“นี่คนนะ ทำกันเบา ๆ บ้างก็ได้” มณีรัตน์แหวใส่โจรสลัดหนุ่มทันทีที่เธอถูกโยนลงบนเรือเล็ก และเธอเพิ่งสังเกตว่ามีอีกหลายลำที่ประกบติดกับเรือขนส่งสินค้านี้อยู่ มันเป็นรูปแบบการปล้นที่รวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ทั้งจีพีเอส และโซน่า แสดงว่าโจรสลัดกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรกระจอก
“ปกติล้มลงแต่บนกองเงินกองทองงั้นสินะ ถึงได้ไม่เคยเจ็บตัวอะไรกับเขาเลย”
โจรสลัดหนุ่มไม่ยี่หระ เขาติดเครื่องเรือแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าร่างกายของมณีรัตน์นั้นจะถูกแรงเหวี่ยงสะบัดไปซ้ายทีขวาทีจนมึนหัวไปหมด
เรือเล็กแล่นแหวกเกลียวคลื่นเข้าไปในทะเลลึก นั่นเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่รู้ทิศรู้ทางอีกแล้ว เธอไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน...หรือจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่เส้นขอบฟ้าในวันต่อไปหรือไม่ มันเป็นความสิ้นหวังที่สุดในชีวิต
“ไม่ต้องพาฉันไปไหนทั้งนั้น พาฉันขึ้นฝั่ง แล้วจะโทรบอกพ่อให้เอาเงินมาให้”
“เฮอะ...” โจรหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนจะปลดส่วนที่ปิดหน้าของหมวกหนาใบนั้นออกแล้วกระชากมันโยนลงไปกับพื้น แววตาของเขาแข็งกร้าว หากแต่ใบหน้าที่ดุดันนั้นกลับมีเสน่ห์เสียจนมณีรัตน์รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในอกจนหัวใจเต้นตุบ ๆ แยกไม่ออกว่าเป็นเพราะรู้สึกตื่นตกใจกลัวหรือว่าเพราะอะไรกันแน่
อะไรกัน...
ร่างกายของผู้ชายนี้กำยำล่ำสัน แสงสว่างจากภายในเรือทำให้เห็นผิวพรรณที่เข้มคล้ำกร้านแดด หากแต่เครื่องหน้ากลับอยู่ในตำแหน่งที่สามารถเอ่ยได้ว่าเขาเป็นหนุ่มรูปงามเสียทีเดียว ความรู้สึกของมณีรัตน์ ณ เวลานี้เธอเหมือนต้องมนตร์ จดจ้องเพียงใบหน้าของโจรสลัดที่เพิ่งลากถูเธอมาที่นี่ คิ้วเข้ม ดวงตาคมกริบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักเล็กน้อยพอได้ขับเคลื่อนโครงหน้าให้ชวนมอง เส้นผมตรงปรกหน้า หากแต่เมื่อกระแสลมพัดผ่านให้เส้นผมปลิวสยาย รอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่คิ้วของเขากลับปรากฏชัด มันทั้งกว้าง และเป็นทางยาว แม้จะดูหน้ากลัว แต่มันกลับชวนพิศวงในอก
เขาดูดีเกินกว่าจะมาเป็นโจรสลัดด้วยซ้ำ...
