ฟางหยุนเฟยยืนตกใจอยู่ตรงหน้าห้อง นางดีขึ้นมากแล้วเมื่อตื่นขึ้นมาดื่มน้ำก็ได้ยินเสียงขององครักษ์ทั้งสองคุยกัน พวกเขาไม่ทันระวังเพราะคิดว่านางหลับอยู่ แต่นางเปิดออกมาเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันแต่จับใจความไม่ได้จึงตัดสินใจเปิดประตูออกมาถาม“คุณหนูฟาง ตอนนี้ท่านอ๋องไม่ปกติพระองค์เองก็ออกไปที่ใดไม่ได้เช่นกันแต่ข้าน้อยจำเป็นต้องตามองครักษ์ไปที่ชันสูตรศพและไปตรวจสอบอีกไม่นานจะรีบกลับขอรับ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าห้ามคุณหนูไปที่ห้องบรรทมโดยเด็ดขาด”“ข้าเข้าใจแล้วท่านรีบไปเถอะ ข้าดูแลท่านอ๋องเอง”“ขอรับ เรารีบไปกันเถอะ”หยุนเฟยรีบกลับเข้าไปในห้องทันที นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก แม้ว่านางจะช่วยท่านอ๋องและช่วยตัวเองให้พ้นข้อกล่าวหาที่ในนิยายเขียนเอาไว้ แต่สุดท้ายเรื่องก็ยังวนมาเหมือนเดิม คือนางเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคน“ไม่ใช่คดีวางยาท่านอ๋อง แต่เป็นคดีฆ่าจางเหมยลั่วงั้นหรือ”“อ๊ากก….!!”เสียงดังขึ้นจากห้องด้านในตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไป หยุนเฟยตกใจจนต้องรีบวิ่งออกไป เสียงของท่านอ๋องดังจนนางกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปจนลืมนึกไปว่าเขา….ถูกพิษอยู่“ท่านอ๋องเพคะ”“อย่า!!……หยุนเฟย……เจ้าอย่าเข้ามา!!”“แต่ว่าหม่อมฉันได้ยิน
หยุนเฟยไม่มีแรงจะตอบเขา เมื่อเขาค่อย ๆ ขยับกายส่วนล่าง นางค่อย ๆ ปรับตัวได้แต่ก็ยังเจ็บอยู่ ท่านอ๋องก้มลงมาจูบนางเพื่อปลอบโยน เมื่อเขาทำเช่นนี้นางจึงเริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวเพื่อรองรับเขาได้มากขึ้นมือหนาเริ่มหันไปบดขยี้ยอดปทุมทั้งสองข้างอีกครั้ง คราวนี้เป็นหยุนเฟยที่เริ่มรู้สึกร้อนตรงจุดที่ร่างทั้งสองประสานกัน นางปรารถนาให้เขาขยับเสียที“อ๊าา เว่ยหราน…อ๊าา”“เจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อาาา หยุนเฟยจากนี้ข้าจะหยุดไมไ่ด้แล้ว อาา”“เว่ยหราน อ๊าาา เว่ยหราน อื้อ…..อ๊าาา”เสียงเรียกร้องนี้แหละที่เขาต้องการฟังมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาทำเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้ แต่เขากับนางใจตรงกันและกำลังจะหมั้นหมายกันอยู่แล้วเรื่องเช่นนี้ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น เพียงแค่มันเกิดขึ้นก่อนเท่านั้น“อาา หยุนเฟยข้าทนไม่ไหว ทีเดียวเลยนะ”ลิ้นของเขาลากอยู่ที่ยอดอกของนาง หยุนเฟยโอบรอบคอเขาเอาไว้เพื่อให้ทำเช่นนี้กระตุ้นอารมณ์นางเช่นกัน เขาดูดดึงหน้าอกอย่างดุดันพร้อมกับจังหวะที่ดังขึ้นและถี่ขึ้นจนร่างทั้งสองเอนแอ่นไปพร้อมกันพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยจนหมดสิ้น….“หยุนเฟย ข้า….”“เว่ยหราน หากไม่พอก็ทำ
