“อีกสามวันเท่านั้น แกจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในจังหวัด ไม่สิ อาจจะในภาค หรือประเทศด้วยซ้ำ” เสียงชื่นชมยินดียังคงดังออกมาไม่ขาดปาก เมื่อศจีเอ่ยถึงชุดเจ้าสาวที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต ราคาของมันอีกเล็กน้อยก็จะขึ้นเจ็ดหลักอยู่แล้ว หญิงสาวชื่นชมมันด้วยความยินดีแกมอิจฉา ไม่คิดเลยว่ารุ่นน้องที่ฝึกงานด้วยกันเมื่อหลายปีก่อนจะมีบ้านหลังใหญ่โตขนาดที่ว่าต้องขับรถจากบานประตูสูงเทียมฟ้าเข้ามาในตัวบ้านเลยทีเดียว
“ถ้าหนูเลือกได้หนูให้พี่แต่งแทนหนูแล้วพี่ศจี” ว่าที่เจ้าสาวกลับเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยท่าทีเบื่อโลกเสียอย่างนั้น
มณีรัตน์นั่งจ่อมอยู่กับโต๊ะทำงานของเธอมาตั้งแต่เช้า ไม่ได้สนอกสนใจชุดเจ้าสาวที่เพิ่งตัดเสร็จซึ่งถูกนำเอามาให้ชื่นลมเลยสักนิดเดียว ภายในห้องหับที่โอ่โถง ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งนำเข้า กระทั่งพรมเช็ดเช้ายังราคาหลักหมื่น แต่มณีรัตน์หาได้ปรารถนาสิ่งเร้าเหล่านั้นไม่
“หนูไม่ได้รักเขาเลย...ไม่เลยจริง ๆ”
ศจีถอนหายใจ เดินเข้ามาวางมือบ่นบ่าหญิงสาวจากด้านหลังเพื่อให้กำลังใจ “มันเป็นเรื่องของธุรกิจสินะ ทำไงได้ ครอบครัวของแกมีธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้ามูลค่าเป็นพัน ๆ ล้านต่อปี จะให้ลูกสาวมาแต่งงานกับไอ้เข้ม ไอ้ดำ ไอ้ขุนที่ไหนไม่รู้ก็คงไม่ได้แหละ”
“แต่พี่รู้ไหม ว่าฉันเองก็อยากจะมีชีวิตของตัวเองเหมือนกัน”
ศจีทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้หรูยกเท้าไขว่ห้างกอดอก “นี่แหละน้า...ลูกคนรวยที่มีพร้อมอยู่แล้วก็มักจะตามหาชีวิตธรรมดา ส่วนคนอย่างนังศจีที่หาเช้าก็กินเช้า อยากถูกหวยแล้วรวย นั่งกินนอนกินเฉย ๆ”
มณีรัตน์หน้าเง้า หันมองรุ่นพี่ “ถ้ามันรวยแล้วมันอิสระก็ว่าไปอย่างค่ะ แต่นี่ตั้งแต่เกิดมา หนูไม่เคยได้รู้สึกว่ามีชีวิตของตัวเองเลย จนกระทั่งได้ไปเรียนที่ต่างปประเทศนั้นแหละที่พอจะได้อิสระบ้าง ตั้งแต่หนูเกิดจนโตมา หนูไม่เคยได้ยินคำว่า จะเอาอะไร อยากได้อะไรไหมลูก จากพ่อกับแม่เลย มีแต่คำว่า ต้องเอาอันนี้สิลูก ต้องทำแบบนี้สิลูกจากพ่อเสมอ ถ้าบอกว่าหนูเป็นหุ่นยนต์ที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่สุดก็คงจะใช่”
“ขอโทษที่พูดอะไรไม่ค่อยดีออกไปนะ แต่พี่แค่รู้สึกว่าคนเรามันก็อยากได้อยากมีทั้งนั้น”
“และหนูก็อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
ศจียกสองมือขึ้นยิ้มกว้าง “โอเคจ้ะ น้องมณีรัตน์คนงามทรายเชยของพี่...พี่ยอมแล้ว แต่แบบนั้นจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทุกอย่างมันถูกจัดวางเอาไว้แล้ว และมันก็เป็นเรื่องของธุรกิจแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์”
“หนูอยากจะไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่นะ แต่นั่นแหละ ถ้าไปแค่นั้นก็คงจะโดนลากคอกลับมาแน่นอน” มณีรัตน์ถอนหายใจ “เฮ้อออ...หนูละอยากจะหนีไปไกล ๆ อยากไปในที่ที่พ่อตามหาหนูไม่เจอ ให้เขาได้รู้ว่าหนูไม่ใช่สิ่งของที่จะบงการทุกอย่าง...” คนพูดกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
