“โธ่แพง เพื่อนจะพาแพงหนีคนใจร้ายพวกนี้ไปให้ได้”
ปังๆๆ เสียงทุบประตูด้วยความโกรธดังขึ้นทำให้ทั้งสองสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว เสียงสองแม่ลูกจะร้องเรียกพวกเธออย่างหยาบคายอยู่ด้านนอกห้องเก่าโกโรโกโสเพราะขาดการเอาใจใส่ดูแลยิ่งทำให้พิมพ์บงกชตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นเด็กหญิงมองหน้าแฝดผู้พี่แล้วเบะปากจะร้องไห้อีกรอบ
“นังเพื่อน นังแพง อีเด็กเหลือขอพวกแกออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าพวกแกไม่ออกมาให้ฉันตบให้หายแค้นใจละก็ฉันจะเผาห้องพวกแกรมควันพวกแกให้สำลักควันตายเลยคอยดู!”
“ถ้าพวกแกไม่มีปัญญาหาเงินมาให้ฉันกับแม่ใช้ ฉันจะบอกพ่อให้เอาพวกแกไปขาย ให้ไปเป็นกะหรี่ในซ่องเลย ออกมานะอีเพื่อน! อีแพง!...”
เสียงกรีดร้องเต็มไปด้วยความหยาบคายและเกลียดชิงชัง ยิ่งได้ยินสองคนนั้นพูดแว่วๆ มาว่าจะไปเอาขวานกับไฟมาจุดเผาก็นึกหวาดหวั่น พวกเธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...
“น้องพี่ นิ่งซะนะ เพื่อนจะพาแพงหนีคนใจร้ายไปให้ได้ แพงต้องสัญญาว่าจะทำตามที่เพื่อนบอกและต้องเข้มแข็ง”
เด็กหญิงปลอบคู่แฝดราวเด็กตัวเล็กๆ เหมือนว่าพิมพ์บงกชไม่ได้เกิดมาพร้อมๆ กับตน เมื่อน้องสาวพยักหน้าทั้งยังเช็ดน้ำตาป้อยๆ พิมพ์ภัสสรก็ยิ้มออกในขณะที่เสียงประตูยังดังโครมครามอยู่ข้างนอกผสานกับเสียงด่าทอหยาบคาย แต่พวกเธอไม่มีเวลาจะใส่ใจยิ่งเห็นว่ามีควันกลุ่มเล็กๆ เล็ดลอดช่องประตูเข้ามาก็ยิ่งทำให้พวกเธอไม่อาจจะสนใจอะไรนอกจากการหนี...
“แล้ว... เราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะเพื่อน...”
“หนีไปตายเอาดาบหน้า เอาเถอะอย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยตอนนี้ แพงสะพายเป้อันนี้นะในนี้มีรูปคุณพ่อคุณแม่ของเราพร้อมเอกสารจำเป็นทุกอย่างที่แม่บ้านคนเก่าแอบเอามาให้เพื่อนเก็บไว้ก่อนลาออก แล้วก็สร้อยทองที่เพื่อนแอบป้าจันเก็บไว้ด้วย มันพอที่เราจะเอาไปขายหาเงินหนีไปจากที่นี่ไปให้ไกลๆ เลยเอาล่ะอย่าถามมากลุกขึ้นมา”
พูดราวกับผู้ใหญ่แล้วดึงข้อมือบางของน้องสาวฝาแฝดขึ้นมายิ่งเธอเห็นรอยเขียวช้ำบนแขนขาของน้องสาวเด็กหญิงกัดริมฝีปากซีดเซียวของตนด้วยความเจ็บปวดแต่แสร้งเมินหลบเพื่อไม่ให้พิมพ์บงกชเห็นก่อนจะพากันเดินขึ้นมาบนโต๊ะตัวใหญ่ที่สูงพอให้พวกเธอปีนขึ้นไปยังช่องลม
