“อีกสามวันเท่านั้น แกจะเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในจังหวัด ไม่สิ อาจจะในภาค หรือประเทศด้วยซ้ำ” เสียงชื่นชมยินดียังคงดังออกมาไม่ขาดปาก เมื่อศจีเอ่ยถึงชุดเจ้าสาวที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีต ราคาของมันอีกเล็กน้อยก็จะขึ้นเจ็ดหลักอยู่แล้ว หญิงสาวชื่นชมมันด้วยความยินดีแกมอิจฉา ไม่คิดเลยว่ารุ่นน้องที่ฝึกงานด้วยกันเมื่อหลายปีก่อนจะมีบ้านหลังใหญ่โตขนาดที่ว่าต้องขับรถจากบานประตูสูงเทียมฟ้าเข้ามาในตัวบ้านเลยทีเดียว
“ถ้าหนูเลือกได้หนูให้พี่แต่งแทนหนูแล้วพี่ศจี” ว่าที่เจ้าสาวกลับเอ่ยถ้อยคำออกมาด้วยท่าทีเบื่อโลกเสียอย่างนั้น
มณีรัตน์นั่งจ่อมอยู่กับโต๊ะทำงานของเธอมาตั้งแต่เช้า ไม่ได้สนอกสนใจชุดเจ้าสาวที่เพิ่งตัดเสร็จซึ่งถูกนำเอามาให้ชื่นลมเลยสักนิดเดียว ภายในห้องหับที่โอ่โถง ประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งนำเข้า กระทั่งพรมเช็ดเช้ายังราคาหลักหมื่น แต่มณีรัตน์หาได้ปรารถนาสิ่งเร้าเหล่านั้นไม่
“หนูไม่ได้รักเขาเลย...ไม่เลยจริง ๆ”
ศจีถอนหายใจ เดินเข้ามาวางมือบ่นบ่าหญิงสาวจากด้านหลังเพื่อให้กำลังใจ “มันเป็นเรื่องของธุรกิจสินะ ทำไงได้ ครอบครัวของแกมีธุรกิจนำเข้าส่งออกสินค้ามูลค่าเป็นพัน ๆ ล้านต่อปี จะให้ลูกสาวมาแต่งงานกับไอ้เข้ม ไอ้ดำ ไอ้ขุนที่ไหนไม่รู้ก็คงไม่ได้แหละ”
“แต่พี่รู้ไหม ว่าฉันเองก็อยากจะมีชีวิตของตัวเองเหมือนกัน”
ศจีทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้หรูยกเท้าไขว่ห้างกอดอก “นี่แหละน้า...ลูกคนรวยที่มีพร้อมอยู่แล้วก็มักจะตามหาชีวิตธรรมดา ส่วนคนอย่างนังศจีที่หาเช้าก็กินเช้า อยากถูกหวยแล้วรวย นั่งกินนอนกินเฉย ๆ”
มณีรัตน์หน้าเง้า หันมองรุ่นพี่ “ถ้ามันรวยแล้วมันอิสระก็ว่าไปอย่างค่ะ แต่นี่ตั้งแต่เกิดมา หนูไม่เคยได้รู้สึกว่ามีชีวิตของตัวเองเลย จนกระทั่งได้ไปเรียนที่ต่างปประเทศนั้นแหละที่พอจะได้อิสระบ้าง ตั้งแต่หนูเกิดจนโตมา หนูไม่เคยได้ยินคำว่า จะเอาอะไร อยากได้อะไรไหมลูก จากพ่อกับแม่เลย มีแต่คำว่า ต้องเอาอันนี้สิลูก ต้องทำแบบนี้สิลูกจากพ่อเสมอ ถ้าบอกว่าหนูเป็นหุ่นยนต์ที่รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่สุดก็คงจะใช่”
“ขอโทษที่พูดอะไรไม่ค่อยดีออกไปนะ แต่พี่แค่รู้สึกว่าคนเรามันก็อยากได้อยากมีทั้งนั้น”
“และหนูก็อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
ศจียกสองมือขึ้นยิ้มกว้าง “โอเคจ้ะ น้องมณีรัตน์คนงามทรายเชยของพี่...พี่ยอมแล้ว แต่แบบนั้นจะทำยังไงล่ะ ในเมื่อทุกอย่างมันถูกจัดวางเอาไว้แล้ว และมันก็เป็นเรื่องของธุรกิจแบบสามร้อยเปอร์เซ็นต์”
“หนูอยากจะไปทำงานที่ร้านกาแฟของพี่นะ แต่นั่นแหละ ถ้าไปแค่นั้นก็คงจะโดนลากคอกลับมาแน่นอน” มณีรัตน์ถอนหายใจ “เฮ้อออ...หนูละอยากจะหนีไปไกล ๆ อยากไปในที่ที่พ่อตามหาหนูไม่เจอ ให้เขาได้รู้ว่าหนูไม่ใช่สิ่งของที่จะบงการทุกอย่าง...” คนพูดกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