มณีรัตน์ ลูกสาวคนสุดท้องของนักธุรกิจใหญ่ที่ถูกขนานนามว่าเจ้าสัวแห่งการส่งออก เธอเกิดมาบนกองเงินกองทองสูงเทียมฟ้า ชีวิตของเธอฝ่าเท้าแทบจะไม่ได้สัมผัสพื้นดินเลยด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นลูกคนสุดท้ายก่อนที่แม่ของเธอตัดสินใจทำหมัน ทำให้มณีรัตน์ได้รับความรักและความเอ็นดูจากบรรดาพี่ ๆ และคนรอบตัวเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่เด็ก
ทว่ามันเต็มจนล้น
ทุกคนต่างมั่นใจว่าจะมีเรื่องราวดี ๆ ของที่สมฐานะ หรือเครื่องใช้ที่หรูหรามามอบให้เธอ ต่างมั่นใจว่าการได้สรรหาข้าวของเหล่านั้นมาปรนเปรอ เธอจะมีความสุข เพียงแต่มณีรัตน์กลับคิดเพียงอย่างเดียวว่าเธอดูเหมือนตุ๊กตากระดาษที่ใครจะดึงทึ้งเธอไปทางไหนก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ความฝันของเธอเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ ได้ใช้ชีวิตแบบไม่ลำบาก รวมทั้งเขียนนิยายที่เธอโปรดปราน
กระทั่งตอนที่เธอเรียนอยู่และนิยายของเธอได้รับการเสนอซื้อลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ เธอยังไม่กล้าบอกที่บ้านด้วยซ้ำ เพราะเม็ดเงินที่ได้รับจากตรงนั้นจะโดนพ่อของเธอดูถูก สุดท้ายก็จะน้อยอกน้อยใจ พูดกับเธอว่า พ่อทำให้หนูลำบากจนต้องเสียเวลาไปเหน็ดเหนื่อยแลกกับเศษเงินแค่นั้นเองหรือ?
แต่พ่อไม่เคยถามเลยว่าเธอภูมิใจและรู้สึกมีความสุขจากสิ่งที่ได้ทำบ้างไหม?
ความสุขของเธอ...คือคำสั่งจากพ่อ เธอจะต้องมีความสุข เท่านั้น นั่นแหละคือพ่อของเธอ
อุเทน ศาสนโลกาสันต์ ผู้ที่เป็นว่าที่สามีของเธอในอีกสามวันหลังจากนี้ เขาเป็นชายหนุ่มทายาทบริษัทในสายการผลิตอาหารแช่แข็งที่เป็นอันดับสองรองจากพ่อของเธอที่ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่ง บริษัทของครอบครัวศาสนโลกาสันต์คือคู่แข่งที่กำลังจะขึ้นแซงบริษัทของเธอ และการจัดการที่เด็ดขาดที่สุดในการกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจคือการปรองดองพ่อจึงจัดการนัดดูตัวให้เธอและเขา อุเทนดูชื่นชอบเธอมาก นั่นจึงทำให้เขาตกลงที่จะไปต่อกับเธอ เพียงแต่มณีรัตน์ไม่ได้ชอบเขา มันไม่ได้หมายความว่าอุเทนเป็นคนไม่ดี คำว่าไม่มีความรู้สึกร่วมคงนิยามอารมณ์และความรู้สึกของมณีรัตน์ในทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งในอีกสามวัน...เธอก็จะเป็นของคน ๆ นั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้เลย“พี่ศจี หนูไม่อยากแต่งงานเลย” หญิงสาวเริ่มงอแง “หนูเพิ่งยี่สิบสองนะ เพิ่งเรียนจบกลับมาหมาด ๆ เลย เป็นบัณฑิตป้ายแดงอะ ยังใช่คำว่านางสาวได้ไม่คุ้มจะต้องเป็นนางแล้วอะคิดดู”“นี่ถ้าพี่สาวกว่านี้สักหน่อยจะไปศัลยกรรมทำหน้าให้เหมือนแกแล้วมาแต่งงานแทน ผู้ชายอะไรหล่อเหมือนไม่มีจริงในโลก” ศจีทำหน้าชวนฝัน สองมือทาบแก้มยิ้มหวานเมื่อนึกถึงว่าที่เจ้าบ