“เธอคิดว่าฉันจะโง่ขึ้นฝั่งให้โดนจับงั้นเหรอ พวกเราคือโจรสลัด อาณาเขตของเราคือท้องทะเล ถ้าพ่อรักเธอจริง ต่อให้ต้องฝ่าคลื่นลมพายุก็ต้องมาช่วยสิ” โจรสลัดหนุ่มเลิกคิ้วแล้วออกเรือต่อไป โดยไม่ได้หันกลับมามองว่าตอนนี้สีหน้าของเชลยสาวสิ้นหวังขนาดไหน
นั่นสินะ เรื่องที่เธอก่อขึ้นมา...พ่อจะรักเธอขนาดที่ยอมทำแบบนั้นเพื่อมาพาเธอกลับไปหรือเปล่า หากว่าพ่อรู้
ตอนนี้ที่งานจะวุ่นวายขนาดไหนกันนะ
พ่อจะคิดว่าเธอหนีไปที่ไหน จะรู้หรือเปล่า ว่าระหว่างความเป็นกับความตาย เธอมีมันโอบกอดอยู่อย่างเท่าเที่ยมกัน
เรือแล่นไปอีกหลายสิบนาที กว่าที่เขาจะเริ่มชะลอความเร็วลงไป แม้ท้องฟ้าจะค่อนข้างมืด แต่มณีรัตน์มองเห็นสีดำทะมึนของทิวเขาเล็ก ๆ เหมือนว่าตอนนี้เขาจะมาจอดที่เกาะแห่งหนึ่ง โยนสมอทิ้ง เมื่อสายตาชินกับความมืดก็ได้เห็นว่าบริเวณท่าเทียบเรือมีเรือเล็กใหญ่อีกหลายลำ และมีเรือที่สามารถขนส่งคนได้ปริมาณมากลำหนึ่งจอดเอาไว้อยู่ มันทำให้เธอเกิดความสงสัยว่าโจรสลัดพวกนี้รวยกันขนาดนี้เชียวหรือ
การปล้นแต่ละครั้ง พวกมันได้อะไรกันบ้าง
“มานี่”
ข้อมือถูกกระชากอย่างแรง มณีรัตน์กรีดร้อง แต่รั้งแรงของอีกฝ่ายไม่ไหวเลยจริง ๆ เขาสามารถยกตัวเธอด้วยมือข้างเดียวได้ด้วยซ้ำ จนกระทั่งเขาฉุดกระชากเธอมายังบ้านหลังเล็กหลังหนึ่ง มันเป็นบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาจากดิน หลังคามุงจาก แต่กลับดูแข็งแรงน่าเหลือเชื่อ ตะเกียงจ้าวพายุเหม็นน้ำมันก๊าดหึ่งคือสิ่งให้แสงสว่าง เตียงนอนเองก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างง่าย ๆ เท่านั้น
โจรสลัดหนุ่มโยนเธอลงไปบนเตียง กระโจนคร่อมร่างกายของเธอเอาไว้ทันที
“นี่แกจะทำอะไรฉัน...” มณีรัตน์พยายามกระถดตัวหนีด้วยความกลัวจับใจ
ใบหน้าคมเข้มยกยิ้ม “นาน ๆ จะมีสาวสวย ๆ มาอยู่แบบนี้...คิดว่าฉันจะจับเธออาบน้ำแร่แช่น้ำนมเหรอ...ไม่เสียหรอก มีแต่น้ำข้น ๆ ของฉันนี่แหละที่จะราดรดบนตัวเธอ”
“อ๊ะ ว้ายยย!!!”
สองมือถูกแขนแกร่งจับยกขึ้นเหนือศีรษะ แรงมหาศาลขนาดที่ว่ามณีรัตน์แทบจะจนแต้ม ทั้งพยายามผลัก ถีบ แต่มันไม่เป็นผลเลยด้วยซ้ำ เมื่อลมหายใจร้อนผ่าวค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา มันเต็มไปด้วยความหิวกระหายของสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเล ก่อนจะจุมพิตลงที่ลำคอของมณีรัตน์ทันที
เธอดิ้นรนขัดขืนอย่างสุดแรง ไม่ต้องการให้มีตำหนิบนเรือนร่างของเธอ หากแต่มันเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นั่นเพราะว่าบัดนี้ ความเจ็บแสบจากการดูดดุนของอีกฝ่ายฝังลึกลงมาที่คอของเธอราวกับอสรพิษฝังเขี้ยวและฉีดพิษให้ซึมซาบทั่วร่างกายของเธอ
