมหาภัยกำลังตรงมายังทิศทางที่พวกเธออยู่ สองแม่ลูกนี้ช่างเหมือนสุนัขล่าเนื้อที่กัดไม่ปล่อยจริงๆ และในไม่ช้าลุงของเธอก็มาสมทบกับลูกเมียของเขาแน่นอน
“คราวนี้ถ้าจับอีเด็กสองคนนั่นได้ แม่ขายมันไปเลยนะ ฉันไม่อยากให้พวกมันมาลอยหน้าลอยตาในบ้านเราอีกแล้ว” ด้านสองแม่ลูกเดินตามเด็กทั้งสองจนมาสุดกำแพงบ้านและกำลังคิดว่าเด็กแฝดจะต้องมาที่นี่แน่ๆ
“นั่นล่ะคือสิ่งที่แม่คิดไว้ ไอ้ศักดิ์มันมองอีแพงตาเป็นมัน มันคงอยากจะได้นังเด็กนั่นมาก ไอ้นี่มันโรคจิตชอบเอาเด็ก หึหึ” นางจันพูดด้วยน้ำเสียงสะใจหยาบคาย
“ต๊าย จริงเหรอแม่ ดีจริงๆ อีแพงต้องตายคา... น้าศักดิ์แน่ๆ ฮ่าๆ ฉันล่ะอยากให้พวกมันตายทั้งเป็นนักถึงว่าสิน้าศักดิ์ชอบมาบ้านเราแล้วก็ชอบไปวอแวกับอีแพง มันเป็นแบบนี้นี่เองสะใจจริงๆ เลยหากมันโดนน้าศักดิ์... ฮิๆๆ” เด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบเท่านั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจเต็มไปด้วยจริตมารยาเกินเด็กเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยจริตนั้นทำให้เจนจิราดูแก่เกินวัย ผู้เป็นแม่กลับยิ้มด้วยความชื่นชม
“ใช่แล้วลูก ความหายนะของพวกมันคือความสุขของเรา ฮ่าๆๆ” สองแม่ลูกหัวเราะด้วยความสะใจขณะยืนรอผู้เป็นสามีซึ่งสิ่งที่ทั้งสองคุยกันทำให้เด็กหญิงซึ่งหมอบหลบอยู่ภายใต้ต้นกกที่ขึ้นหนาทึบบริเวณชายคลองน้ำตาไหลด้วยความอดสูและเจ็บปวด โดยเฉพาะพิมพ์ภัสสรนั้นกัดกรามกรอดด้วยความเคียดแค้นชิงชังสองแม่ลูกยิ่งนัก
“แพงไม่ต้องกลัวนะ ต่อไปนี้จะไม่มีใครทำร้ายแพงได้ พี่จะปกป้องแพงเอง เท่าชีวิต” เด็กหญิงกระซิบให้สัญญาต่อแฝดผู้น้องเสมือนว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่เสียนักหนาทั้งที่ความจริงพวกเธอเป็นเพียงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษเท่านั้น
“พอพวกนั้นหันหลังเราจะคลานลงน้ำว่ายข้ามไปฝั่งโน้น” พิมพ์บงกชก็พยักหน้าอย่างเหนื่อยล้าใบหน้าขาวซีดริมฝีปากเขียวคล้ำสั่นระริกเพราะความหวาดกลัวแต่เต็มไปด้วยความหวังเรืองรอง...
“สองคนนั้นยืนตากแดดหรือตากฝนนานๆ ไม่ได้หรอก อดทนหน่อยนะถ้าเขาเห็นเราตอนนี้เราจะไม่มีทางรอดรอให้ฝนตกลงมาก่อนเถอะ”
“จ้ะ แพงจะอดทน” เหมือนสวรรค์ยังคงมีเมตตาอยู่บ้างเมื่อฝนเม็ดโตเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาสองแม่ลูกจึงวิ่งเข้าไปหลบฝนเด็กหญิงทั้งสองจึงฉวยโอกาสนั้นค่อยๆ ย่องเดินลงน้ำไปช้าๆ
น้องแพงเกาะบ่าของแฝดผู้พี่แน่นแล้วสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด ดวงตากลมโตที่ไร้แววสดใสมานานนับปีนั้นเรืองรองด้วยความหวังเมื่อร่างที่สูงใหญ่กว่าเล็กน้อยของพี่สาวค่อยๆ พาตนลงน้ำลึกลงเรื่อยๆ จากแค่เข่าถึงเอวจนลึกถึงลำคอ เด็กหญิงพิมพ์ภัสสรซึ่งเคยเรียนว่ายน้ำเมื่อสมัยที่บิดามารดายังอยู่แต่ก็ว่ายได้ไม่แข็งเท่าไหร่นัก แต่อาศัยว่าตนแอบมาเล่นน้ำคลองกับบุญยอดเพื่อนสนิทซึ่งเป็นเด็กริมคลองบ่อยๆ เธอจึงสามารถว่ายได้ดีขึ้นแต่ก็เก่งสู้บุญยอดไม่ได้ เด็กหญิงค่อยๆ แหวกว่ายไปอย่างเงอะงะพลางบอกให้น้องสาวช่วยตีขาในน้ำเพื่อช่วยส่งแรงแหวกว่าย
เม็ดฝนหนาขึ้นและลมเริ่มกรรโชกแรงทั้งสาบฟ้าก็ฟาดแปลบปลาบดังสะสนั่นไปทั้งโลก เงาร่างของเด็กหญิงที่ลอยอยู่กลางคลองน้ำสายเล็กนั้นปรากฏต่อสายตาของผู้ที่อยู่บนฝั่งซึ่งต่างมองเด็กทั้งสองด้วยความแปลกใจ บ้างก็นึกขัน บ้างก็นึกห่วงเพราะคลองสายนี้ก็ยังมีเรือยนต์สัญจรไปมาอยู่ บางคนก็นึกสมเพชเวทนา แต่บางคนเดือดดาลด้วยความชิงชัง
“แม่ ดูนั่น นังเพื่อนนังแพง...”