เด็กหญิงช่วยกันถอดกระจกช่องลมออกมาทีละชิ้นๆ เพื่อจะได้พากันปีหนีออกไปจากห้องที่เริ่มมีควันหนาขึ้นเรื่อยๆ โชคดีเหลือเกินที่หลังห้องนี้ติดกับกำแพงบ้านที่รกทึบเกินกว่าสองแม่ลูกนั้นจะกล้าเข้ามาถากถาง ซึ่งเมื่อก่อนที่บิดามารดาของพวกเธออยู่และมีคนรับใช้และคนสวนหลังบ้านตรงนี้จะไม่รกและยังสามารถปลูกผักสวนครัวไว้รับประทานเองได้อีกด้วย
“เร็วเข้าแพงควันมันหนาขึ้นแล้ว แพงต้องเข้มแข็งนะ”
เด็กหญิงทั้งสองต่างให้กำลังใจกันและช่วยกันถอดกระจกออกมาเป็นชิ้นสุดท้าย พิมพ์ภัสสรเอาผ้าที่ตนผูกต่อกันให้ยาวพอจะใช้ปีนลงไปมัดกับหัวเตียงอย่างแน่นหนาแล้วโยนออกไปนอกห้องก่อนจะดันร่างเล็กๆ ของน้องสาวให้ก้าวผ่านช่องลมที่กว้างพอจะให้ลอดผ่านไปได้ด้วยความทุลักทุเลโชคดีที่พวกเธอยังตัวเล็กพอจะลอดประตูช่องลมนี้ไปได้
“ทำไมนังสองคนนั่นมันเงียบล่ะแม่ หรือว่ามันสำลักควันตายไปแล้วจริงๆ ว้าย ตายแล้วแม่ เราจะไม่โดนข้อหาฆ่าคนตายเหรอแม่”
“ตายก็ช่างมันสิ ใครจะมาสนใจมัน แต่แม่คิดว่าอีกไม่นานหรอกพวกมันก็จะลนลานออกมากราบตีนเรา ฮ่าๆ แล้วเราก็ค่อยจิกตบพวกมันให้หายแค้น หึ ฉันล่ะเกลียดตั้งแม่พวกมันแล้ว”
นางจันจวงพูดอย่างเลือดเย็น แววตาของนางกร้าวชิงชังผู้ที่ตนพูดถึงแม้เจนจิราจะสงสัยว่าทำไมแม่ของตนถึงได้เกลียดชังมารดาของเด็กแฝดนั่นนักแต่เธอก็รู้สึกสะใจมากกว่าที่เห็นคนที่ตนเองก็ไม่ชอบถูกเหยียบย่ำรังแก ซึ่งนิสัยของเธอถอดแบบจากนางจันจวงมาไม่มีผิดเพี้ยน ชนิดที่ว่าแม่เป็นแบบไหนลูกเป็นแบบนั้นหรืออาจจะมากกว่าก็เป็นได้ สองแม่ลูกแสยะยิ้มให้กันกอดอกยืนรอให้เด็กหญิงผู้ที่อยู่ในห้องคลานออกมากราบเท้าร้องขอชีวิตจากพวกตนด้วยความสุขใจโดยไม่รู้สึกหวั่นเกรงความผิดทางกฎหมายและไม่มีสำนึกถึงคำว่า มนุษยธรรม เลยสักนิด...
ตุบๆๆ เสียงหัวใจสองดวงและเสียงฝีเท้าทั้งสี่ข้างของเด็กหญิงที่ย่ำลงบนพื้นมันดังก้องอยู่ในหูพวกเธอดังแข่งกันราวเสียงกลองศึก พิมพ์ภัสสรลูบหลังลูบไหล่น้องสาวอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของน้องสาว
“อดทนไว้นะแพง”
“ไหว แพงไหว ไปต่อเถอะ ทางไหน แฮ่กๆ”
“ทางนี้ตามมาเร็ว พวกนั้นกำลังพังห้องเราแล้ว...”
