แม้จะปฏิเสธหลังชนฝาว่าไม่ได้เกิดเหตุใคร่อันไม่เหมาะสมในค่ำคืนนั้น แต่การจะบอกให้ยอมเอาหัวตัวเองแลกกับความจริงเป็นสิ่งที่โง่เขลาที่สุดในชีวิต
ใครสักคน...ใครสักคนที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อยู่ในจุดที่ผู้คนรอบกายต่างมองเขาว่าเป็นสัตว์ร้ายที่มุ่งหมายถึงการแตกหัก
นั่นจึงทำให้เขาต้องหนีออกมา
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังไล่หลังนับไม่ถ้วนราวกับห่าฝน หากเขาไม่ตายตรงนี้คนเหล่านั้นคงไม่หยุดลั่นไก
เขาบอกตัวเองว่าจะต้องรอด หากแต่ชีวิตไม่ใช่หนังใช่ละครที่การเอาตัวเองหลีกหนีห่ากระสุนปืนที่มีความเร็วต่อวินาทีมากขนาดนั้นได้เสียทุกนัด หนึ่งนัดเฉี่ยวที่โคนขาขวา ส่งให้อัตราความเร็วในการวิ่งของเขาลดลงแทบจะทันที แต่นั่นกลับทำให้อัตราความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดกลับสูงขึ้น
ขณะนี้ชายหนุ่มเลี้ยงกายด้วยกำลังใจเพียงอย่างเดียว เขาซุกซ่อนตัวเองในผืนป่ายามราตรี หากแต่เสียงกระสุนไม่เคยหยุดลงไป มันไม่ใกล้เข้ามาก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่คนมีอาวุธจะไม่ยอมเสียท่าด้วยการรนหาที่เอาตัวเข้าประชิด
ปัง!
อีกหนึ่งนัด...
อ๊ากกกกกก........
เสียงแผดร้องของชายหนุ่มดังสะท้อนทั่วชายป่า เมื่อกระสุนปริศนาผ่านคิ้วขวาของเขาไปอย่างฉิวเฉียดที่จะไม่เจาะเข้ามาในกะโหลก ทว่าความร้อนจากการตัดผ่านและความลึกของแผลก็ทำให้เลือดสีแดงฉานไหลอาบใบหน้าไปครึ่งซีก เขาตัดสินใจได้ในทันที เห็นทีจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงได้ตายตรงนี้ ยังมีความจริงที่คนเหล่านั้นไม่รู้ แต่ชายชาตรีก็ไม่อาจใส่ความเป็นอิสตรีเช่นกัน มันจะต้องมีสักวันที่ช่วงเวลาอันเฝ้าฝันจะคืนกลับมา
เขากัดฟัน วิ่งลึกเข้าชายป่าตรงไปข้างหน้าเป็นแนวเส้นตรง ใช้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านอันอุดมสมบูรณ์เติบโตไขว้ขัดกันไปมาเป็นตัวบดบังกระสุน กระทั่งมาถึงจุดที่สุดชายป่า ซึ่งอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตเขาอีด้วย เสียงตะโกนร้องโห่ดังตามหลัง พวกนั้นรู้ภูมิศาสตร์ของพื้นที่นี้ดี แต่เขาไม่รู้ขนาดนั้น นอกเสียจากเสียงเกลียวคลื่นที่ซัดสาดหน้าผาอยู่ด้านล่าง
หากจะต้องตาย เขาขอเลือกทางตายให้ตัวเอง
ชีวิตนี้มีศักดิ์ศรีมากพอที่จะพลีชีพ หากมันตองทำ และวินาทีนี้ เขาก็เลือกที่จะกระโดดลงไปท่ามกลางหุบเหวอันดำมืดเบื้องล่างนั้น พร้อมจมหายไปกับคลื่นโถมที่ผุดพรายฟองและแสงระยับตาจากดวงจันทร์นวลที่ไล้เกลียวคลื่นราวกับฟ้ากระจ่างดาว
เขาเพิ่งรู้ว่ามันช่างเป็นเสี้ยวความคิดที่ผิดมหันต์ อาจจะต้องกล่าวลากับชีวิตเบื้องหลังเสียตรงนี้แล้วสิ...