มณีรัตน์ ลูกสาวคนสุดท้องของนักธุรกิจใหญ่ที่ถูกขนานนามว่าเจ้าสัวแห่งการส่งออก เธอเกิดมาบนกองเงินกองทองสูงเทียมฟ้า ชีวิตของเธอฝ่าเท้าแทบจะไม่ได้สัมผัสพื้นดินเลยด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นลูกคนสุดท้ายก่อนที่แม่ของเธอตัดสินใจทำหมัน ทำให้มณีรัตน์ได้รับความรักและความเอ็นดูจากบรรดาพี่ ๆ และคนรอบตัวเต็มเปี่ยมมาตั้งแต่เด็ก
ทว่ามันเต็มจนล้น
ทุกคนต่างมั่นใจว่าจะมีเรื่องราวดี ๆ ของที่สมฐานะ หรือเครื่องใช้ที่หรูหรามามอบให้เธอ ต่างมั่นใจว่าการได้สรรหาข้าวของเหล่านั้นมาปรนเปรอ เธอจะมีความสุข เพียงแต่มณีรัตน์กลับคิดเพียงอย่างเดียวว่าเธอดูเหมือนตุ๊กตากระดาษที่ใครจะดึงทึ้งเธอไปทางไหนก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ความฝันของเธอเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ ได้ใช้ชีวิตแบบไม่ลำบาก รวมทั้งเขียนนิยายที่เธอโปรดปราน
กระทั่งตอนที่เธอเรียนอยู่และนิยายของเธอได้รับการเสนอซื้อลิขสิทธิ์ตีพิมพ์ เธอยังไม่กล้าบอกที่บ้านด้วยซ้ำ เพราะเม็ดเงินที่ได้รับจากตรงนั้นจะโดนพ่อของเธอดูถูก สุดท้ายก็จะน้อยอกน้อยใจ พูดกับเธอว่า พ่อทำให้หนูลำบากจนต้องเสียเวลาไปเหน็ดเหนื่อยแลกกับเศษเงินแค่นั้นเองหรือ?
แต่พ่อไม่เคยถามเลยว่าเธอภูมิใจและรู้สึกมีความสุขจากสิ่งที่ได้ทำบ้างไหม?
ความสุขของเธอ...คือคำสั่งจากพ่อ เธอจะต้องมีความสุข เท่านั้น นั่นแหละคือพ่อของเธอ
อุเทน ศาสนโลกาสันต์ ผู้ที่เป็นว่าที่สามีของเธอในอีกสามวันหลังจากนี้ เขาเป็นชายหนุ่มทายาทบริษัทในสายการผลิตอาหารแช่แข็งที่เป็นอันดับสองรองจากพ่อของเธอที่ทำทุกอย่างเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่ง บริษัทของครอบครัวศาสนโลกาสันต์คือคู่แข่งที่กำลังจะขึ้นแซงบริษัทของเธอ และการจัดการที่เด็ดขาดที่สุดในการกำจัดคู่แข่งทางธุรกิจคือการปรองดองพ่อจึงจัดการนัดดูตัวให้เธอและเขา อุเทนดูชื่นชอบเธอมาก นั่นจึงทำให้เขาตกลงที่จะไปต่อกับเธอ เพียงแต่มณีรัตน์ไม่ได้ชอบเขา มันไม่ได้หมายความว่าอุเทนเป็นคนไม่ดี คำว่าไม่มีความรู้สึกร่วมคงนิยามอารมณ์และความรู้สึกของมณีรัตน์ในทุก ๆ ครั้งที่ได้พบกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งในอีกสามวัน...เธอก็จะเป็นของคน ๆ นั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทำใจยอมรับได้เลย“พี่ศจี หนูไม่อยากแต่งงานเลย” หญิงสาวเริ่มงอแง “หนูเพิ่งยี่สิบสองนะ เพิ่งเรียนจบกลับมาหมาด ๆ เลย เป็นบัณฑิตป้ายแดงอะ ยังใช่คำว่านางสาวได้ไม่คุ้มจะต้องเป็นนางแล้วอะคิดดู”“นี่ถ้าพี่สาวกว่านี้สักหน่อยจะไปศัลยกรรมทำหน้าให้เหมือนแกแล้วมาแต่งงานแทน ผู้ชายอะไรหล่อเหมือนไม่มีจริงในโลก” ศจีทำหน้าชวนฝัน สองมือทาบแก้มยิ้มหวานเมื่อนึกถึงว่าที่เจ้าบ
มณีรัตน์รู้สึกถึงอิสระทั้งหมดที่โหยหากำลังมากองอยู่ตรงหน้าของเธอ ไม่มีความรู้สึกผิด ไม่มีคำขอโทษ เธอจะแต่งงานก็ต่อเมื่อเธอเจอคนที่รักและเว้าวอน ไม่ได้แต่งงานเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของใคร ทั้งชีวิตที่เติบโตมา เธอคิดว่ามันคือการตอบแทนได้ทั้งหมดแล้ว ความเป็นคนของเธอถูกลดทอนไปด้วยกฎเกณฑ์ ณ วินาทีนี้ มีเพียงอิสรภาพที่ปรารถนาจังหวัดที่เธออาศัยอยู่นั้นมีเขตท่าเรือใหญ่ที่สุดเป็นอันดับต้นของประเทศ หากจะต้องหนีไปที่ไหนสักที่ก็ต้องทางเรือนี่แหละเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เธอไม่สามารถเดินทางโดยเครื่องบินได้ เพราะการตรวจสอบมันง่ายนิดเดียว ซึ่งใช่ มณีรัตน์จะใช้วิธีการแอบหนีไป ไม่ใช่การหนีไปให้หลงเหลือไว้ซึ่งหลักฐาน หากว่าการแอบขึ้นเครื่องบินมันง่ายเธอก็คงทำไปตั้งนานแล้ว...