มณีรัตน์รู้สึกถึงอิสระทั้งหมดที่โหยหากำลังมากองอยู่ตรงหน้าของเธอ ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษ เธอจะแต่งงานก็ต่อเมื่อเธอเจอคนที่รักและเว้าวอน ไม่ได้แต่งงานเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของใคร ทั้งชีวิตที่เติบโตมา เธอคิดว่ามันคือการตอบแทนได้ทั้งหมดแล้ว ความเป็นคนของเธอถูกลดทอนไปด้วยกฎเกณฑ์ ณ วินาทีนี้ มีเพียงอิสรภาพที่ปรารถนาจังหวัดที่เธออาศัยอยู่นั้นมีเขตท่าเรือใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นของประเทศ หากจะต้องหนีไปที่ไหนสักที่ก็ต้องทางเรือนี่แหละเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอไม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ เพราะการตรวจสอบมันง่ายนิดเดียว ซึ่งใช่ มณีรัตน์จะใช้วิธีการแอบหนีไป ไม่ใช่การหนีไปให้หลงเหลือไว้ซึ่งหลักฐาน หากว่าการแอบขึ้นเครื่องบินมันง่ายเธอก็คงทำไปตั้งนานแล้ว...ป่านนี้ที่งานจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...“ตื่นเต้นชะมัดเลยโว้ยมณีรัตน์” เธอเอ่ยพลางมองตัวเองที่สะท้อนในกระจก ในเวลานี้เธอรวบผมขึ้นมวยซุกซ่อนเอาไว้ในหมวกคลุมหน้าที่คนงานทั่วไปเขาใช้กัน รูปร่างของเธอค่อนข้างเล็ก พลางมันด้วยเสื้อตัวหลวมโพรก กางเกงขาวยาวรองเท้าบูท สวมถุงมือถักราคาถูก ๆ ทำท่าทางให้เหมือนผู้ชายเข้าไว้ ยากที่สุดคือการต้องสวมเ
พักใหญ่ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเพลียจนเผลองีบหลับโดยไม่รู้ตัว เธอมีอาการพะอืดพะอมเหมือนจะเมาเรือที่ยังโคลงเคลงไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสนั่น หน้าเรือฝ่าตัดเกลียวคลื่นออกไปยังจุดหมาย ครั้นเมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมัวหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา จะอย่างไรก็ตาม...เธอยังคงคิดถึงครอบครัวน้ำตาของสาวน้อยไหลอาบแก้มช้า ๆ หากพ่อกับแม่เข้าใจเธอขึ้นมาสักนิด หากทั้งสองมอบช่วงเวลาให้เธอบ้างมันคงไม่ลงเอยอย่างนี้ ต่อให้ต้องร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดก็ทำได้เพียงคิดถึง...ห้ามกลับไปเด็ดขาดเปรี้ยง!!! ครืน ๆ !เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นกระตุ้นความกลัวของมณีรัตน์จนเธอเผลอกรีดร้องลั่น ก่อนจะต้องยกมือปิดปาก...เธอส่งเสียงดังออกไปไม่ได้ จากนี้อาจจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไม่ก็รุ่งเช้า เธอต้องทนอุดอู้อยู่ในนี้ไปก่อน หากแต่วินาทีนั้นเสียงฝีเท้านับสิบและเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น“ขึ้นลวด...ขึ้นลวดหนาม เราโดนโจมตี” เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วฟากฟ้า แสงสีแดงหมุนคว้างสะท้อนไปทั่วบริเวณ มณีรัตน์ลนลานมองซ้ายขวา เก็บคองอเข่าให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้“เฮ้ย เตรียมตัวรับมือ เตรียมอาวุธ โจรสลั