“อีกสามวันเท่านั้น แกจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในจังหวัด ไม่สิ อาจจะในภาค หรือประเทศด้วยซ้ำ” เสียงชื่นชมยินดียังคงดังออกมาไม่ขาดปาก เมื่อศจีเอ่ยถึงชุดเจ้าสาวที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต ราคาของมันอีกเล็กน้อยก็จะขึ้นเจ็ดหลักอยู่แล้ว หญิงสาวชื่นชมมันด้วยความยินดีแกมอิจฉา ไม่คิดเลยว่ารุ่นน้องที่ฝึกงานด้วยกันเมื่อหลายปีก่อนจะมีบ้านหลังใหญ่โตขนาดที่ว่าต้องขับรถจากบานประตูสูงเทียมฟ้าเข้ามาในตัวบ้านเลยทีเดียว“ถ้าหนูเลือกได้หนูให้พี่แต่งแทนหนูแล้วพี่ศจี” ว่าที่เจ้าสาวกลับเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยท่าทีเบื่อโลกเสียอย่างนั้นมณีรัตน์นั่งจ่อมอยู่กับโต๊ะทำงานของเธอมาตั้งแต่เช้า ไม่ได้สนอกสนใจชุดเจ้าสาวที่เพิ่งตัดเสร็จซึ่งถูกนำเอามาให้ชื่นลมเลยสักนิดเดียว ภายในห้องหับที่โอ่โถง ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งนำเข้า กระทั่งพรมเช็ดเช้ายังราคาหลักหมื่น แต่มณีรัตน์หาได้ปรารถนาสิ่งเร้าเหล่านั้นไม่“หนูไม่ได้รักเขาเลย...ไม่เลยจริง ๆ”ศจีถอนหายใจ เดินเข้ามาวางมือบ่นบ่าหญิงสาวจากด้านหลังเพื่อให้กำลังใจ “มันเป็นเรื่องของธุรกิจสินะ ทำไงได้ ครอบครัวของแกมีธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้ามูลค่าเป็นพัน ๆ ล้านต่อปี จะให้ลูกสาวมา
อุเทน ศาสนโลกาสันต์ ผู้ที่เป็นว่าที่สามีของเธอในอีกสามวันหลังจากนี้ เขาเป็นชายหนุ่มทายาทบริษัทในสายการผลิตอาหารแช่แข็งที่เป็นอันดับสองรองจากพ่อของเธอที่ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่ง บริษัทของครอบครัวศาสนโลกาสันต์คือคู่แข่งที่กำลังจะขึ้นแซงบริษัทของเธอ และการจัดการที่เด็ดขาดที่สุดในการกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจคือการปรองดองพ่อจึงจัดการนัดดูตัวให้เธอและเขา อุเทนดูชื่นชอบเธอมาก นั่นจึงทำให้เขาตกลงที่จะไปต่อกับเธอ เพียงแต่มณีรัตน์ไม่ได้ชอบเขา มันไม่ได้หมายความว่าอุเทนเป็นคนไม่ดี คำว่าไม่มีความรู้สึกร่วมคงนิยามอารมณ์และความรู้สึกของมณีรัตน์ในทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งในอีกสามวัน...เธอก็จะเป็นของคน ๆ นั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้เลย“พี่ศจี หนูไม่อยากแต่งงานเลย” หญิงสาวเริ่มงอแง “หนูเพิ่งยี่สิบสองนะ เพิ่งเรียนจบกลับมาหมาด ๆ เลย เป็นบัณฑิตป้ายแดงอะ ยังใช่คำว่านางสาวได้ไม่คุ้มจะต้องเป็นนางแล้วอะคิดดู”“นี่ถ้าพี่สาวกว่านี้สักหน่อยจะไปศัลยกรรมทำหน้าให้เหมือนแกแล้วมาแต่งงานแทน ผู้ชายอะไรหล่อเหมือนไม่มีจริงในโลก” ศจีทำหน้าชวนฝัน สองมือทาบแก้มยิ้มหวานเมื่อนึกถึงว่าที่เจ้าบ
