“อย่านะ ไม่... อย่าทำแพงเลย คุณลุงขาอย่าตีแพงนะคะ แพงขอร้อง ฮือๆๆ อย่าตี...” เสียงเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษร่ำร้องอ้อนวอนต่อชายฉกรรจ์ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอ สีหน้าถมึงทึงกับแววตาแดงก่ำของเขาน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนัก ดวงใจเล็กๆ ของเด็กน้อยเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว
“นังเด็กนรก มึงอย่ามาอ้อนวอนให้เสียเวลา มึงแกล้งลูกกูใช่มั้ย เด็กอย่างพวกมึงต้องโดนแบบนี้”
นายพัฒน์ชายวัยสามสิบปลายเงื้อด้ามไม้กวาดขึ้นสูงด้วยความฉุนเฉียวหมายจะฟาดลงไปบนตัวเด็กน้อย
“ลุงพัฒน์ อย่า อย่าตีแพง ฮือออ...”
เด็กหญิงซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะวิ่งมาขวางไว้ก่อนที่ด้ามไม้กวาดจะโดนร่างเล็กๆ ที่นอนหมอบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่กับพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ...
“ลุงจ๋า นี่ไง เพื่อนหาเงินมาให้ลุงกับป้าได้แล้ว นี่จ้ะ นี่เงินเพื่อนไปช่วยคุณครูที่โรงเรียนทำความสะอาดบ้านมาแล้วก็เก็บขวดไปขายได้มาสองร้อย เพื่อนให้ลุงกับป้าไปหมดเลย” เด็กหญิง พิมพ์ภัสสร ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ยื่นแบงก์ร้อยที่ค่อนข้างยับยู่ยี่ให้ผู้เป็นลุงแท้ๆ ด้วยความหวาดหวั่นแล้วเข้าไปประคองร่างผอมบางซีดขาวของ พิมพ์บงกชที่สะอื้นไห้อยู่กับพื้น เด็กหญิงทั้งสองกอดกันแน่นน้ำตาไหลพรากกับชะตากรรมที่พวกตนพบเจอ
“มันจะพออะไร แค่ค่าขนมไปโรงเรียนของเจนก็หมดแล้ว แม่ดูสิ นังสองคนนี่มันจงใจแกล้งเจน ฮือๆๆ”
เจนจิรา เด็กหญิงวัยสิบขวบลูกสาวของลุงพัฒน์กับ นางจันจวง ผู้เป็นป้าสะใภ้ร้องโวยวายกระทืบเท้าเร่าๆ เหมือนโดนใครเอาน้ำร้อนมาสาด
เจนจิราเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ขี้เกียจ หยิบโหย่งและพูดจากลับกลอกโกหกเก่งเป็นที่สุดและมักหาเรื่องมาให้เด็กหญิงทั้งสองโดนพ่อแม่ของตนทุบตีอยู่เสมอๆ เด็กหญิงที่โตกว่ากราดตามองฝาแฝดที่กอดกันกลมอยู่ตรงหน้าเธออย่างเกลียดชัง เพราะเด็กทั้งสองคนนี้มีพื้นฐานฐานะครอบครัวที่ดีกว่าตน หน้าตาผิวพรรณก็ดีกว่า ฐานะทางสังคมก็ดีกว่าพ่อแม่ของเธอ แต่พวกพ่อแม่ของเด็กทั้งสองก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตายอย่างอนาถเมื่อปีที่แล้วทำให้ลูกสาววัยสี่ขวบในขณะนั้นต้องมาอยู่ในความดูแลของผู้เป็นเป็นลุงกับป้า ซึ่งก็คือพ่อแม่ของเธอนั่นเอง และเจนจิราก็รู้ดีว่าทำไม พ่อแม่ของเด็กสองคนนี่ถึงได้ประสบอุบัติเหตุ...