“เปรียบตัวเจ้าดุจจันทรา ตัวข้าขอเป็นเมฆาที่โอบกอดเจ้าไว้”เสียงอึกทึกครึกโครมรอบจวนราชครู “ฟางหลี่ถง” ดังขึ้นจนทำให้ผู้ที่นอนอยู่บนเตียงตื่นจากนิทราที่แสนยาวนาน ร่างกายหนักราวกับถูกรถบรรทุกทับมาทั้งคันเมื่อเริ่มกะพริบตาไล่แสงที่ส่องเข้ามาพร้อมกับสภาพห้องที่ไม่คุ้นเคย“เสียงดังจังเลย นี่มันอะไรกัน”“คุณหนูฟื้นแล้ว เร็ว ๆ เข้าส่งคนไปแจ้งท่านราชครูเร็ว ๆ เข้าเถิด”“เจ้าค่ะแม่นมถง”อะไรกัน เมื่อครู่นี้พวกเขาบอกว่ายังไงนะ “ราชครู” แล้วก็ยังมี “แม่นม” อีกงั้นหรือ ที่นี่ไม่ใช่หน้าโรงเรียนอนุบาลหรือ ฉันกำลังจะได้บรรจุเป็นข้าราชการครูวันแรก แต่ก็ต้องกระโดดน้ำลงไปช่วยเด็กน้อยที่กำลังจมน้ำอยู่ แล้ว….หลังจากนั้นเล่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่“เอายามาหน่อยแล้วเตรียมชุดใหม่เอาไว้ให้คุณหนูด้วย เงียบ ๆ ละ”“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”เสียงกระซิบกระซาบที่ราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ที่นอนอยู่ไม่พอใจยิ่งทำให้ผู้ที่นอนอยู่เริ่มสับสนยิ่งนักเมื่อค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องเมื่อค่อย ๆ แหงนมองที่เพดานที่เป็นไม้หรูหราและเตียงสี่เสาที่มีผ้าม่านสีสดล้อมรอบ “นี่มันอะไรกัน ที่นี่คือที่ไหน”“คุณหนู ตื่นแล้วงั้นหรือ
แม่นมถงหันมายิ้มให้นางอย่างเสียมิได้ ที่จริงนางไม่อยากจะพูดเลยว่าฟางหยุนเฟยนอกจากจะเป็นบุตรีของท่านราชครูที่มั่งมีอำนาจและเงินทองแล้ว นอกนั้นนางแทบจะ “ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง” เป็นเพียงบุตรีที่เอาแต่ใจและไม่น่าคบหาของผู้ที่พบเห็นเท่านั้น แม้ว่านางจะสวยแต่ก็มักจะชอบทำตัวโดดเด่นจนน่าหมั่นไส้ “ถึงว่าเล่านางเลยตายไปเงียบ ๆ ไร้คนสนใจ เพราะแบบนี้นี่เอง”“อะไรนะเจ้าคะ ผู้ใดตายเจ้าคะคุณหนู”“ไม่มี ๆ เจ้าค่ะแม่นม ท่านใจเย็น ๆ นะเจ้าคะ ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นข้ามีสาวใช้ส่วนตัวบ้างหรือไม่เจ้าคะ”“คือว่าเรื่องนี้…..”“แม่นม ท่านอย่าบอกนะว่าข้าเป็นคนเอาแต่ใจจนแม้แต่สาวใช้ก็หนีเตลิดไปหมด”“เป็น….เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”“เฮ้อ ดูท่าจะใช้ชีวิตยากเสียจริง ทำไมไม่มาให้ดี ๆ หน่อยละเนี่ย….”“เจ้าคะคุณหนู เหตุใดคุณหนูดู…แปลก ๆ ไปเจ้าคะ”“แม่นมเจ้าคะ”สาวใช้คนหนึ่งเดินมาที่หน้าห้องของนาง เมื่อฟางหยุนเฟยหันไปมอง นางน่าจะอายุน้อยกว่าหยุนเฟยไปไม่กี่ขวบปีซึ่งดูแล้วถูกชะตายิ่งนัก แม่นมถงเดินออกไป สาวใช้กระซิบบางอย่างทำให้แม่นมถงเริ่มลำบากใจแต่ก็ต้องเดินมาแจ้ง“คุณหนูเจ้าคะ คือว่า….ฮูหยิน…อยากมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ
น้องสาวตัวเล็กและหลานฮูหยินหันไปยิ้มให้ น้ำตาของน้องสาวหลั่งไหลออกมาด้วยความปลื้มใจ นางนึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับพี่สาวที่ไม่เคยยอมรับนางมาก่อน“ร้องไห้ทำไม เจ้าจะโตเป็นสาวแล้ว ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวไม่สวยนะ”หยุนเฟยหันไปเช็ดน้ำตาให้นาง ฮูหยินถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นึกไม่ถึงว่านางตกน้ำไปครั้งนี้ฟื้นขึ้นมาราวกับเป็นอีกคนที่พวกนางไม่เคยรู้จักมาก่อน“ดูท่านสิ ท่านก็ร้องไห้อีกคน แกงไก่นั่นคงเค็มแล้วกระมัง ฮ่า