มณีรัตน์รู้สึกถึงอิสระทั้งหมดที่โหยหากำลังมากองอยู่ตรงหน้าของเธอ ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษ เธอจะแต่งงานก็ต่อเมื่อเธอเจอคนที่รักและเว้าวอน ไม่ได้แต่งงานเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของใคร ทั้งชีวิตที่เติบโตมา เธอคิดว่ามันคือการตอบแทนได้ทั้งหมดแล้ว ความเป็นคนของเธอถูกลดทอนไปด้วยกฎเกณฑ์ ณ วินาทีนี้ มีเพียงอิสรภาพที่ปรารถนาจังหวัดที่เธออาศัยอยู่นั้นมีเขตท่าเรือใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นของประเทศ หากจะต้องหนีไปที่ไหนสักที่ก็ต้องทางเรือนี่แหละเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอไม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ เพราะการตรวจสอบมันง่ายนิดเดียว ซึ่งใช่ มณีรัตน์จะใช้วิธีการแอบหนีไป ไม่ใช่การหนีไปให้หลงเหลือไว้ซึ่งหลักฐาน หากว่าการแอบขึ้นเครื่องบินมันง่ายเธอก็คงทำไปตั้งนานแล้ว...ป่านนี้ที่งานจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...“ตื่นเต้นชะมัดเลยโว้ยมณีรัตน์” เธอเอ่ยพลางมองตัวเองที่สะท้อนในกระจก ในเวลานี้เธอรวบผมขึ้นมวยซุกซ่อนเอาไว้ในหมวกคลุมหน้าที่คนงานทั่วไปเขาใช้กัน รูปร่างของเธอค่อนข้างเล็ก พลางมันด้วยเสื้อตัวหลวมโพรก กางเกงขาวยาวรองเท้าบูท สวมถุงมือถักราคาถูก ๆ ทำท่าทางให้เหมือนผู้ชายเข้าไว้ ยากที่สุดคือการต้องสวมเ
พักใหญ่ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเพลียจนเผลองีบหลับโดยไม่รู้ตัว เธอมีอาการพะอืดพะอมเหมือนจะเมาเรือที่ยังโคลงเคลงไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสนั่น หน้าเรือฝ่าตัดเกลียวคลื่นออกไปยังจุดหมาย ครั้นเมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมัวหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา จะอย่างไรก็ตาม...เธอยังคงคิดถึงครอบครัวน้ำตาของสาวน้อยไหลอาบแก้มช้า ๆ หากพ่อกับแม่เข้าใจเธอขึ้นมาสักนิด หากทั้งสองมอบช่วงเวลาให้เธอบ้างมันคงไม่ลงเอยอย่างนี้ ต่อให้ต้องร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดก็ทำได้เพียงคิดถึง...ห้ามกลับไปเด็ดขาดเปรี้ยง!!! ครืน ๆ !เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นกระตุ้นความกลัวของมณีรัตน์จนเธอเผลอกรีดร้องลั่น ก่อนจะต้องยกมือปิดปาก...เธอส่งเสียงดังออกไปไม่ได้ จากนี้อาจจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไม่ก็รุ่งเช้า เธอต้องทนอุดอู้อยู่ในนี้ไปก่อน หากแต่วินาทีนั้นเสียงฝีเท้านับสิบและเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น“ขึ้นลวด...ขึ้นลวดหนาม เราโดนโจมตี” เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วฟากฟ้า แสงสีแดงหมุนคว้างสะท้อนไปทั่วบริเวณ มณีรัตน์ลนลานมองซ้ายขวา เก็บคองอเข่าให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้“เฮ้ย เตรียมตัวรับมือ เตรียมอาวุธ โจรสลั