“ไม่ ๆ อย่าทำอะไรฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ” เธอยื่นกระเป๋าของเธอให้ “อะ นี่เงิน...เอาไป ในนี้มีเงินอยู่หลายแสน ฉันหนีจากบ้านมา จะ...จะเอาอะไรบอกฉันนะ ฉันจะหามาให้ แต่ ยะ อย่าฆ่าฉัน พ่อฉันจะให้เงินนาย...เท่าที่ต้องการ”อีกฝ่ายเอียงหน้า มือหนึ่งกดบีบลำคอของเธอแล้วตรึงเอาไว้ ทั้งเจ็บ ทั้งหายใจไม่ออก แต่เวลานี้เข่าของหญิงสาวอ่อนเกินกว่าจะหนี ดูจากที่เขาเงื้อมีดใส่เธอแบบไม่ลังเลแล้ว ถ้าวิ่งก็กลายเป็นผีเฝ้าทะเลอยู่นี่ที่แหละ“เท่าที่ต้องการงั้นเหรอ” เขาหรี่ตาถาม เสียงกดต่ำจนน่ากลัว“ใช่ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกได้เลย ฉะ ฉันจะบอกพ่อให้”โจรตรงหน้ากระชากกระเป๋าของเธอจนขาดด้วยมือเดียว เงินสองปึกที่มัดเรียบร้อยร่วงหล่น มันหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ แสยะยิ้มร้ายกาจ แล้วหยิบขึ้นมา“อืม...รวยจริงนี่”“งั้นแค่นี้พอนะ ปล่อยฉันไปได้แล้ว...”“หืม บอกเองนี่ว่าพ่อจะให้อีกเท่าที่ต้องการ”มณีรัตน์เพิ่งรู้ตัวว่าเธอพลาดเสียแล้ว “ไม่ ไม่...แค่นั้นก็พอแล้วนี่ พวกแกก็เป็นแค่โจรจะเอาอะไรนักหนา”เสียงหัวเราะดังขึ้น “ก็เพราะเป็นโจรไง ถึงต้องการมากกว่านี้”มือที่บีบคอของหญิงสาวเอาไว้ปล่อยออก ร่างเล็กร่วงทรุดลงกับพื้นไอโขลกเหมือนจะขา
“นี่คนนะ ทำกันเบา ๆ บ้างก็ได้” มณีรัตน์แหวใส่โจรสลัดหนุ่มทันทีที่เธอถูกโยนลงบนเรือเล็ก และเธอเพิ่งสังเกตว่ามีอีกหลายลำที่ประกบติดกับเรือขนส่งสินค้านี้อยู่ มันเป็นรูปแบบการปล้นที่รวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ทั้งจีพีเอส และโซน่า แสดงว่าโจรสลัดกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรกระจอก“ปกติล้มลงแต่บนกองเงินกองทองงั้นสินะ ถึงได้ไม่เคยเจ็บตัวอะไรกับเขาเลย”โจรสลัดหนุ่มไม่ยี่หระ เขาติดเครื่องเรือแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าร่างกายของมณีรัตน์นั้นจะถูกแรงเหวี่ยงสะบัดไปซ้ายทีขวาทีจนมึนหัวไปหมดเรือเล็กแล่นแหวกเกลียวคลื่นเข้าไปในทะเลลึก นั่นเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่รู้ทิศรู้ทางอีกแล้ว เธอไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน...หรือจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่เส้นขอบฟ้าในวันต่อไปหรือไม่ มันเป็นความสิ้นหวังที่สุดในชีวิต“ไม่ต้องพาฉันไปไหนทั้งนั้น พาฉันขึ้นฝั่ง แล้วจะโทรบอกพ่อให้เอาเงินมาให้”“เฮอะ...” โจรหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนจะปลดส่วนที่ปิดหน้าของหมวกหนาใบนั้นออกแล้วกระชากมันโยนลงไปกับพื้น แววตาของเขาแข็งกร้าว หากแต่ใบหน้าที่ดุดันนั้นกลับมีเสน่ห์เสียจนมณีรัตน์รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในอกจนหัวใจเต้นตุบ
รู้ตัวอีกครั้งหญิงสาวก็ไร้ทางหนีโดยถาวรมณีรัตน์หวาดกลัวจนน้ำตาไหล และเข้าใจถ่องแท้ การร้องไห้มิอาจมอบความปลอดภัยให้เธอเลยแม้แต่น้อย ทว่าน้ำตายังคงรินไหลอาบแก้ม ความสิ้นหวังปรากฏบนใบหน้าอันสะสวย หากแต่ความหวังที่แสนผิดแปลกกลับปรากฏอยู่บนแววตาที่ทอประกายอยู่บนใบหน้าที่ชวนพิศวงของเขาน่ากลัว...แปลกประหลาด แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนวูบหนึ่งในท่าทีขัดเขิน...