การที่เธอกับครอบครัวได้มาอยู่ในบ้านหลังใหญ่งดงามพร้อมด้วยสมบัติที่พ่อแม่ของเด็กแฝดทั้งสองทิ้งไว้เพราะว่าพ่อของเธอคือพี่ชายแท้ๆ ของคุณ พิมพ์ฤทัย แม่ของเด็กทั้งสองนั่นเอง ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเธอดีขึ้นในขณะที่ทายาทเจ้าของบ้านถูกกระทำเหมือนทาสและถูกโขกสับรังแกอย่างไร้เยื่อใย ไร้เมตตา แต่แล้วตอนนี้สมบัติที่เหล่านั้นหมดไปแล้ว และหนี้สินของครอบครัวก็เพิ่มพูนขึ้นมามากมายจนหลบหน้าเจ้าหนี้ไม่หวาดไม่ไหว เด็กหญิงผู้แก่แดดแก่ลมคิดอย่างหงุดหงิด
“แกสองคนวันนี้ไม่ต้องกินข้าว จำใส่กบาลหัวพวกแกไว้เลยนะหากยังอยากมีที่ซุกหัวนอนก็ต้องทำตัวดีๆ ช่วยกันทำมาหากินจะมาอยู่เกาะพวกฉันแบบนี้ไม่ได้”
นางจันจวง แม่ของเจนจิรากล่าวอย่างเดือดดาลพร้อมกับจิกผมยุ่งเหยิงของเด็กหญิงทั้งสองขึ้นมาแล้วผลักลงกับพื้นใกล้กับเท้าของนางก่อนจะจับโขกลงกับพื้นเสียงดังสนั่น หน้าผากเล็กๆ ของเด็กทั้งสองแดงโนขึ้นมาทันตาแต่กลับไม่มีเสียงร้องจากเด็กทั้งสองสักแอะ
“วุ้ย วันนี้อารมณ์เสียจริงๆ ฉันจะไปกินเหล้ากับเพื่อนแล้วนะ พวกเธออยู่กันไปเลย” นายพัฒน์ทำท่าจะเดินออกจากบ้านพร้อมเงินน้อยนิดที่มีแต่เจนจิรากับนางจันจวงเข้าไปขวางไว้
“หยุดเลยไอ้พัฒน์ แกอย่าเนียน เงินนั่นเอามาให้ฉัน”
“ไม่ เงินนั่นมันต้องเป็นของเจนนะ”
“เฮ้ย อะไรวะ ฉันเป็นหัวหน้าครอบครัวฉันต้องได้เงินนี่สิ”
สามคนพ่อแม่ลูกต่างยื้อแย่งเงินสองร้อยที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของเด็กตัวเล็กๆ อย่างเป็นบ้าเป็นหลังช่างเป็นภาพที่ดูน่าสมเพชนัก เด็กหญิงทั้งสองมองดูเหตุการณ์ตรงหน้ารับรู้ถึงรังสีอันตรายหากพวกเธอยังอยู่ตรงนี้ แฝดผู้พี่จึงประคองร่างผอมแห้งของน้องสาวเดินออกไปจากตรงนั้นแล้วรีบตรงไปยังห้องของพวกเธอซึ่งอยู่หลังบ้านซึ่งเมื่อก่อนมันเคยเป็นห้องพักของคนรับใช้แล้วปิดประตูใส่กลอนอย่างแน่นหนาเพราะกลัวว่าคนใจร้ายพวกนั้นจะเข้ามาทำร้ายพวกตนอีก
“แพงไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วล่ะเพื่อน ฮือออ...”
“เพื่อนรู้ แต่ถ้าเราไม่อยู่ที่นี่เราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะแพง”
“แพงกลัว เพื่อนไม่อยู่รู้มั้ยพวกนั้นทำอะไรกับแพงบ้าง เพื่อนของลุงพัฒน์คนนั้นเขาพยายามจะ จะ...”
เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบเศษทว่าตัวเล็กและซีดขาวกว่าแฝดผู้พี่มากเพราะสุขภาพไม่แข็งแรงนักอึกอักๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเจอทุกครั้งที่เพื่อนของลุงมาที่บ้าน
“แพง บอกเพื่อนมาเถอะว่าเจออะไร เขาทำอะไรแพง”
เด็กหญิงที่แม้จะมีวัยเพียงเจ็ดขวบเศษแต่ระยะเวลากว่าสองปีกว่าที่ลุงแท้ๆ พาครอบครัวเข้ามาอยู่และดูแลทรัพย์สมบัติทุกอย่างในบ้านของเธอ ในชีวิตของพวกเธอก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเด็กหญิงที่ใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนต่อโลกกลายเป็นเด็กที่กร้าวแกร่งขึ้นเมื่อได้เห็นอะไรที่กว้างขึ้นและเลวร้ายมากขึ้นซึ่งมันทำให้เด็กหญิงพิมพ์ภัสสรรู้จักที่จะดูแลและเอาตัวรอดจากความเลวร้ายนั้นและไม่ตกไปสู่ฝ่ายดำมืดเพราะมีพื้นฐานจิตใจที่ดีงามจากการปลูกฝังของบิดามารดาผู้ล่วงลับ แต่หากพวกเธอเจอแต่สิ่งที่แย่ไปกว่านี้มากขึ้นๆ มันก็ไม่แน่ที่เด็กหญิงทั้งสองอาจจะตกลงไปสู่ฝ่ายต่ำในจิตใจ...
“ฮือออ เพื่อน แพงกลัว...”
เด็กหญิงตัวเล็กโผเข้ากอดพี่สาวฝาแฝดด้วยความหวาดหวั่นและกริ่งเกรงกับภัยที่เธอจะเจอและอาจจะหนีไม่พ้นความเลวร้ายของผู้ที่โตกว่า... ยิ่งน้องสาวเล่าถึงความชั่วร้ายของเพื่อนลุงพัฒน์ที่พยายามจะลวนลามล่วงละเมิดน้องสาวของตนทำให้ผู้เป็นพี่ยิ่งรู้สึกเหมือนใครควักเอาหัวใจของเธอมาบีบขยำแล้วปาลงพื้นและกระทืบด้วยเท้าซ้ำอีกรอบ... น้ำตาไม่มีจะไหลแต่ก็รู้สึกปวดร้าวร้อนระอุขอบตาที่เริ่มจะพร่ามัวจากม่านน้ำบางๆ ดวงตาของเด็กหญิงแดงก่ำด้วยความเกลียดชังผู้ที่จ้องจะทำร้ายรังแกพวกตน...
ตอนที่2.“โธ่แพง เพื่อนจะพาแพงหนีคนใจร้ายพวกนี้ไปให้ได้”ปังๆๆ เสียงทุบประตูด้วยความโกรธดังขึ้นทำให้ทั้งสองสะดุ้งด้วยความหวาดกลัว เสียงสองแม่ลูกจะร้องเรียกพวกเธออย่างหยาบคายอยู่ด้านนอกห้องเก่าโกโรโกโสเพราะขาดการเอาใจใส่ดูแลยิ่งทำให้พิมพ์บงกชตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่นเด็กหญิงมองหน้าแฝดผู้พี่แล้วเบะปากจะร้องไห้อีกรอบ“นังเพื่อน นังแพง อีเด็กเหลือขอพวกแกออกมาเดี๋ยวนี้นะ ถ้าพวกแกไม่ออกมาให้ฉันตบให้หายแค้นใจละก็ฉันจะเผาห้องพวกแกรมควันพวกแกให้สำลักควันตายเลยคอยดู!”“ถ้าพวกแกไม่มีปัญญาหาเงินมาให้ฉันกับแม่ใช้ ฉันจะบอกพ่อให้เอาพวกแกไปขาย ให้ไปเป็นกะหรี่ในซ่องเลย ออกมานะอีเพื่อน! อีแพง!...”เสียงกรีดร้องเต็มไปด้วยความหยาบคายและเกลียดชิงชัง ยิ่งได้ยินสองคนนั้นพูดแว่วๆ มาว่าจะไปเอาขวานกับไฟมาจุดเผาก็นึกหวาดหวั่น พวกเธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...“น้องพี่ นิ่งซะนะ เพื่อนจะพาแพงหนีคนใจร้ายไปให้ได้ แพงต้องสัญญาว่าจะทำตามที่เพื่อนบอกและต้องเข้มแข็ง”เด็กหญิงปลอบคู่แฝดราวเด็กตัวเล็กๆ เหมือนว่าพิมพ์บงกชไม่ได้เกิดมาพร้อมๆ กับตน เมื่อน้องสาวพยักหน้าทั้งยังเช็ดน้ำตาป้อยๆ พิมพ์ภัสสรก็ยิ้มออกในขณะที่เสี