“ฮึ้ย อีพวกเด็กเหลือขอ ฉันจะทำยังไงกับพวกมันดีนะ” นางจันจวงพลุ่งพล่านด้วยความชิงชังและนึกอยากจะบีบคอเด็กทั้งสองให้ตายคามือเสียนัก
“แม่ หรือว่าเราจะจ้างเรือไปตามจับพวกมัน”
“เออนั่นสินะ แล้วพ่อแกล่ะ”
“ไม่รู้ บอกว่าจะตามมาแต่ยังไม่มา...”
“มาแล้วๆ ไหน อีเด็กสองคนนั่นไปไหน” นายพัฒน์วิ่งกระหืดกระหอบมากลางสายฝนกระหน่ำ สามคนพ่อแม่ลูกต่างยืนหันรีหันขวางหาทางไปจับตัวเด็กสองคนนั้นกลับมาลงโทษ
“ฉันว่าเราน่าจะจ้างเรือออกไปจับมันมานะพ่อ” เด็กหญิงเสนอความคิดอีกครั้ง
“แล้วมันจะทันเหรอพวกมันเกือบจะถึงฝั่งแล้ว”
“ถ้ามันขึ้นฝั่งได้ มันจะต้องไปที่ไหนนะ...” นางจันจวงครุ่นคิดแล้วดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา
“เรากลับกันเถอะ ฉันรู้แล้วว่ามันจะไปไหนกัน...”
ทางด้านเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังว่ายน้ำข้ามไปยังอีกฝั่งนั้นลอยคออยู่กลางลำคลองซึ่งสายน้ำค่อนข้างเชี่ยวเนื่องจากเป็นหน้าฝนปริมาณน้ำในคลองก็ทั้งสกปรกและไหลแรงช่วงกลางลำคลอง แต่เด็กหญิงทั้งสองก็พยายามประคับประคองพวกตนให้ผ่านมันไปได้ ชายฝั่งอยู่แค่เอื้อมเทานั้นเอง...
“เพื่อน... แพงตีน้ำไม่ไหวแล้ว เพื่อนปล่อยแพงเถอะ”
“ไม่เอา แพงห้ามปล่อยมือจากเพื่อนนะ เราจะถึงฝั่งแล้ว อีกนิดเดียว” แฝดผู้พี่บอกด้วยแรงหอบโยน และกำลังจะหมดแรงดวงตากลมโตของเด็กหญิงเริ่มพร่ามัว แขนขาก็เริ่มไร้แรงที่จะจ้วงโจนน้ำต่อไป แต่เธอจะไม่ยอมแพ้
“โธ่ เพื่อน...”