อกแกร่งโถมทับลงมา มือที่จับกุมยังคงบีบแน่นยิ่งขึ้นหากว่าเธอนั้นยังพยายามจะขัดขืนต่อไป สัมผัสที่วามหวิวเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ลมหายใจร้อนผ่าวกวาดต้อนตัวของเธอไปที่รอบ ๆ ลำคอระหง ฝากรอยแดงด่างเอาไว้อย่างไม่รู้จบ พร้อมกับเริ่มตรึงแขนทั้งสองข้างของเธอเอาไว้ด้วยกันด้วยเชือกป่านเส้นหนึ่ง
แม้จะปฏิเสธหลังชนฝาว่าไม่ได้เกิดเหตุใคร่อันไม่เหมาะสมในค่ำคืนนั้น แต่การจะบอกให้ยอมเอาหัวตัวเองแลกกับความจริงเป็นสิ่งที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตใครสักคน...ใครสักคนที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อยู่ในจุดที่ผู้คนรอบกายต่างมองเขาว่าเป็นสัตว์ร้ายที่มุ่งหมายถึงการแตกหักนั่นจึงทำให้เขาต้องหนีออกมาปัง! ปัง! ปัง!เสียงปืนดังไล่หลังนับไม่ถ้วนราวกับห่าฝน หากเขาไม่ตายตรงนี้คนเหล่านั้นคงไม่หยุดลั่นไกเขาบอกตัวเองว่าจะต้องรอด หากแต่ชีวิตไม่ใช่หนังใช่ละครที่การเอาตัวเองหลีกหนีห่ากระสุนปืนที่มีความเร็วต่อวินาทีมากขนาดนั้นได้เสียทุกนัด หนึ่งนัดเฉี่ยวที่โคนขาขวา ส่งให้อัตราความเร็วในการวิ่งของเขาลดลงแทบจะทันที แต่นั่นกลับทำให้อัตราความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดกลับสูงขึ้นขณะนี้ชายหนุ่มเลี้ยงกายด้วยกำลังใจเพียงอย่างเดียว เขาซุกซ่อนตัวเองในผืนป่ายามราตรี หากแต่เสียงกระสุนไม่เคยหยุดลงไป มันไม่ใกล้เข้ามาก็จริง แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่คนมีอาวุธจะไม่ยอมเสียท่าด้วยการรนหาที่เอาตัวเข้าประชิดปัง!อีกหนึ่งนัด...อ๊ากกกกกก........เสียงแผดร้องของชายหนุ่มดังสะท้อนทั่วชายป่า เมื่อกระสุนปริศนาผ่านคิ้วขวาของเขาไปอย
“อีกสามวันเท่านั้น แกจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในจังหวัด ไม่สิ อาจจะในภาค หรือประเทศด้วยซ้ำ” เสียงชื่นชมยินดียังคงดังออกมาไม่ขาดปาก เมื่อศจีเอ่ยถึงชุดเจ้าสาวที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต ราคาของมันอีกเล็กน้อยก็จะขึ้นเจ็ดหลักอยู่แล้ว หญิงสาวชื่นชมมันด้วยความยินดีแกมอิจฉา ไม่คิดเลยว่ารุ่นน้องที่ฝึกงานด้วยกันเมื่อหลายปีก่อนจะมีบ้านหลังใหญ่โตขนาดที่ว่าต้องขับรถจากบานประตูสูงเทียมฟ้าเข้ามาในตัวบ้านเลยทีเดียว“ถ้าหนูเลือกได้หนูให้พี่แต่งแทนหนูแล้วพี่ศจี” ว่าที่เจ้าสาวกลับเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยท่าทีเบื่อโลกเสียอย่างนั้นมณีรัตน์นั่งจ่อมอยู่กับโต๊ะทำงานของเธอมาตั้งแต่เช้า ไม่ได้สนอกสนใจชุดเจ้าสาวที่เพิ่งตัดเสร็จซึ่งถูกนำเอามาให้ชื่นลมเลยสักนิดเดียว ภายในห้องหับที่โอ่โถง ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งนำเข้า กระทั่งพรมเช็ดเช้ายังราคาหลักหมื่น แต่มณีรัตน์หาได้ปรารถนาสิ่งเร้าเหล่านั้นไม่“หนูไม่ได้รักเขาเลย...ไม่เลยจริง ๆ”ศจีถอนหายใจ เดินเข้ามาวางมือบ่นบ่าหญิงสาวจากด้านหลังเพื่อให้กำลังใจ “มันเป็นเรื่องของธุรกิจสินะ ทำไงได้ ครอบครัวของแกมีธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้ามูลค่าเป็นพัน ๆ ล้านต่อปี จะให้ลูกสาวมา