ร่างกายของมณีรัตน์รู้สึกร้อนวูบวาบตามไปด้วย เหมือนสะเก็ดไฟในอกกำลังถูกจุดติดขึ้นมาขณะที่มือแกร่งค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดแช่มช้า แสงสลัวฉายให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นขนดกดำที่ยาวตามแนวแผงอกและไล่ลงไปตามกล้ามหน้าท้อง แผ่นหลังใหญ่ ไหล่กว้างเหมือนกับคนที่ออกกำลังกายดูแลตัวเองเป็นอย่างดีหวาดกลัว หวาดหวั่น พรั่นพรึง...แต่มิอาจละสายตาเหตุใดกัน มณีรัตน์กลับรู้สึกวูบไหว อ่อนระทวยกับมวลกล้ามเนื้อที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่มันมีแต่ความรู้สึกป่าเถื่อนแผ่กระจายออกมา แล้วชายผู้นั้นก็กระชากเสื้อของเธอออกอย่างไร้ซึ่งความอ่อนโยน กระดุมทุกเม็ดหลุดกระจาย เผยให้เห็นชั้นในเก็บอกของเธอ เขาปลดมันออกทันที ความเย็นปะทะผิวกายจนยอดถันหดเกร็
“ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมาให้ต้องเกลือกกลั้วกับขยะพวกนี้...” เจ้าสัวกดเสียงต่ำ “แล้วดูแกสิ เนื้อตัวกระดำกระด่างหมดราคา ผมเฝ้ายุ่งเหยิง สารรูปดูจะไม่เป็นคนแล้ว...นี่แกลงไปเกลือกกลัวกับพวกนี้จนลืมไปแล้วหรือไง ว่าแกทิ้งเรื่องอะไรเอาไว้ให้ฉัน”มณีรัตน์ตัวสั่น แต่รวบรวมความกล้าเอาไว้อย่างถึงที่สุด “หนูทิ้งอดีตมาไง อดีตที่พ่อสร้างหนูขึ้นมาเหมือนหุ่นยนต์ของพ่อ อดีตที่หนูไม่เคยได้มีความคิดหรืออิสระของตัวเองเลย”“เพราะฉันต้องการหาสิ่งดี ๆ ให้แกไงล่ะ” เจ้าสัวยังคงตั้งมั่นใจความคิดของตน “กลับขึ้นไปบนฝั่งกับฉันไม่อย่างนั้นฉันจะซื้อเกาะนี้แล้วเผาให้ราบ แกรู้ใช่ไหม ว่าเงินที่ฉันมี ซื้อชีวิตไอ้คนชั้นต่ำบนเกาะนี้มาฆ่าเล่นได้ไม่ยากเลย พวกมันมีค่าน้อยกว่าเศษเล็บของฉันเสียอีก”สิงหราพยายามเอาตัวบังร่างเล็กของมณีรัตน์ไว้ เมื่อคนที่เดินตามมาข้างหลังเจ้าสัวนั้นมีปืนครบมือ แต่ทว่ามณีรัตน์กลับไม่ยอมอีกแล้ว ครั้งนี้เธอจะต่อต้านวิถีชีวิตของเธอ ขนบธรรมเน
เขาขยับใบหน้าเข้าหาเธอ...มณีรัตน์เอียงใบหน้า หลับตารับ ก่อนริมฝีปากของทั้งคู่จะจุมพิตกันท่ามกลางความไม่สมเหตุสมผล รสจูบที่เร่าร้อนเริ่มต้นขึ้น มือที่สอดใส่เข้ามาในตัวของเธอขยับกระตุ้นไม่หยุดหย่อน และในช่วงเวลาเดียวกัน มณีรัตน์ก็ปล่อยให้เรียวลิ้นของเขาซอกซอนเข้ามากวาดต้อนเอาความหวานหยดจากตัวเธอเข้าไปอย่างเต็มที่ โรมรันกันอย่างไม่หยุดหย่อนกระทั่งสัมผัสได้เลยว่าตัวของเธอนั้นแทบจะหลอมละลายไปหมดแล้วในเวลานี้นิ้วมือของเขาถูกหยาดน้ำผึ้งอาบเยิ้มจนเกิดเสียงแจ๊ะ ๆ ตอนที่เขากระแทกฝ่ามือเข้ามาในโพรงสวาทนั้น กระทั่งเขาหยุดทุกการกระทำแล้วล่าถอยชายหนุ่มจ้องมองเธอไม่วางตาระหว่างที่เริ่มยกมือขึ้นมาลิ้มรสน้ำหวานที่เธอเป็นคนปลดปล่อยออกมาด้วยการตวัดลิ้นที่แสนพลิ้วไหวสลับดูดดุนดื่มกินระหว่างซอกนิ้วทีละนิ้วจนทันทีที่มณีรัตน์ได้เห็นลีลาเร่าร้อนในการใช้ลิ้นของเขา ลมหายใจร้อนผ่าวก็ถูกปล่อยออกมาทันทีเฮือก!!!ขาอ้ากว้างขึ้นกว่าเดิมราวร้องขอโจรสลัดห