ป่านนี้ที่งานจะเป็นอย่างไรบ้างนะ...“ตื่นเต้นชะมัดเลยโว้ยมณีรัตน์” เธอเอ่ยพลางมองตัวเองที่สะท้อนในกระจก ในเวลานี้เธอรวบผมขึ้นมวยซุกซ่อนเอาไว้ในหมวกคลุมหน้าที่คนงานทั่วไปเขาใช้กัน รูปร่างของเธอค่อนข้างเล็ก พลางมันด้วยเสื้อตัวหลวมโพรก กางเกงขาวยาวรองเท้าบูท สวมถุงมือถักราคาถูก ๆ ทำท่าทางให้เหมือนผู้ชายเข้าไว้ ยากที่สุดคือการต้องสวมเ
พักใหญ่ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเพลียจนเผลองีบหลับโดยไม่รู้ตัว เธอมีอาการพะอืดพะอมเหมือนจะเมาเรือที่ยังโคลงเคลงไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสนั่น หน้าเรือฝ่าตัดเกลียวคลื่นออกไปยังจุดหมาย ครั้นเมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมัวหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา จะอย่างไรก็ตาม...เธอยังคงคิดถึงครอบครัวน้ำตาของสาวน้อยไหลอาบแก้มช้า ๆ หากพ่อกับแม่เข้าใจเธอขึ้นมาสักนิด หากทั้งสองมอบช่วงเวลาให้เธอบ้างมันคงไม่ลงเอยอย่างนี้ ต่อให้ต้องร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดก็ทำได้เพียงคิดถึง...ห้ามกลับไปเด็ดขาดเปรี้ยง!!! ครืน ๆ !เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นกระตุ้นความกลัวของมณีรัตน์จนเธอเผลอกรีดร้องลั่น ก่อนจะต้องยกมือปิดปาก...เธอส่งเสียงดังออกไปไม่ได้ จากนี้อาจจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไม่ก็รุ่งเช้า เธอต้องทนอุดอู้อยู่ในนี้ไปก่อน หากแต่วินาทีนั้นเสียงฝีเท้านับสิบและเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น“ขึ้นลวด...ขึ้นลวดหนาม เราโดนโจมตี” เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วฟากฟ้า แสงสีแดงหมุนคว้างสะท้อนไปทั่วบริเวณ มณีรัตน์ลนลานมองซ้ายขวา เก็บคองอเข่าให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้“เฮ้ย เตรียมตัวรับมือ เตรียมอาวุธ โจรสลั
“ไม่ ๆ อย่าทำอะไรฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ” เธอยื่นกระเป๋าของเธอให้ “อะ นี่เงิน...เอาไป ในนี้มีเงินอยู่หลายแสน ฉันหนีจากบ้านมา จะ...จะเอาอะไรบอกฉันนะ ฉันจะหามาให้ แต่ ยะ อย่าฆ่าฉัน พ่อฉันจะให้เงินนาย...เท่าที่ต้องการ”อีกฝ่ายเอียงหน้า มือหนึ่งกดบีบลำคอของเธอแล้วตรึงเอาไว้ ทั้งเจ็บ ทั้งหายใจไม่ออก แต่เวลานี้เข่าของหญิงสาวอ่อนเกินกว่าจะหนี ดูจากที่เขาเงื้อมีดใส่เธอแบบไม่ลังเลแล้ว ถ้าวิ่งก็กลายเป็นผีเฝ้าทะเลอยู่นี่ที่แหละ“เท่าที่ต้องการงั้นเหรอ” เขาหรี่ตาถาม เสียงกดต่ำจนน่ากลัว“ใช่ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกได้เลย ฉะ ฉันจะบอกพ่อให้”โจรตรงหน้ากระชากกระเป๋าของเธอจนขาดด้วยมือเดียว เงินสองปึกที่มัดเรียบร้อยร่วงหล่น มันหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ แสยะยิ้มร้ายกาจ แล้วหยิบขึ้นมา“อืม...รวยจริงนี่”“งั้นแค่นี้พอนะ ปล่อยฉันไปได้แล้ว...”“หืม บอกเองนี่ว่าพ่อจะให้อีกเท่าที่ต้องการ”มณีรัตน์เพิ่งรู้ตัวว่าเธอพลาดเสียแล้ว “ไม่ ไม่...แค่นั้นก็พอแล้วนี่ พวกแกก็เป็นแค่โจรจะเอาอะไรนักหนา”เสียงหัวเราะดังขึ้น “ก็เพราะเป็นโจรไง ถึงต้องการมากกว่านี้”มือที่บีบคอของหญิงสาวเอาไว้ปล่อยออก ร่างเล็กร่วงทรุดลงกับพื้นไอโขลกเหมือนจะขา