“ไม่ ๆ อย่าทำอะไรฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ” เธอยื่นกระเป๋าของเธอให้ “อะ นี่เงิน...เอาไป ในนี้มีเงินอยู่หลายแสน ฉันหนีจากบ้านมา จะ...จะเอาอะไรบอกฉันนะ ฉันจะหามาให้ แต่ ยะ อย่าฆ่าฉัน พ่อฉันจะให้เงินนาย...เท่าที่ต้องการ”อีกฝ่ายเอียงหน้า มือหนึ่งกดบีบลำคอของเธอแล้วตรึงเอาไว้ ทั้งเจ็บ ทั้งหายใจไม่ออก แต่เวลานี้เข่าของหญิงสาวอ่อนเกินกว่าจะหนี ดูจากที่เขาเงื้อมีดใส่เธอแบบไม่ลังเลแล้ว ถ้าวิ่งก็กลายเป็นผีเฝ้าทะเลอยู่นี่ที่แหละ“เท่าที่ต้องการงั้นเหรอ” เขาหรี่ตาถาม เสียงกดต่ำจนน่ากลัว“ใช่ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกได้เลย ฉะ ฉันจะบอกพ่อให้”โจรตรงหน้ากระชากกระเป๋าของเธอจนขาดด้วยมือเดียว เงินสองปึกที่มัดเรียบร้อยร่วงหล่น มันหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ แสยะยิ้มร้ายกาจ แล้วหยิบขึ้นมา“อืม...รวยจริงนี่”“งั้นแค่นี้พอนะ ปล่อยฉันไปได้แล้ว...”“หืม บอกเองนี่ว่าพ่อจะให้อีกเท่าที่ต้องการ”มณีรัตน์เพิ่งรู้ตัวว่าเธอพลาดเสียแล้ว “ไม่ ไม่...แค่นั้นก็พอแล้วนี่ พวกแกก็เป็นแค่โจรจะเอาอะไรนักหนา”เสียงหัวเราะดังขึ้น “ก็เพราะเป็นโจรไง ถึงต้องการมากกว่านี้”มือที่บีบคอของหญิงสาวเอาไว้ปล่อยออก ร่างเล็กร่วงทรุดลงกับพื้นไอโขลกเหมือนจะขา
“นี่คนนะ ทำกันเบา ๆ บ้างก็ได้” มณีรัตน์แหวใส่โจรสลัดหนุ่มทันทีที่เธอถูกโยนลงบนเรือเล็ก และเธอเพิ่งสังเกตว่ามีอีกหลายลำที่ประกบติดกับเรือขนส่งสินค้านี้อยู่ มันเป็นรูปแบบการปล้นที่รวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ทั้งจีพีเอส และโซน่า แสดงว่าโจรสลัดกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรกระจอก“ปกติล้มลงแต่บนกองเงินกองทองงั้นสินะ ถึงได้ไม่เคยเจ็บตัวอะไรกับเขาเลย”โจรสลัดหนุ่มไม่ยี่หระ เขาติดเครื่องเรือแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าร่างกายของมณีรัตน์นั้นจะถูกแรงเหวี่ยงสะบัดไปซ้ายทีขวาทีจนมึนหัวไปหมดเรือเล็กแล่นแหวกเกลียวคลื่นเข้าไปในทะเลลึก นั่นเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่รู้ทิศรู้ทางอีกแล้ว เธอไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน...หรือจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่เส้นขอบฟ้าในวันต่อไปหรือไม่ มันเป็นความสิ้นหวังที่สุดในชีวิต“ไม่ต้องพาฉันไปไหนทั้งนั้น พาฉันขึ้นฝั่ง แล้วจะโทรบอกพ่อให้เอาเงินมาให้”“เฮอะ...” โจรหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนจะปลดส่วนที่ปิดหน้าของหมวกหนาใบนั้นออกแล้วกระชากมันโยนลงไปกับพื้น แววตาของเขาแข็งกร้าว หากแต่ใบหน้าที่ดุดันนั้นกลับมีเสน่ห์เสียจนมณีรัตน์รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในอกจนหัวใจเต้นตุบ