พิมพ์ภัสสรจูงมือน้องสาวเดินฝ่าพงหญ้าที่รกทึบ มือเล็กๆ ถือไม้กวัดแกว่งไล่เปิดทางเพื่อให้พวกสัตว์มีพิษตกใจและหนีไปตามที่ครูซึ่งเธอไปทำงานบ้านให้นั้นสั่งสอนมา ซึ่งครูท่านนี้ก็สอนเธอหลายอย่างในการเอาตัวรอดในสังคมและที่นั่นคือสถานที่ที่พวกเธอจะไปซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอนัก แต่แล้วเด็กทั้งสองก็หน้าตื่นเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บใจของสองแม่ลูกที่คงรู้แล้วว่าพวกตนกำลังหนี...
“แม่ดู นังสองคนนั่นมันหนีไปแล้ว”
“ไปตามมันมาเร็วเข้า”
“แต่มันรกขนาดนั้นฉันไม่ไปหรอกนะ...” เจนจิราท้วงมารดา
“งั้นเราไปดักรอมันที่ทางออกมันจะต้องไปที่ถนนนั่นแน่นอนไปเร็ว ไปเอามอเตอร์ไซค์มา”
แล้วสองแม่ลูกก็วิ่งไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่พวกตนเหลือไว้ใช้เพียงคันเดียวเพราะรถยนต์ที่บิดามารดาของเด็กหญิงทั้งสองทิ้งไว้พวกเขาขายไปหมดแล้วตอนนี้ก็เรียกได้ว่าแทบจะหมดตัวแต่ก็จมไม่ลง
ทางด้านเด็กหญิงผู้น่าสงสารกำลังเดินลุยพงหญ้าไปยังทางออกซึ่งเป็นรูเล็กๆ ที่แตกร้าวบนกำแพง ดวงตาของเด็กหญิงมองไปยังถนนด้านนอกด้วยความหวังเรืองรองเห็นอิสรภาพอยู่รำไร
“เดี๋ยวก่อนแพง พี่ว่าพวกนั้นจะต้องมาดักรอเราที่ถนนแน่ๆ เราต้องไปทางอื่น” แฝดผู้พี่กล่าวขึ้นดวงตากลมโตที่กร้านโลกเกินวัยกำลังครุ่นคิดราวผู้ใหญ่
“แล้วเราจะไปกันทางไหนล่ะเพื่อน”
ตอนที่3.“ไปทางนี้ แพงต้องเกาะหลังพี่ไว้ พี่จะพาว่ายน้ำข้ามฝั่งไปหา บุญยอด เราจะหลบอยู่ที่นั่นก่อนป้าจันไม่กล้าตอแยแม่บุญเยี่ยมหรอก”พิมพ์ภัสสรจูงมือผอมๆ ของน้องสาวเดินลัดเลาะกำแพงมาอีกด้านซึ่งไกลพอสมควรจนมาถึงคลองเล็กๆ หลังหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ที่สายน้ำขุ่นทั้งดำสกปรก แต่พวกเธอไม่มีทางเลือก ถ้ากลับไปที่ถนนพวกเธอถูกจับตัวกลับไปได้แน่นอนแต่ถ้าไปทางนี้ พวกเธออาจจะรอดเด็กหญิงทั้งสองเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มและลมก็กรรโชกแรงขึ้น สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่บนผืนฟ้าทะมึนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานพายุฝนก็จะเทกระหน่ำลงมา ทั้งสองเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นมือเล็กๆ ถือไม้อันยาวก็ฟาดถางทางให้ตนเองกับน้องจนถึงลำคลองเด็กหญิงก็ถอนใจด้วยความโล่งอกและเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปมองกำแพงบ้านของตนเป็นครั้งสุดท้าย บ้านที่เคยสวยงามอบอุ่นเพียบพร้อมจะไม่มีอีกแล้ว...“เพื่อน แพงกลัว ฮือๆๆ”“ไม่ต้องกลัวนะแพง เพื่อนจะดูแลแพงเอง น้องพี่อย่ากลัว”ผู้ซึ่งเกิดก่อนไม่กี่นาทีเฝ้าปลอบโยน ใบหน้าเล็กๆ ก็ซีดลงอีกคราเมื่อได้ยินเสียงเดินและเสียงก่นด่าของสองแม่ลูกมหาภัยกำลังตรงมายังทิศทางที่พวกเธออยู่ สองแม่ลูกนี้ช่างเหมือนสุนัขล่าเนื้อที่กัด