ๆ”เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นครั้งแรกในห้องของฟางหยุนเฟยทำเอาคนด้านนอกทั้งแม่นมถงและสาวใช้คนอื่น ๆ แปลกใจจนต้องมามุงดูอยู่หน้าห้อง นอกจากพวกนางจะนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกันแล้วยังคุยกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย“แม่นม นี่ข้าหูฝาดไปหรือไม่”“นั่นสิเจ้าคะ ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ที่เห็นพวกนางสามคนนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน”แม่นมถงไม่ได้ตอบสิ่งใด นางกำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าห้องพร้อมกับความปลาบปลื้มใจแทนฮูหยินคนเก่าที่เสียไปแล้ว หากว่าวันนี้นางเห็นคงยินดีที่บุตรสาวสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้เสียที อย่างน้อยกับคนในจวนเดียวกันก็ยังดี“พวกเราไปเถอะ อย่าไปรบกวนพวกนางเลย” บ่ายวันนั้
คนตรงหน้าทำเพียงสะบัดชายผ้าด้านล่างและนั่งลงที่เก้าอี้อย่างวางท่า ท่านราชครูนั้นรักษาท่าทีได้ดีกว่าและเดินมานั่งประจำที่ หยุนเฟยไม่รู้ว่าควรจะนั่งที่ใด นางมองซ้ายมองขวาและมองไปพบสายตาที่จดจ้องนางอย่างสงสัยนั่น นางจึงเลือกที่นั่งตรงข้ามกับท่านอ๋องและพยายามไม่มองสบตาเขา“ท่านอาจารย์ ขออภัยที่มาเยือนกะทันหัน ข้าเพียงได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่ฟื้นแล้ว ฝ่าบาทจึงมีบัญชาให้ข้ามาเป็นตัวแทนพระองค์เพื่อมาเยี่ยม ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”เขาหันมามองนาง สายตาที่ขัดต่อคำพูดทุกประโยคนั้นทำเอาผู้ฟังถึงกับอยากจะลุกขึ้นและไปฟาดหน้าเขาสักที (ทำเป็นหยิ่งผยอง ใครอยากให้มากันล่ะอีตาพระเอกขี้เก๊ก ทำไมพระเอกในนิยายเป็นลักษณะแบบนี้ทุกคนกันนะ แต่ก็นะ เขาเป็นพระเอกนี่เนอะ ผิดบุคลิกไปจากนี้ก็ไม่ใช่พระเอกแล้ว แต่เสียใจเพราะฉันลงเรือพระรองตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาแค่ยังไม่โผล่มาเท่านั้นละย่ะ)“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!!”“คะ เอ่อ…เจ้าคะ ไม่ใช่ เพคะ พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”ท่านอ๋องหลับตาพร้อมกับข่มความโมโหเอาไว้เพื่อพยายามพูดกับนาง เขาไม่นึกอยากจะมาเท่าใดนักหากว่ามิใช่พระบัญชาของฝ่าบาทให้มาเยี่ยม “ว่าที่คู่
ท่านอ๋องเดินออกจากจวนสกุลฟางด้วยความงุนงงในพระทัยที่เกิดขึ้นอย่างถาโถมไม่สิ้นสุด ทั้งท่าทีที่เปลี่ยนไป สายตาที่นางมองเขาตอนพูดบอกเลิกการหมั้นหมายที่ยังมิทันได้เกิดขึ้นไหนจะข้อตกลงที่นางพูดอย่างชัดเจนว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีก แม้ว่าทั้งหมดนั่นจะเป็นทุกสิ่งที่ก่อนหน้านี้เขาต้องการมาโดยตลอดก็ตาม“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าอย่างไร”“ถึงจวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ…จื่อลู่”“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”“เจ้าว่า…คุณหนูใหญ่ฟางวันนี้ มีบางอย่างแปลกไปหรือไม่”“กระหม่อมคิดว่า…นอกจากที่ไม่ได้แต่งตัวราวกับนกยูงรำแพนหลากสีและแต่งหน้าจัดกับสวมเครื่องประดับมากเกินความจำเป็น นอกนั้น….”“ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…ท่าทาง น้ำเสียงการพูดจาและมารยาท…”“เรื่องนี้…เอ่อ…”“ช่างเถอะ ว่าแต่เจ้า…ยังตามสืบเรื่องผู้ที่ผลักนางตกสระน้ำอยู่หรือไม่”“ท่านอ๋องยังมิได้สั่งการมาเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้นเจ้าก็เร่งตามสืบให้ข้าที ข้าอยากจะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่ หากว่าฟังจากที่นางพูด”“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่พระองค์บอกว่านางเป็นผู้ขอยกเลิกการหมั้นไปแล้ว เหตุใดพระองค์ยังต้องสืบ…”“หากว่านางถูกทำร้ายเพราะข้าเป็นต้นเหตุ…เรื่องนี้
“หลีเม่ย!! อย่าเสียมารยาทสิ”“ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”“ท่านน้า อย่าดุนางขนาดนั้นสิเจ้าคะนางก็แค่ถามเอง เหตุใดดุนางจนนางกลัว เช่นนี้นางถึงได้เอาแต่เดินห่อไหล่ไม่กล้าสบตาคน จะพูดจะคิดอะไรก็ไม่กล้า ท่านทำเช่นนี้หาได้ไม่เจ้าค่ะ เด็กในวัยนี้คือวัยเรียนรู้และต้องฝึกทักษะในการดำรงชีวิตพวกเขาถึงจะสามารถเอาตัวรอดได้….”“เอ่อ…หยุนเฟย นี่เจ้า….”“ท่านพ่อ ข้าพูดมากไปแล้วกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ กินข้าว ๆ อ่ะอาเม่ย เจ้ากินนี่เข้าไป กินเยอะ ๆ ข้าวด้วย กินข้าวด้วย”“เจ้าค่ะ ๆ”หยุนเฟยคิดว่าคงต้องปรับตัวอีกมากพอสมควร เมื่อเห็นเด็กอยู่ตรงหน้าก็จะอดพูดเรื่องเช่นนี้ไม่ได้สักที ก็ก่อนที่นางจะมาที่นี่ นางอายุยี่สิบห้าปีเต็มแล้วนี่คิดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิต ทั้งถูกหวยรางวัลใหญ่แม้จะไม่ใช่รางวัลที่ใหญ่มากแต่ก็ทำให้นางมีเงินเก็บหลักแสน สอบราชการติดและบรรจุงานที่โรงเรียนได้สำเร็จ แต่ก็ต้องจบชีวิตลงและมาโผล่ที่นี่“เหตุใดเจ้าเขี่ยหอมหัวใหญ่ทิ้งละ นี่มันแหล่งวิตามินเลยนะ ตับเจ้าก็ไม่กินเหรออาเม่ย”“ก็มัน…ขมนี่เจ้าคะ”“อืม…งั้นนี่ละ คะน้ากินได้หรือไม่”“คะน้ากินได้เจ้าค่ะ”“แล้ว….เต้าหู้กับผักกาดนี่ละ”“กินได้เจ้
หยุนเฟยไม่มีแรงจะตอบเขา เมื่อเขาค่อย ๆ ขยับกายส่วนล่าง นางค่อย ๆ ปรับตัวได้แต่ก็ยังเจ็บอยู่ ท่านอ๋องก้มลงมาจูบนางเพื่อปลอบโยน เมื่อเขาทำเช่นนี้นางจึงเริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวเพื่อรองรับเขาได้มากขึ้นมือหนาเริ่มหันไปบดขยี้ยอดปทุมทั้งสองข้างอีกครั้ง คราวนี้เป็นหยุนเฟยที่เริ่มรู้สึกร้อนตรงจุดที่ร่างทั้งสองประสานกัน นางปรารถนาให้เขาขยับเสียที“อ๊าา เว่ยหราน…อ๊าา”“เจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อาาา หยุนเฟยจากนี้ข้าจะหยุดไมไ่ด้แล้ว อาา”“เว่ยหราน อ๊าาา เว่ยหราน อื้อ…..อ๊าาา”เสียงเรียกร้องนี้แหละที่เขาต้องการฟังมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาทำเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้ แต่เขากับนางใจตรงกันและกำลังจะหมั้นหมายกันอยู่แล้วเรื่องเช่นนี้ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น เพียงแค่มันเกิดขึ้นก่อนเท่านั้น“อาา หยุนเฟยข้าทนไม่ไหว ทีเดียวเลยนะ”ลิ้นของเขาลากอยู่ที่ยอดอกของนาง หยุนเฟยโอบรอบคอเขาเอาไว้เพื่อให้ทำเช่นนี้กระตุ้นอารมณ์นางเช่นกัน เขาดูดดึงหน้าอกอย่างดุดันพร้อมกับจังหวะที่ดังขึ้นและถี่ขึ้นจนร่างทั้งสองเอนแอ่นไปพร้อมกันพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยจนหมดสิ้น….“หยุนเฟย ข้า….”“เว่ยหราน หากไม่พอก็ทำ