“นี่คนนะ ทำกันเบา ๆ บ้างก็ได้” มณีรัตน์แหวใส่โจรสลัดหนุ่มทันทีที่เธอถูกโยนลงบนเรือเล็ก และเธอเพิ่งสังเกตว่ามีอีกหลายลำที่ประกบติดกับเรือขนส่งสินค้านี้อยู่ มันเป็นรูปแบบการปล้นที่รวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ทั้งจีพีเอส และโซน่า แสดงว่าโจรสลัดกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรกระจอก“ปกติล้มลงแต่บนกองเงินกองทองงั้นสินะ ถึงได้ไม่เคยเจ็บตัวอะไรกับเขาเลย”โจรสลัดหนุ่มไม่ยี่หระ เขาติดเครื่องเรือแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าร่างกายของมณีรัตน์นั้นจะถูกแรงเหวี่ยงสะบัดไปซ้ายทีขวาทีจนมึนหัวไปหมดเรือเล็กแล่นแหวกเกลียวคลื่นเข้าไปในทะเลลึก นั่นเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่รู้ทิศรู้ทางอีกแล้ว เธอไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน...หรือจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่เส้นขอบฟ้าในวันต่อไปหรือไม่ มันเป็นความสิ้นหวังที่สุดในชีวิต“ไม่ต้องพาฉันไปไหนทั้งนั้น พาฉันขึ้นฝั่ง แล้วจะโทรบอกพ่อให้เอาเงินมาให้”“เฮอะ...” โจรหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนจะปลดส่วนที่ปิดหน้าของหมวกหนาใบนั้นออกแล้วกระชากมันโยนลงไปกับพื้น แววตาของเขาแข็งกร้าว หากแต่ใบหน้าที่ดุดันนั้นกลับมีเสน่ห์เสียจนมณีรัตน์รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในอกจนหัวใจเต้นตุบ
รู้ตัวอีกครั้งหญิงสาวก็ไร้ทางหนีโดยถาวรมณีรัตน์หวาดกลัวจนน้ำตาไหล และเข้าใจถ่องแท้ การร้องไห้มิอาจมอบความปลอดภัยให้เธอเลยแม้แต่น้อย ทว่าน้ำตายังคงรินไหลอาบแก้ม ความสิ้นหวังปรากฏบนใบหน้าอันสะสวย หากแต่ความหวังที่แสนผิดแปลกกลับปรากฏอยู่บนแววตาที่ทอประกายอยู่บนใบหน้าที่ชวนพิศวงของเขาน่ากลัว...แปลกประหลาด แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนวูบหนึ่งในท่าทีขัดเขิน...ร่างกายของมณีรัตน์รู้สึกร้อนวูบวาบตามไปด้วย เหมือนสะเก็ดไฟในอกกำลังถูกจุดติดขึ้นมาขณะที่มือแกร่งค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดแช่มช้า แสงสลัวฉายให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นขนดกดำที่ยาวตามแนวแผงอกและไล่ลงไปตามกล้ามหน้าท้อง แผ่นหลังใหญ่ ไหล่กว้างเหมือนกับคนที่ออกกำลังกายดูแลตัวเองเป็นอย่างดีหวาดกลัว หวาดหวั่น พรั่นพรึง...แต่มิอาจละสายตาเหตุใดกัน มณีรัตน์กลับรู้สึกวูบไหว อ่อนระทวยกับมวลกล้ามเนื้อที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่มันมีแต่ความรู้สึกป่าเถื่อนแผ่กระจายออกมา แล้วชายผู้นั้นก็กระชากเสื้อของเธอออกอย่างไร้ซึ่งความอ่อนโยน กระดุมทุกเม็ดหลุดกระจาย เผยให้เห็นชั้นในเก็บอกของเธอ เขาปลดมันออกทันที ความเย็นปะทะผิวกายจนยอดถันหดเกร็
“ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมาให้ต้องเกลือกกลั้วกับขยะพวกนี้...” เจ้าสัวกดเสียงต่ำ “แล้วดูแกสิ เนื้อตัวกระดำกระด่างหมดราคา ผมเฝ้ายุ่งเหยิง สารรูปดูจะไม่เป็นคนแล้ว...นี่แกลงไปเกลือกกลัวกับพวกนี้จนลืมไปแล้วหรือไง ว่าแกทิ้งเรื่องอะไรเอาไว้ให้ฉัน”มณีรัตน์ตัวสั่น แต่รวบรวมความกล้าเอาไว้อย่างถึงที่สุด “หนูทิ้งอดีตมาไง อดีตที่พ่อสร้างหนูขึ้นมาเหมือนหุ่นยนต์ของพ่อ อดีตที่หนูไม่เคยได้มีความคิดหรืออิสระของตัวเองเลย”“เพราะฉันต้องการหาสิ่งดี ๆ ให้แกไงล่ะ” เจ้าสัวยังคงตั้งมั่นใจความคิดของตน “กลับขึ้นไปบนฝั่งกับฉันไม่อย่างนั้นฉันจะซื้อเกาะนี้แล้วเผาให้ราบ แกรู้ใช่ไหม ว่าเงินที่ฉันมี ซื้อชีวิตไอ้คนชั้นต่ำบนเกาะนี้มาฆ่าเล่นได้ไม่ยากเลย พวกมันมีค่าน้อยกว่าเศษเล็บของฉันเสียอีก”สิงหราพยายามเอาตัวบังร่างเล็กของมณีรัตน์ไว้ เมื่อคนที่เดินตามมาข้างหลังเจ้าสัวนั้นมีปืนครบมือ แต่ทว่ามณีรัตน์กลับไม่ยอมอีกแล้ว ครั้งนี้เธอจะต่อต้านวิถีชีวิตของเธอ ขนบธรรมเน
เขาขยับใบหน้าเข้าหาเธอ...มณีรัตน์เอียงใบหน้า หลับตารับ ก่อนริมฝีปากของทั้งคู่จะจุมพิตกันท่ามกลางความไม่สมเหตุสมผล รสจูบที่เร่าร้อนเริ่มต้นขึ้น มือที่สอดใส่เข้ามาในตัวของเธอขยับกระตุ้นไม่หยุดหย่อน และในช่วงเวลาเดียวกัน มณีรัตน์ก็ปล่อยให้เรียวลิ้นของเขาซอกซอนเข้ามากวาดต้อนเอาความหวานหยดจากตัวเธอเข้าไปอย่างเต็มที่ โรมรันกันอย่างไม่หยุดหย่อนกระทั่งสัมผัสได้เลยว่าตัวของเธอนั้นแทบจะหลอมละลายไปหมดแล้วในเวลานี้นิ้วมือของเขาถูกหยาดน้ำผึ้งอาบเยิ้มจนเกิดเสียงแจ๊ะ ๆ ตอนที่เขากระแทกฝ่ามือเข้ามาในโพรงสวาทนั้น กระทั่งเขาหยุดทุกการกระทำแล้วล่าถอยชายหนุ่มจ้องมองเธอไม่วางตาระหว่างที่เริ่มยกมือขึ้นมาลิ้มรสน้ำหวานที่เธอเป็นคนปลดปล่อยออกมาด้วยการตวัดลิ้นที่แสนพลิ้วไหวสลับดูดดุนดื่มกินระหว่างซอกนิ้วทีละนิ้วจนทันทีที่มณีรัตน์ได้เห็นลีลาเร่าร้อนในการใช้ลิ้นของเขา ลมหายใจร้อนผ่าวก็ถูกปล่อยออกมาทันทีเฮือก!!!ขาอ้ากว้างขึ้นกว่าเดิมราวร้องขอโจรสลัดห
“ไปเถอะ...ฉันจะพาเธอไปส่งที่ฝั่ง แต่ไม่ได้เงินกลับไปหรอกนะ นั่นคงเป็นค่าไถ่ตัวเธอเอง ฉันแบ่งให้ลูกเรือทุกคนหมดแล้ว เธอจะไม่ได้เงินกลับไปแม้แต่บาทเดียว โทรหาพ่อให้มารับหลังจากที่ฉันออกจากฝั่งแล้วเท่านั้นล่ะ”มือของหญิงสาวกำแน่นบนหน้าตัก “ฉันโกหก...ฉันกลับไปไม่ได้หรอก”“หืม?”“ช่วยเอาฉัน...ไปปล่อยที่ไหนก็ได้ กลางทะเลก็ได้ ทิ้งฉันไว้ที่นั่นแล้วก็กลับมาซะ”“เธออยากตายขนาดนั้นเลยเหรอ”มณีรัตน์เงยหน้ามอง “ฉันหนีงานแต่งมา พ่อของฉันคงไม่อยากให้ฉันกลับไปหรอก ฉันทำให้งานแต่งพัง ทำพ่อเสียวหน้า ธุรกิจของพ่อเองก็พังไปหมด ให้ฉันกลับไปเหรอ ให้ฉันโดนฉลามกินดีกว่า”“นี่คิดว่าความตายมันง่ายนักเหรอ”“ก็ยังดีกว่ากลับไป...”“ถ้างั้นเธออยากจะลองมีชีวิตที่ทรมานดูก่อ