มือของสิงหราจับประสานกับเธอบีบกระชับแน่น เท้าที่มณีรัตน์ใช้รับน้ำหนักตัวเองทรงตัวได้ในจุดที่พอเหมาะแล้วเช่นกัน นั่นก็ทำให้เธอขยับยกร่างกายขึ้นไปแล้วขย่มลงมาอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงร่างกายของทั้งคู่กระทบกันอย่างต่อเนื่อง วินาทีนี้ เป็นช่วงเวลาที่สิงหราเสียอาการที่สุด จังหวะตกกระแทกที่กดลงมามิดลำกล้องทำให้เขาร่างกายกระตุกถี่อย่างไม่อาจจะหยุดยั้งแรงกระตุ้นตรงหน้าการถูกขึ้นนี่ไม่ว่าจะเป็นครั้งไหนมันก็วิเศษเหลือเกินเชียว“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า อ๊า อ๊า...พะ พี่สิงห์ เสียวจังเลย ซี้ดดด...อื๊อออ”“อา อา...เสียวมากเลยครับ ซี้ดดด แรง ๆ เลย โอยยย...พี่เสียวสุด ๆ เลยครับเมียจ๋า อือออ...”สิงหราบรรจงยกตัวขึ้นมาในลักษณะนั่ง คลายแรงลงปล่อยมือของเธอให้โอบลำคอของเขาเอาไว้แทน และโดยที่ไม่ให้ร่างกายซึ่งสวมสอดใส่กันอยู่นั้นหลุดพรากจากกัน เขาค่อย ๆ โน้มตัวเข้าหาเธอแล้วประคองแผ่นหลังเอาไว้จนในที่สุด สิงหราก็พาเธอลงนอนแผ่ตรงหน้าของเขาได้แล้วเวลานี้
เสื้อผ้าอาภารณ์ค่อย ๆ ถูกถอดออกไปทีละชิ้นอย่างเว้าวอน หญิงสาวอ่อยเหยื่อล่อลวงชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ปลายเตียงด้วยสายตาอันหยาดเยิ้ม จนไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างกายสะโอดสะองที่เปลือยเปล่าก็ทำให้สิงหราฉีกยิ้มขึ้นมาด้วยความสุข จ้องดูส่วนสงวนของเธอที่อวบอิ่มนูนเด่นขึ้นมาไม่วางตา“สวยเหลือเกิน...”“มองหน้าสิคะ”“หน้าน่ะพี่มองทุกวันนี่นา”เขายิ้ม ค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วถอดเสื้อผ้าตัวเองออกเช่นกัน ก่อนจะเดินเข้าไปดึงร่างเล็กเข้ามาแนบชิด หงายมือลูบสัมผัสเนินสวาทที่รับกับองศามือนั้น ร่างเล็กกระตุกสั่น สีหน้าสยิวซ่านปรากฏขึ้นมาเมื่อชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วหนึ่งค่อย ๆ รูดขึ้นไปตามร่องสวาท แหวกพลางสอดแทรกนิ้วเข้าไปทันที“อ๊ะ...อา...เอาเลยหรือคะ”“ไม่รอหรอก...ดูสิ แข็งไปหมดแล้ว”“ใจร้อนจริงพี่สิงห์”
“เธอมันขัดขวางสามีของฉันมากเกินไป”เสียงของหญิงสาวที่คุ้นหูแว่วขึ้นมา สิงหราปรือตาขึ้นพร้อมกับความงุนงง เมื่อมองโดยรอบแล้ว เวลานี้เขาอยู่ในห้องที่ไม่รู้จัก เตียงหรูหราที่ทิ้งกายและเปลือยเปล่า เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามาที่นี่ได้อย่างไร และอีกอย่าง หญิงคนนี้ก็ไม่ควรมาอยู่ในท่าทีเช่นนี้คุณราตรี ภรรยาของนายทหารยศใหญ่เธอยังสะสวยเพราะอายุยังน้อย หากแต่ท่าทีน่าเกรงขามและแววตาเชือดเฉือนของเธอนำมาซึ่งความเกรงอกเกรงใจจากนายทหารชั้นผู้น้อยทุกคน เธอสวมเพียงคาดผ้าขนหนูพันเอาไว้รอบอก แต่ในขณะนี้ร่างกายของสิงหรากลับหนักอึ้ง และสมองพร่าเบลอไปหมด แค่บังคับร่างกายให้ลุกขึ้นยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ...เธอปลดปมที่ผูกผ้าผืนนั้นอกจนเหลือเพียงแค่ร่างกายอันเปลือยเปล่า แม้ในสายตาของผู้ชายมากมาย รูปร่างของเธอช่างปลุกเร้าความกำหนัดได้เป็นอย่างดี ทว่าไม่ใช่กับสิงหรา เขาไม่อาจจะแตะต้องเธอ และไม่มีความคิดนั้นในหัวด้วยซ้ำ เธอคือหญิงผู้มีเจ้าของ เธอไม่อาจจะทำเช่นนี้กับเขาได้“คะ...ค