ตอนที่3.“ไปทางนี้ แพงต้องเกาะหลังพี่ไว้ พี่จะพาว่ายน้ำข้ามฝั่งไปหา บุญยอด เราจะหลบอยู่ที่นั่นก่อนป้าจันไม่กล้าตอแยแม่บุญเยี่ยมหรอก”พิมพ์ภัสสรจูงมือผอมๆ ของน้องสาวเดินลัดเลาะกำแพงมาอีกด้านซึ่งไกลพอสมควรจนมาถึงคลองเล็กๆ หลังหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ที่สายน้ำขุ่นทั้งดำสกปรก แต่พวกเธอไม่มีทางเลือก ถ้ากลับไปที่ถนนพวกเธอถูกจับตัวกลับไปได้แน่นอนแต่ถ้าไปทางนี้ พวกเธออาจจะรอดเด็กหญิงทั้งสองเงยหน้ามองฟ้าที่เริ่มมืดครึ้มและลมก็กรรโชกแรงขึ้น สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่บนผืนฟ้าทะมึนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานพายุฝนก็จะเทกระหน่ำลงมา ทั้งสองเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นมือเล็กๆ ถือไม้อันยาวก็ฟาดถางทางให้ตนเองกับน้องจนถึงลำคลองเด็กหญิงก็ถอนใจด้วยความโล่งอกและเหนื่อยอ่อนก่อนจะหันไปมองกำแพงบ้านของตนเป็นครั้งสุดท้าย บ้านที่เคยสวยงามอบอุ่นเพียบพร้อมจะไม่มีอีกแล้ว...“เพื่อน แพงกลัว ฮือๆๆ”“ไม่ต้องกลัวนะแพง เพื่อนจะดูแลแพงเอง น้องพี่อย่ากลัว”ผู้ซึ่งเกิดก่อนไม่กี่นาทีเฝ้าปลอบโยน ใบหน้าเล็กๆ ก็ซีดลงอีกคราเมื่อได้ยินเสียงเดินและเสียงก่นด่าของสองแม่ลูกมหาภัยกำลังตรงมายังทิศทางที่พวกเธออยู่ สองแม่ลูกนี้ช่างเหมือนสุนัขล่าเนื้อที่กัด
ตอนที่4.“ถ้าแพงปล่อยมือจากเพื่อนไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เพื่อนจะไม่ให้อภัยแพงเลย” พิมพ์ภัสสรพูดราวผู้ใหญ่ น้ำเสียงของเธอหนักแน่นแม้อ่อนแรงก่อนที่เธอจะรู้สึกหนักอึ้งหูอื้อตาลายและขาเล็กๆ นั้นเริ่มจะตีน้ำไม่ไหวมันทั้งหนักอึ้ง ทั้งปวดแปลบราวใครเอาเข็มนับพันเล่มมาทิ่มแทงลงขาทั้งสองข้างของเธอ...“เพื่อน เพื่อนเป็นอะไร เพื่อน ไม่นะกรี๊ดดด” เด็กหญิงตัวเล็กกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อพี่สาวของตนจมดิ่งลงไปในน้ำทำให้เธอต้องตะเกียกตะกายอย่างไร้ที่ยึดเหนี่ยวทั้งสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก แขนเล็กๆ วาดตีน้ำอย่างตกใจจนน้ำแตกกระจายรอบกายเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของเธอกลับไม่มีใครได้ยิน เด็กหญิงตาเหลือกลานเริ่มหายใจไม่ออก ความมืดค่อยๆ เข้าปกคลุมในหน่วยตาก่อนสติสุดท้ายจะดับวูบลงไปในความเย็นยะเยือกของสายน้ำพวกเธอไม่สามารถไปถึงฝั่งทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมหรือไร ไยสวรรค์ช่างโหดร้ายกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นพวกเธอเช่นนี้หนอ18 ปีผ่านไป...ร่างระหงปราดเปรียวในชุดเดรสสั้นรัดรูปสีส้มทองก้าวเดินฉับๆ เข้าไปยังสำนักงานเล็กๆ ทว่าสะอาดเอี่ยมแวดล้อมด้วยต้นไม้ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามและยังเป็นสำนักงานต้นสังกัดของ พริตตี้ชั้นแน