อุเทน ศาสนโลกาสันต์ ผู้ที่เป็นว่าที่สามีของเธอในอีกสามวันหลังจากนี้ เขาเป็นชายหนุ่มทายาทบริษัทในสายการผลิตอาหารแช่แข็งที่เป็นอันดับสองรองจากพ่อของเธอที่ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่ง บริษัทของครอบครัวศาสนโลกาสันต์คือคู่แข่งที่กำลังจะขึ้นแซงบริษัทของเธอ และการจัดการที่เด็ดขาดที่สุดในการกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจคือการปรองดองพ่อจึงจัดการนัดดูตัวให้เธอและเขา อุเทนดูชื่นชอบเธอมาก นั่นจึงทำให้เขาตกลงที่จะไปต่อกับเธอ เพียงแต่มณีรัตน์ไม่ได้ชอบเขา มันไม่ได้หมายความว่าอุเทนเป็นคนไม่ดี คำว่าไม่มีความรู้สึกร่วมคงนิยามอารมณ์และความรู้สึกของมณีรัตน์ในทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งในอีกสามวัน...เธอก็จะเป็นของคน ๆ นั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้เลย“พี่ศจี หนูไม่อยากแต่งงานเลย” หญิงสาวเริ่มงอแง “หนูเพิ่งยี่สิบสองนะ เพิ่งเรียนจบกลับมาหมาด ๆ เลย เป็นบัณฑิตป้ายแดงอะ ยังใช่คำว่านางสาวได้ไม่คุ้มจะต้องเป็นนางแล้วอะคิดดู”“นี่ถ้าพี่สาวกว่านี้สักหน่อยจะไปศัลยกรรมทำหน้าให้เหมือนแกแล้วมาแต่งงานแทน ผู้ชายอะไรหล่อเหมือนไม่มีจริงในโลก” ศจีทำหน้าชวนฝัน สองมือทาบแก้มยิ้มหวานเมื่อนึกถึงว่าที่เจ้าบ
มณีรัตน์รู้สึกถึงอิสระทั้งหมดที่โหยหากำลังมากองอยู่ตรงหน้าของเธอ ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษ เธอจะแต่งงานก็ต่อเมื่อเธอเจอคนที่รักและเว้าวอน ไม่ได้แต่งงานเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของใคร ทั้งชีวิตที่เติบโตมา เธอคิดว่ามันคือการตอบแทนได้ทั้งหมดแล้ว ความเป็นคนของเธอถูกลดทอนไปด้วยกฎเกณฑ์ ณ วินาทีนี้ มีเพียงอิสรภาพที่ปรารถนาจังหวัดที่เธออาศัยอยู่นั้นมีเขตท่าเรือใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นของประเทศ หากจะต้องหนีไปที่ไหนสักที่ก็ต้องทางเรือนี่แหละเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอไม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ เพราะการตรวจสอบมันง่ายนิดเดียว ซึ่งใช่ มณีรัตน์จะใช้วิธีการแอบหนีไป ไม่ใช่การหนีไปให้หลงเหลือไว้ซึ่งหลักฐาน หากว่าการแอบขึ้นเครื่องบินมันง่ายเธอก็คงทำไปตั้งนานแล้ว...ป่านนี้ที่งานจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...“ตื่นเต้นชะมัดเลยโว้ยมณีรัตน์” เธอเอ่ยพลางมองตัวเองที่สะท้อนในกระจก ในเวลานี้เธอรวบผมขึ้นมวยซุกซ่อนเอาไว้ในหมวกคลุมหน้าที่คนงานทั่วไปเขาใช้กัน รูปร่างของเธอค่อนข้างเล็ก พลางมันด้วยเสื้อตัวหลวมโพรก กางเกงขาวยาวรองเท้าบูท สวมถุงมือถักราคาถูก ๆ ทำท่าทางให้เหมือนผู้ชายเข้าไว้ ยากที่สุดคือการต้องสวมเ