สิงหราพุ่งเข้าไปประคองร่างเล็กขึ้นแล้วตระกองกอดทันที ลูบไล้เนื้อนางอย่างหวงแหน“ไม่เป็นไรแล้วนะ” เขาปลอบโยน “เราพ้นแล้ว เราจะกลับไปบนเกาะกัน”“ค่ะพี่สิง...กลับกันเถอะ” ถึงน้ำเสียงจะถูกปั้นแต่งอย่างดี แต่สติของสาวเจ้าก็กระเจิงไปไม่น้อยเลยทีเดียว ถึงอย่างนั้นมรสุมครั้งนี้ก็ผ่านไปด้วยดีด้วยประสบการณ์อันล้ำค่าของสิงหรา เธอหวาดกลัวจนหมดสติลงในอ้อมกอดของชายหนุ่มทันที**********สิงหราขับเรือเข้าเทียบท่าบนเกาะในช่วงเวลาที่แสงจันทร์อวดโฉม เห็นว่ามณีรัตน์ยังหลับอยู่บนฟูกจึงเอาผ้าห่มมาคลุมตัวของเธอไว้ ไม่อยากปลุก ทว่าความผิดปกติก็ทำให้เขาสัมผัสได้ ความเงียบ และแสงสว่างที่หายไป ไม่มีเสียงเครื่องปั่นไฟทำงานไม่มีกระทั่ง...เทียนสักเล่มที่ถูกจุดไม่ได้การ!สิงหราวิ่งเลียบลัดเลาะเข้าไปในชายป่าทันที แฝงตัวเองกั
ก่อนพายุใหญ่คลื่นลมมักสงบเสมอ...มณีรัตน์สัมผัสอ้อมกอดจากชายอันเป็นที่รักอยู่ที่ส่วนด้านหน้าของเรือ ทอดยาวออกไปเป็นส่วนของผ้าสามสีที่ผูกบูชาแม่ย่านาง หากแม้นี่จะไม่ใช่เรือลำใหญ่เหมือนภาพยนตร์ระดับตำนาน แต่เธอก็มั่นใจเหลือเกินว่าความอบอุ่นจากนางเอกผู้นั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเธอมากนักหรอกสิงหราเกยคางลงที่ไหล่ของเธอ เอนกายแผ่วเบาเข้าประชิด“วันนี้ร้องดังกว่าทุกวันนะ...พี่ทำดีใช่ไหม”“พี่ก็ทำดีมาตลอดนั่นแหละ” เธอยิ้ม “แต่วันนี้มีแค่เรากับทะเลไง นีก็เลยได้ทำทุก ๆ อย่างที่อยากจะทำ” เธอกอบกุมมือของสิงหราเอาไว้ รู้สึกดีเหลือล้นที่ได้รับอ้อมกอดอุ่นที่เธอเคยโหยหา ย้อนกลับไปวันแรกที่ถูกกระชากจนตัวปลิว วันนี้ชายหนุ่มผู้ล่ำกำยำคนนี้อ่อนโยนกับเธอเหลือเกินเว้นเพียงแต่ช่วงเวลาที่เขาต้องกระแทกก็เท่านั้นเรือค่อย ๆ โยกเบา ๆ ตามพื้นน้ำที่ไหวเป็นระลอก ทิศตะวันตกตะวันเริ่มยอแสงแล้ว
ภายในกายเล็กเพรียวพลิ้วของมณีรัตน์ตอดรัดแก่นกายของเขาเป็นอย่างดี แม้จะอบอุ่นและลื่นไหล แต่กลับยิ่งสร้างความซาบซ่านให้ผู้สอดใส่ได้อย่างมหาศาล สองมือของสิงหราจับที่แข้งของเธอแล้วกดให้ขาที่พาดบ่านั้นแนบกาย เริ่มโยกสะโพกขยับไหวอย่างถี่รัวและหนักหน่วงทันทีจนได้ยินเสียงเพียงสัมผัสอันอยาบโลนของร่างกายที่กำลังเดือดพล่านด้วยไฟแห่งราคะต่อเนื่อง ยิ่งสัมผัสเร็วรี่เท่าไหร่ ดูเหมือนความปรารถนาอันร้อนฉ่าจะยิ่งโหมกระพือ“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า...พะ พี่สิงห์คะ พี่สิงห์ อื๊อออ...เสียวจังเลยค่ะ เสียว อ๊า...” ไม่มีความเอียงอายเมื่อได้อยู่ใกล้เคียงจุดที่เรียกว่าสวรรค์ มณีรัตน์หลับตาแน่น ปล่อยร่างกายไหวไปตามแรงกระแทกอันดุดันของชายหนุ่มตรงหน้า มือหนึ่งป่ายปัดไร้ทิศทาง ส่วนอีกข้างยังคงกระตุ้นอารมณ์กระสันของตัวเองด้วยการไล้วนเสียดสีที่เม็ดเสียวเป็นวงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งแรงกระแทกที่ได้รับมาลึกล้ำเท่าไหร่ เธอเองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะถูกห้วงแห่งความหฤหรรษ์อัดแน่นจนเต็มปรี่“ซี้ดดด...พี่เสียวเหลือ