ตอนที่4.“ถ้าแพงปล่อยมือจากเพื่อนไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เพื่อนจะไม่ให้อภัยแพงเลย” พิมพ์ภัสสรพูดราวผู้ใหญ่ น้ำเสียงของเธอหนักแน่นแม้อ่อนแรงก่อนที่เธอจะรู้สึกหนักอึ้งหูอื้อตาลายและขาเล็กๆ นั้นเริ่มจะตีน้ำไม่ไหวมันทั้งหนักอึ้ง ทั้งปวดแปลบราวใครเอาเข็มนับพันเล่มมาทิ่มแทงลงขาทั้งสองข้างของเธอ...“เพื่อน เพื่อนเป็นอะไร เพื่อน ไม่นะกรี๊ดดด” เด็กหญิงตัวเล็กกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อพี่สาวของตนจมดิ่งลงไปในน้ำทำให้เธอต้องตะเกียกตะกายอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยวทั้งสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก แขนเล็กๆ วาดตีน้ำอย่างตกใจจนน้ำแตกกระจายรอบกายเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของเธอกลับไม่มีใครได้ยิน เด็กหญิงตาเหลือกลานเริ่มหายใจไม่ออก ความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุมในหน่วยตาก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบลงไปในความเย็นยะเยือกของสายน้ำพวกเธอไม่สามารถไปถึงฝั่งทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมหรือไร ไยสวรรค์ช่างโหดร้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นพวกเธอเช่นนี้หนอ18 ปีผ่านไป...ร่างระหงปราดเปรียวในชุดเดรสสั้นรัดรูปสีส้มทองก้าวเดินฉับๆ เข้าไปยังสำนักงานเล็กๆ ทว่าสะอาดเอี่ยมแวดล้อมด้วยต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามและยังเป็นสำนักงานต้นสังกัดของ พริตตี้ชั้นแน
ตอนที่1.“อย่านะ ไม่... อย่าทำแพงเลย คุณลุงขาอย่าตีแพงนะคะ แพงขอร้อง ฮือๆๆ อย่าตี...” เสียงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษร่ำร้องอ้อนวอนต่อชายฉกรรจ์ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ สีหน้าถมึงทึงกับแววตาแดงก่ำของเขาน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก ดวงใจเล็กๆ ของเด็กน้อยเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว“นังเด็กนรก มึงอย่ามาอ้อนวอนให้เสียเวลา มึงแกล้งลูกกูใช่มั้ย เด็กอย่างพวกมึงต้องโดนแบบนี้”นายพัฒน์ชายวัยสามสิบปลายเงื้อด้ามไม้กวาดขึ้นสูงด้วยความฉุนเฉียวหมายจะฟาดลงไปบนตัวเด็กน้อย“ลุงพัฒน์ อย่า อย่าตีแพง ฮือออ...”เด็กหญิงซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะวิ่งมาขวางไว้ก่อนที่ด้ามไม้กวาดจะโดนร่างเล็กๆ ที่นอนหมอบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ...“ลุงจ๋า นี่ไง เพื่อนหาเงินมาให้ลุงกับป้าได้แล้ว นี่จ้ะ นี่เงินเพื่อนไปช่วยคุณครูที่โรงเรียนทำความสะอาดบ้านมาแล้วก็เก็บขวดไปขายได้มาสองร้อย เพื่อนให้ลุงกับป้าไปหมดเลย” เด็กหญิง พิมพ์ภัสสร ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ยื่นแบงก์ร้อยที่ค่อนข้างยับยู่ยี่ให้ผู้เป็นลุงแท้ๆ ด้วยความหวาดหวั่นแล้วเข้าไปประคองร่างผอมบางซีดขาวของ พิมพ์บงกชที่สะอื้นไห้อยู่กับพื้น เด็กหญิงทั้งสอ