เสียงเกลียวคลื่นยามเช้าซัดเข้าฝั่งเรียกสติของมณีรัตน์ให้ลืมตาขึ้นมาจากภวังค์หลับใหล มันเอื่อยเฉื่อยแต่กลับรู้สึกสบายใจ เธอมองดูตัวเองในตอนนี้ มีผ้าห่มผืนใหญ่คุลมกายอยู่ ตอนไหนกัน เมื่อคืนเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คงจะหหลับไปทั้งความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกที่ในร่างกายของเธอถูกสอดสวมความหวามหวิวมากมายอัดแน่นเข้ามา และความรู้สึกประหลาดยามได้เห็นสายตานั้นของเขา“นายหัวจะฆ่าเธอไหมครับ” เสียงหนึ่งที่ไม่คุ้นเคยเอ่ยถามขึ้น “เธอ” ที่ว่า หมายถึงมณีรัตน์หรือเปล่า ในสถานที่แห่งนี้มีคนที่จะถูกเอ่ยถึงด้วยสรรพนามว่าเธอกี่คนกันมณีรัตน์ลุกขึ้นนั่งอย่างเบาที่สุด เงี่ยหูฟังอย่างเงียบเชียบเพื่อแอบฟังคนพวกนั้นที่คุยกันอยู่ข้างนอก“ผมไม่ฆ่าเธอหรอก เธอเป็นลูกสาวผู้รากมากดี ฉันอาจจะเรียกค่าไถ่เธอเพื่อเอาเงินมาแบ่งปันทุกคนก็พอแล้ว หลังจากนั้นก็จะปล่อยเธอกลับไป”“เมื่อคืนเราก็ได้ของลักลอบขนส่งมาเยอะแล้วนะครับนายหัว ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ เราไม่ใช่พวกโจรแบบนั้นนี่ นายหั
สองขาเกร็งสั่น ปลายนิ้วจิกเกร็งงองุ้ม ชายหนุ่มจึงเริ่มจับขาของเธอนั้นขึ้นพาดบ่า แม้เวลานี้เขาจะมองเห็นว่าผู้ถูกกระทำปลดปล่อยทั้งกายและใจส่งเสียงครางออกมาจนน้ำตารื้นไหล หากแต่ในหัวของโจรสลัดหนุ่มก็ไม่เคยมีความต้องการจะทะนุถนอมเธอ หรือว่าทำทุกอย่างให้อ่อนโยนลงไปเลยแม้แต่น้อยเสียงกระแทกดังขึ้นเรื่อย ๆ ถี่รัว สั่นเกร็ง...ร่างกายกำยำเริ่มเปียกปอนไปด้วยเหงื่อกาฬเม็ดโตที่ผุดขึ้นมา ใบหน้าเข้มขรึมเริ่มกัดฟัน เสียงลมหายใจหนัก ๆ ถูกพ่นออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เขายังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าอันสะสวยของเธอพร้อมกับผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เต้าถันเต่งตึงขยับไหวขึ้นลงตามแรงกระแทก และมือของเธอที่ยิ่งเสียวซ่านเท่าไหร่ก็ยิ่งกำแน่น“ซี้ดดด...อา โคตรเสียวเลยว่ะ ฮ่า ๆ” เสียงเข้มคำราม จับขาของเธอแยกกว้างแล้วกดที่หัวเข่าลง ทำให้เวลานี้เนื้อตัวของเธอแผ่ออก เผยให้เห็นส่วนที่ถูกกระทำค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำจากการกระทบกระแทกไม่หยุดยั้ง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปสะกิดที่เม็ดเสียวส่วนยอดขณะที่สะโพกยังคงตอกย้ำอารมณ์ที่แสนบ้าคลั่งราวกลับคลื่นลมทะ
เขาขยับใบหน้าเข้าหาเธอ...มณีรัตน์เอียงใบหน้า หลับตารับ ก่อนริมฝีปากของทั้งคู่จะจุมพิตกันท่ามกลางความไม่สมเหตุสมผล รสจูบที่เร่าร้อนเริ่มต้นขึ้น มือที่สอดใส่เข้ามาในตัวของเธอขยับกระตุ้นไม่หยุดหย่อน และในช่วงเวลาเดียวกัน มณีรัตน์ก็ปล่อยให้เรียวลิ้นของเขาซอกซอนเข้ามากวาดต้อนเอาความหวานหยดจากตัวเธอเข้าไปอย่างเต็มที่ โรมรันกันอย่างไม่หยุดหย่อนกระทั่งสัมผัสได้เลยว่าตัวของเธอนั้นแทบจะหลอมละลายไปหมดแล้วในเวลานี้นิ้วมือของเขาถูกหยาดน้ำผึ้งอาบเยิ้มจนเกิดเสียงแจ๊ะ ๆ ตอนที่เขากระแทกฝ่ามือเข้ามาในโพรงสวาทนั้น กระทั่งเขาหยุดทุกการกระทำแล้วล่าถอยชายหนุ่มจ้องมองเธอไม่วางตาระหว่างที่เริ่มยกมือขึ้นมาลิ้มรสน้ำหวานที่เธอเป็นคนปลดปล่อยออกมาด้วยการตวัดลิ้นที่แสนพลิ้วไหวสลับดูดดุนดื่มกินระหว่างซอกนิ้วทีละนิ้วจนทันทีที่มณีรัตน์ได้เห็นลีลาเร่าร้อนในการใช้ลิ้นของเขา ลมหายใจร้อนผ่าวก็ถูกปล่อยออกมาทันทีเฮือก!!!ขาอ้ากว้างขึ้นกว่าเดิมราวร้องขอโจรสลัดห