พักใหญ่ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเพลียจนเผลองีบหลับโดยไม่รู้ตัว เธอมีอาการพะอืดพะอมเหมือนจะเมาเรือที่ยังโคลงเคลงไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสนั่น หน้าเรือฝ่าตัดเกลียวคลื่นออกไปยังจุดหมาย ครั้นเมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมัวหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา จะอย่างไรก็ตาม...เธอยังคงคิดถึงครอบครัวน้ำตาของสาวน้อยไหลอาบแก้มช้า ๆ หากพ่อกับแม่เข้าใจเธอขึ้นมาสักนิด หากทั้งสองมอบช่วงเวลาให้เธอบ้างมันคงไม่ลงเอยอย่างนี้ ต่อให้ต้องร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดก็ทำได้เพียงคิดถึง...ห้ามกลับไปเด็ดขาดเปรี้ยง!!! ครืน ๆ !เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นกระตุ้นความกลัวของมณีรัตน์จนเธอเผลอกรีดร้องลั่น ก่อนจะต้องยกมือปิดปาก...เธอส่งเสียงดังออกไปไม่ได้ จากนี้อาจจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไม่ก็รุ่งเช้า เธอต้องทนอุดอู้อยู่ในนี้ไปก่อน หากแต่วินาทีนั้นเสียงฝีเท้านับสิบและเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น“ขึ้นลวด...ขึ้นลวดหนาม เราโดนโจมตี” เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วฟากฟ้า แสงสีแดงหมุนคว้างสะท้อนไปทั่วบริเวณ มณีรัตน์ลนลานมองซ้ายขวา เก็บคองอเข่าให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้“เฮ้ย เตรียมตัวรับมือ เตรียมอาวุธ โจรสลั
“ไม่ ๆ อย่าทำอะไรฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ” เธอยื่นกระเป๋าของเธอให้ “อะ นี่เงิน...เอาไป ในนี้มีเงินอยู่หลายแสน ฉันหนีจากบ้านมา จะ...จะเอาอะไรบอกฉันนะ ฉันจะหามาให้ แต่ ยะ อย่าฆ่าฉัน พ่อฉันจะให้เงินนาย...เท่าที่ต้องการ”อีกฝ่ายเอียงหน้า มือหนึ่งกดบีบลำคอของเธอแล้วตรึงเอาไว้ ทั้งเจ็บ ทั้งหายใจไม่ออก แต่เวลานี้เข่าของหญิงสาวอ่อนเกินกว่าจะหนี ดูจากที่เขาเงื้อมีดใส่เธอแบบไม่ลังเลแล้ว ถ้าวิ่งก็กลายเป็นผีเฝ้าทะเลอยู่นี่ที่แหละ“เท่าที่ต้องการงั้นเหรอ” เขาหรี่ตาถาม เสียงกดต่ำจนน่ากลัว“ใช่ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกได้เลย ฉะ ฉันจะบอกพ่อให้”โจรตรงหน้ากระชากกระเป๋าของเธอจนขาดด้วยมือเดียว เงินสองปึกที่มัดเรียบร้อยร่วงหล่น มันหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ แสยะยิ้มร้ายกาจ แล้วหยิบขึ้นมา“อืม...รวยจริงนี่”“งั้นแค่นี้พอนะ ปล่อยฉันไปได้แล้ว...”“หืม บอกเองนี่ว่าพ่อจะให้อีกเท่าที่ต้องการ”มณีรัตน์เพิ่งรู้ตัวว่าเธอพลาดเสียแล้ว “ไม่ ไม่...แค่นั้นก็พอแล้วนี่ พวกแกก็เป็นแค่โจรจะเอาอะไรนักหนา”เสียงหัวเราะดังขึ้น “ก็เพราะเป็นโจรไง ถึงต้องการมากกว่านี้”มือที่บีบคอของหญิงสาวเอาไว้ปล่อยออก ร่างเล็กร่วงทรุดลงกับพื้นไอโขลกเหมือนจะขา