ท่ามกลางคลื่นทะเลอันเงียบสงบ ความเร่าร้อนกำลังเกิดขึ้นมือเรียวเล็กคว้ากำดุ้นเนื้อของชายหนุ่มเอาไว้พร้อมกับรูดชักอย่างถี่รัวจนแข็งตัวขึ้นชูชัน น้ำหวานใสเยิ้มที่ส่วนปลายซึ่งโผล่พ้นขึ้นมา มณีรัตน์รวบผมไปไว้ข้างหนึ่ง แหงนหน้ามองดูสิงหราที่สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีด้วยความเสียวซ่านจากส่วนที่ถูกกระตุ้นมณีรัตน์อ้าปากกว้างแล้วครอบลงไปทันที“อืม...ซี้ดดดด”เรือโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหาเลยสักนิดเดียว ปากเล็ก ๆ ของเธอรับเอาท่อนเนื้อที่ใหญ่จนคับเข้าไปพร้อมกับดูดดุนจนเสียงหยาบโยนดังขึ้นมา ลิ้นกระหวัดไปรอบ ๆ ลำเนื้อขณะที่ริมฝีปากก็ออกแรงดูดดุนอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าสวยผงกขยับเข้า ๆ ออก ๆ ที่ดุ้นกายนั้นอย่างต่อเนื่อง ลิ้มรสของหวานใสที่เยิ้มออกมาอย่างละเมียด ไม่ปล่อยให้มีหยดไหนร่วงหล่นสิงรานั่งเกร็งสั่น แรงดูดดันอันซาบซ่านทำให้เขาอดใจไม่ไหว เอื้อมมือลงไปกดหัวของเธอแล้วลูบไล้เส้นผมสลวยนั้นก่อนบังคับจังหวะให้เป็นไปอย่างที่ตนเองต้
“นี่...พี่สาวได้ปูลมแล้วน้า” มณีรัตน์ตะโกนอย่างภาคภูมิใจ หลังจากที่เธอสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของปูลมตัวจิ๋วได้ทันและคว้ามันเอาไว้ได้ครั้งแรกหลังจากที่อยู่ที่นี่มาได้เดือนเศษ...ปูลมตัวแรก“พี่สาวเก่งมากเลย” เด็กน้อยปรบมือ ยื่นถังให้เธอใส่เจ้าปูลงไป แต่เมื่อชำเลืองมอง มณีรัตน์ก็ต้องเขิน เพราะว่าในนั้นมีปูอยู่นับร้อยตัว ฝีมือของเด็ก ๆ ลูกของบรรดาชาวประมงที่นี่เพียงสามคนหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มณีรัตน์ไม่กล้าบอกกับสิงหราว่าเธอนั้นลืมความรู้สึกที่อยากตายไปโดยสิ้นเชิง โทรศัพท์ของเธอจมหาย นิยายก็ไม่ได้เขียนเลยด้วยซ้ำ เพราะที่นี่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ตะเกียงและเครื่องปั่นไฟก็มีจำกัดจำเขี่ย แต่เธอก็ชินเสียแล้วสิ ที่นี่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย ธรรมชาติ และใช่ การมีความสุขโดยที่เธอไม่มีเงินติดตัวสักบาทเธอรู้สึกกับสิงหรามากขึ้น และไม่ได้มองคนที่นี่ว่าเป็นโจรชั่วอีกต่อไป ในเมื่อการปล้นเสบียงทั้งหมด มันเป็นสิ่งของที่นำเข้าแบบผิดกฎหมายทั้งนั้น เป็นการ
หลังจากที่คุยกันอยู่อีกไม่กี่ประโยค มณีรัตน์ก็ขอตัวออกไปเดินดูรอบ ๆ พบว่าแม้เกาะนี้จะใหญ่โต แต่พื้นที่ที่จะสามารถปลูกสิ่งก่อสร้างให้อาศัยอยู่นั้นมีเพียงส่วนนี้ที่เป็นเวิ้งเล็ก ๆ คว้านลึกจากชายหาด ที่เหลือเป็นภูเขาหิน มีแต่ป่าไม้ทั้งนั้น ทำให้ผู้คนโดยรอบที่เธอเห็นนี้อาจจะเป็นประชากรเกาะเกือบทั้งหมดแล้วมุมหนึ่ง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกับลูกสาวตัวเล็ก ๆ กำลังเล่นกันอยู่ใต้เงามะพร้าว ทุกคนที่นี่ไม่หวั่นต่อแสงแดดที่แผดเผาผิวกายเลยสักนิดเดียว เธอคนนั้นเห็นมณีรัตน์มาแต่ไกลก็ยิ้มให้จนเห็นฟันขาวครบสามสิบสองซี่ ก่อนที่ลูกสาวตัวน้อยจะวิ่งเข้าหามณีรัตน์แขนเล็ก ๆ ของเด็กหญิงคว้าเข้าที่มือของเธอ ก่อนอีกข้างจะลูบไล้เธอแผ่วเบาราวกับกลัวมันบุบสลาย“พี่ผิวนุ่มจังเลย ขาวเหมือนหาดทราย” เด็กหญิงยิ้มกว้าง “หน้าตาก็สวย”“ปากหวานจังเลยนะจ๊ะ” แม้จะรู้สึกประหลาดใจก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวของเด็กหญิง“ไปหาจับปูลมกับหน