“ฉันไม่ได้เลี้ยงแกมาให้ต้องเกลือกกลั้วกับขยะพวกนี้...” เจ้าสัวกดเสียงต่ำ “แล้วดูแกสิ เนื้อตัวกระดำกระด่างหมดราคา ผมเฝ้ายุ่งเหยิง สารรูปดูจะไม่เป็นคนแล้ว...นี่แกลงไปเกลือกกลัวกับพวกนี้จนลืมไปแล้วหรือไง ว่าแกทิ้งเรื่องอะไรเอาไว้ให้ฉัน”มณีรัตน์ตัวสั่น แต่รวบรวมความกล้าเอาไว้อย่างถึงที่สุด “หนูทิ้งอดีตมาไง อดีตที่พ่อสร้างหนูขึ้นมาเหมือนหุ่นยนต์ของพ่อ อดีตที่หนูไม่เคยได้มีความคิดหรืออิสระของตัวเองเลย”“เพราะฉันต้องการหาสิ่งดี ๆ ให้แกไงล่ะ” เจ้าสัวยังคงตั้งมั่นใจความคิดของตน “กลับขึ้นไปบนฝั่งกับฉันไม่อย่างนั้นฉันจะซื้อเกาะนี้แล้วเผาให้ราบ แกรู้ใช่ไหม ว่าเงินที่ฉันมี ซื้อชีวิตไอ้คนชั้นต่ำบนเกาะนี้มาฆ่าเล่นได้ไม่ยากเลย พวกมันมีค่าน้อยกว่าเศษเล็บของฉันเสียอีก”สิงหราพยายามเอาตัวบังร่างเล็กของมณีรัตน์ไว้ เมื่อคนที่เดินตามมาข้างหลังเจ้าสัวนั้นมีปืนครบมือ แต่ทว่ามณีรัตน์กลับไม่ยอมอีกแล้ว ครั้งนี้เธอจะต่อต้านวิถีชีวิตของเธอ ขนบธรรมเน
รู้ตัวอีกครั้งหญิงสาวก็ไร้ทางหนีโดยถาวรมณีรัตน์หวาดกลัวจนน้ำตาไหล และเข้าใจถ่องแท้ การร้องไห้มิอาจมอบความปลอดภัยให้เธอเลยแม้แต่น้อย ทว่าน้ำตายังคงรินไหลอาบแก้ม ความสิ้นหวังปรากฏบนใบหน้าอันสะสวย หากแต่ความหวังที่แสนผิดแปลกกลับปรากฏอยู่บนแววตาที่ทอประกายอยู่บนใบหน้าที่ชวนพิศวงของเขาน่ากลัว...แปลกประหลาด แต่กลับมีเสน่ห์เย้ายวนวูบหนึ่งในท่าทีขัดเขิน...ร่างกายของมณีรัตน์รู้สึกร้อนวูบวาบตามไปด้วย เหมือนสะเก็ดไฟในอกกำลังถูกจุดติดขึ้นมาขณะที่มือแกร่งค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ดแช่มช้า แสงสลัวฉายให้เห็นแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและเส้นขนดกดำที่ยาวตามแนวแผงอกและไล่ลงไปตามกล้ามหน้าท้อง แผ่นหลังใหญ่ ไหล่กว้างเหมือนกับคนที่ออกกำลังกายดูแลตัวเองเป็นอย่างดีหวาดกลัว หวาดหวั่น พรั่นพรึง...แต่มิอาจละสายตาเหตุใดกัน มณีรัตน์กลับรู้สึกวูบไหว อ่อนระทวยกับมวลกล้ามเนื้อที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่มันมีแต่ความรู้สึกป่าเถื่อนแผ่กระจายออกมา แล้วชายผู้นั้นก็กระชากเสื้อของเธอออกอย่างไร้ซึ่งความอ่อนโยน กระดุมทุกเม็ดหลุดกระจาย เผยให้เห็นชั้นในเก็บอกของเธอ เขาปลดมันออกทันที ความเย็นปะทะผิวกายจนยอดถันหดเกร็
“นี่คนนะ ทำกันเบา ๆ บ้างก็ได้” มณีรัตน์แหวใส่โจรสลัดหนุ่มทันทีที่เธอถูกโยนลงบนเรือเล็ก และเธอเพิ่งสังเกตว่ามีอีกหลายลำที่ประกบติดกับเรือขนส่งสินค้านี้อยู่ มันเป็นรูปแบบการปล้นที่รวดเร็วฉับไว อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วย ทั้งจีพีเอส และโซน่า แสดงว่าโจรสลัดกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรกระจอก“ปกติล้มลงแต่บนกองเงินกองทองงั้นสินะ ถึงได้ไม่เคยเจ็บตัวอะไรกับเขาเลย”โจรสลัดหนุ่มไม่ยี่หระ เขาติดเครื่องเรือแล้วขับออกไปทันทีโดยไม่สนใจว่าร่างกายของมณีรัตน์นั้นจะถูกแรงเหวี่ยงสะบัดไปซ้ายทีขวาทีจนมึนหัวไปหมดเรือเล็กแล่นแหวกเกลียวคลื่นเข้าไปในทะเลลึก นั่นเป็นช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่รู้ทิศรู้ทางอีกแล้ว เธอไม่มีวันรู้ด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน...หรือจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่เส้นขอบฟ้าในวันต่อไปหรือไม่ มันเป็นความสิ้นหวังที่สุดในชีวิต“ไม่ต้องพาฉันไปไหนทั้งนั้น พาฉันขึ้นฝั่ง แล้วจะโทรบอกพ่อให้เอาเงินมาให้”“เฮอะ...” โจรหนุ่มแค่นหัวเราะ ก่อนจะปลดส่วนที่ปิดหน้าของหมวกหนาใบนั้นออกแล้วกระชากมันโยนลงไปกับพื้น แววตาของเขาแข็งกร้าว หากแต่ใบหน้าที่ดุดันนั้นกลับมีเสน่ห์เสียจนมณีรัตน์รู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาในอกจนหัวใจเต้นตุบ
“ไม่ ๆ อย่าทำอะไรฉัน ปล่อยฉันไปเถอะนะ” เธอยื่นกระเป๋าของเธอให้ “อะ นี่เงิน...เอาไป ในนี้มีเงินอยู่หลายแสน ฉันหนีจากบ้านมา จะ...จะเอาอะไรบอกฉันนะ ฉันจะหามาให้ แต่ ยะ อย่าฆ่าฉัน พ่อฉันจะให้เงินนาย...เท่าที่ต้องการ”อีกฝ่ายเอียงหน้า มือหนึ่งกดบีบลำคอของเธอแล้วตรึงเอาไว้ ทั้งเจ็บ ทั้งหายใจไม่ออก แต่เวลานี้เข่าของหญิงสาวอ่อนเกินกว่าจะหนี ดูจากที่เขาเงื้อมีดใส่เธอแบบไม่ลังเลแล้ว ถ้าวิ่งก็กลายเป็นผีเฝ้าทะเลอยู่นี่ที่แหละ“เท่าที่ต้องการงั้นเหรอ” เขาหรี่ตาถาม เสียงกดต่ำจนน่ากลัว“ใช่ จะเอาเท่าไหร่ก็บอกได้เลย ฉะ ฉันจะบอกพ่อให้”โจรตรงหน้ากระชากกระเป๋าของเธอจนขาดด้วยมือเดียว เงินสองปึกที่มัดเรียบร้อยร่วงหล่น มันหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ แสยะยิ้มร้ายกาจ แล้วหยิบขึ้นมา“อืม...รวยจริงนี่”“งั้นแค่นี้พอนะ ปล่อยฉันไปได้แล้ว...”“หืม บอกเองนี่ว่าพ่อจะให้อีกเท่าที่ต้องการ”มณีรัตน์เพิ่งรู้ตัวว่าเธอพลาดเสียแล้ว “ไม่ ไม่...แค่นั้นก็พอแล้วนี่ พวกแกก็เป็นแค่โจรจะเอาอะไรนักหนา”เสียงหัวเราะดังขึ้น “ก็เพราะเป็นโจรไง ถึงต้องการมากกว่านี้”มือที่บีบคอของหญิงสาวเอาไว้ปล่อยออก ร่างเล็กร่วงทรุดลงกับพื้นไอโขลกเหมือนจะขา
พักใหญ่ หญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเพลียจนเผลองีบหลับโดยไม่รู้ตัว เธอมีอาการพะอืดพะอมเหมือนจะเมาเรือที่ยังโคลงเคลงไปตามกระแสน้ำเชี่ยวกราก เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นสนั่น หน้าเรือฝ่าตัดเกลียวคลื่นออกไปยังจุดหมาย ครั้นเมื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมัวหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา จะอย่างไรก็ตาม...เธอยังคงคิดถึงครอบครัวน้ำตาของสาวน้อยไหลอาบแก้มช้า ๆ หากพ่อกับแม่เข้าใจเธอขึ้นมาสักนิด หากทั้งสองมอบช่วงเวลาให้เธอบ้างมันคงไม่ลงเอยอย่างนี้ ต่อให้ต้องร้องไห้จนน้ำตากลายเป็นสายเลือดก็ทำได้เพียงคิดถึง...ห้ามกลับไปเด็ดขาดเปรี้ยง!!! ครืน ๆ !เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นกระตุ้นความกลัวของมณีรัตน์จนเธอเผลอกรีดร้องลั่น ก่อนจะต้องยกมือปิดปาก...เธอส่งเสียงดังออกไปไม่ได้ จากนี้อาจจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง ไม่ก็รุ่งเช้า เธอต้องทนอุดอู้อยู่ในนี้ไปก่อน หากแต่วินาทีนั้นเสียงฝีเท้านับสิบและเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังขึ้น“ขึ้นลวด...ขึ้นลวดหนาม เราโดนโจมตี” เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นทั่วฟากฟ้า แสงสีแดงหมุนคว้างสะท้อนไปทั่วบริเวณ มณีรัตน์ลนลานมองซ้ายขวา เก็บคองอเข่าให้เล็กลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้“เฮ้ย เตรียมตัวรับมือ เตรียมอาวุธ โจรสลั