ตอนที่4.“ถ้าแพงปล่อยมือจากเพื่อนไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เพื่อนจะไม่ให้อภัยแพงเลย” พิมพ์ภัสสรพูดราวผู้ใหญ่ น้ำเสียงของเธอหนักแน่นแม้อ่อนแรงก่อนที่เธอจะรู้สึกหนักอึ้งหูอื้อตาลายและขาเล็กๆ นั้นเริ่มจะตีน้ำไม่ไหวมันทั้งหนักอึ้ง ทั้งปวดแปลบราวใครเอาเข็มนับพันเล่มมาทิ่มแทงลงขาทั้งสองข้างของเธอ...“เพื่อน เพื่อนเป็นอะไร เพื่อน ไม่นะกรี๊ดดด” เด็กหญิงตัวเล็กกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อพี่สาวของตนจมดิ่งลงไปในน้ำทำให้เธอต้องตะเกียกตะกายอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยวทั้งสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก แขนเล็กๆ วาดตีน้ำอย่างตกใจจนน้ำแตกกระจายรอบกายเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของเธอกลับไม่มีใครได้ยิน เด็กหญิงตาเหลือกลานเริ่มหายใจไม่ออก ความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุมในหน่วยตาก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบลงไปในความเย็นยะเยือกของสายน้ำพวกเธอไม่สามารถไปถึงฝั่งทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมหรือไร ไยสวรรค์ช่างโหดร้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นพวกเธอเช่นนี้หนอ18 ปีผ่านไป...ร่างระหงปราดเปรียวในชุดเดรสสั้นรัดรูปสีส้มทองก้าวเดินฉับๆ เข้าไปยังสำนักงานเล็กๆ ทว่าสะอาดเอี่ยมแวดล้อมด้วยต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามและยังเป็นสำนักงานต้นสังกัดของ พริตตี้ชั้นแน
ตอนที่1.“อย่านะ ไม่... อย่าทำแพงเลย คุณลุงขาอย่าตีแพงนะคะ แพงขอร้อง ฮือๆๆ อย่าตี...” เสียงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษร่ำร้องอ้อนวอนต่อชายฉกรรจ์ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ สีหน้าถมึงทึงกับแววตาแดงก่ำของเขาน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก ดวงใจเล็กๆ ของเด็กน้อยเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว“นังเด็กนรก มึงอย่ามาอ้อนวอนให้เสียเวลา มึงแกล้งลูกกูใช่มั้ย เด็กอย่างพวกมึงต้องโดนแบบนี้”นายพัฒน์ชายวัยสามสิบปลายเงื้อด้ามไม้กวาดขึ้นสูงด้วยความฉุนเฉียวหมายจะฟาดลงไปบนตัวเด็กน้อย“ลุงพัฒน์ อย่า อย่าตีแพง ฮือออ...”เด็กหญิงซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะวิ่งมาขวางไว้ก่อนที่ด้ามไม้กวาดจะโดนร่างเล็กๆ ที่นอนหมอบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ...“ลุงจ๋า นี่ไง เพื่อนหาเงินมาให้ลุงกับป้าได้แล้ว นี่จ้ะ นี่เงินเพื่อนไปช่วยคุณครูที่โรงเรียนทำความสะอาดบ้านมาแล้วก็เก็บขวดไปขายได้มาสองร้อย เพื่อนให้ลุงกับป้าไปหมดเลย” เด็กหญิง พิมพ์ภัสสร ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ยื่นแบงก์ร้อยที่ค่อนข้างยับยู่ยี่ให้ผู้เป็นลุงแท้ๆ ด้วยความหวาดหวั่นแล้วเข้าไปประคองร่างผอมบางซีดขาวของ พิมพ์บงกชที่สะอื้นไห้อยู่กับพื้น เด็กหญิงทั้งสอ
ตอนที่2.“โธ่แพง เพื่อนจะพาแพงหนีคนใจร้ายพวกนี้ไปให้ได้”ปังๆๆ เสียงทุบประตูด้วยความโกรธดังขึ้นทำให้ทั้งสองสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว เสียงสองแม่ลูกจะร้องเรียกพวกเธออย่างหยาบคายอยู่ด้านนอกห้องเก่าโกโรโกโสเพราะขาดการเอาใจใส่ดูแลยิ่งทำให้พิมพ์บงกชตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นเด็กหญิงมองหน้าแฝดผู้พี่แล้วเบะปากจะร้องไห้อีกรอบ“นังเพื่อน นังแพง อีเด็กเหลือขอพวกแกออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าพวกแกไม่ออกมาให้ฉันตบให้หายแค้นใจละก็ฉันจะเผาห้องพวกแกรมควันพวกแกให้สำลักควันตายเลยคอยดู!”“ถ้าพวกแกไม่มีปัญญาหาเงินมาให้ฉันกับแม่ใช้ ฉันจะบอกพ่อให้เอาพวกแกไปขาย ให้ไปเป็นกะหรี่ในซ่องเลย ออกมานะอีเพื่อน! อีแพง!...”เสียงกรีดร้องเต็มไปด้วยความหยาบคายและเกลียดชิงชัง ยิ่งได้ยินสองคนนั้นพูดแว่วๆ มาว่าจะไปเอาขวานกับไฟมาจุดเผาก็นึกหวาดหวั่น พวกเธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...“น้องพี่ นิ่งซะนะ เพื่อนจะพาแพงหนีคนใจร้ายไปให้ได้ แพงต้องสัญญาว่าจะทำตามที่เพื่อนบอกและต้องเข้มแข็ง”เด็กหญิงปลอบคู่แฝดราวเด็กตัวเล็กๆ เหมือนว่าพิมพ์บงกชไม่ได้เกิดมาพร้อมๆ กับตน เมื่อน้องสาวพยักหน้าทั้งยังเช็ดน้ำตาป้อยๆ พิมพ์ภัสสรก็ยิ้มออกในขณะที่เสี