ฟางหยุนเฟยยืนตกใจอยู่ตรงหน้าห้อง นางดีขึ้นมากแล้วเมื่อตื่นขึ้นมาดื่มน้ำก็ได้ยินเสียงขององครักษ์ทั้งสองคุยกัน พวกเขาไม่ทันระวังเพราะคิดว่านางหลับอยู่ แต่นางเปิดออกมาเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันแต่จับใจความไม่ได้จึงตัดสินใจเปิดประตูออกมาถาม“คุณหนูฟาง ตอนนี้ท่านอ๋องไม่ปกติพระองค์เองก็ออกไปที่ใดไม่ได้เช่นกันแต่ข้าน้อยจำเป็นต้องตามองครักษ์ไปที่ชันสูตรศพและไปตรวจสอบอีกไม่นานจะรีบกลับขอรับ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าห้ามคุณหนูไปที่ห้องบรรทมโดยเด็ดขาด”“ข้าเข้าใจแล้วท่านรีบไปเถอะ ข้าดูแลท่านอ๋องเอง”“ขอรับ เรารีบไปกันเถอะ”หยุนเฟยรีบกลับเข้าไปในห้องทันที นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก แม้ว่านางจะช่วยท่านอ๋องและช่วยตัวเองให้พ้นข้อกล่าวหาที่ในนิยายเขียนเอาไว้ แต่สุดท้ายเรื่องก็ยังวนมาเหมือนเดิม คือนางเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคน“ไม่ใช่คดีวางยาท่านอ๋อง แต่เป็นคดีฆ่าจางเหมยลั่วงั้นหรือ”“อ๊ากก….!!”เสียงดังขึ้นจากห้องด้านในตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไป หยุนเฟยตกใจจนต้องรีบวิ่งออกไป เสียงของท่านอ๋องดังจนนางกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปจนลืมนึกไปว่าเขา….ถูกพิษอยู่“ท่านอ๋องเพคะ”“อย่า!!……หยุนเฟย……เจ้าอย่าเข้ามา!!”“แต่ว่าหม่อมฉันได้ยิน
“บุตรีของท่านเจ้าเมืองงั้นหรือขอรับ มิน่าเล่าถึงไม่คุ้นหน้าเลย ทหารจึงไปแจ้งไม่ถูกว่าเป็นผู้ใด นางคงจะพึ่งเข้าวังเป็นครั้งแรกสินะขอรับ”“ใช่ คิดว่าเป็นเช่นนั้น เจ้า….ให้คนไปแจ้งท่านเจ้าเมืองในงานให้เขารีบมาที่นี่เถอะ”“ขอรับท่านแม่ทัพ”ข่าวที่บุตรสาวเจ้าเมืองคนใหม่ถูกฆ่าในวังหลวงเริ่มกระจายไปจนทั่ว เมื่อความถึงฝ่าบาทพระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากจนส่งราชโองการลงมาหยุดงานเลี้ยงทั้งหมด ปรับเบี้ยหวัดตำหนักองค์ชายหกลงครึ่งหนึ่งและให้เขางดสุราและงานเลี้ยงทั้งหมดครึ่งปีห้ามดื่มสุราและห้ามนำคณิกาหรือนักดนตรีมาที่ตำหนัก สั่งปิดตำหนักองค์ชายและห้ามคนในตำหนักออกมาข้างนอก“นี่มันอะไรกัน เสด็จพ่อทำราวกับว่าท่านเป็นผู้ก่อเหตุ”“หุบปาก ข้าไม่มีอารมณ์ข้าหงุดหงิดอยู่”“องค์ชายเพคะ หกเดือนห้ามออกจากตำหนักลดเบี้ยหวัดลงกึ่งหนึ่ง เช่นนี้แล้วข้า….จะมีเงินใช้เพียงพอหรือไม่”“เสด็จพ่อไม่เอาความและสั่งลงโทษเจ้าก็ดีเท่าใดแล้ว!! เจ้าบอกข้ามา เรื่องนี้เจ้ารู้เห็นสิ่งใดหรือไม่”“ไม่นะเพคะ”“พี่เขยเพคะหม่อมฉันขอบังอาจทูล”“เจ้า…..มีอะไร เหตุใดยังไม่กลับไปอีก”“หม่อมฉันมีข้อสงสัย เรื่องในงานเลี้ยงวันนี้เพคะหากว่าม
ท่านอ๋องงุนงงกับคำพูดที่หยุนเฟยพูดออกมาในยามนี้ แม้ว่าเขาจะจับใจความได้เป็นบางคำแต่ก็นึกสงสัยว่านางเป็นเช่นนี้เพราะเมาหรือว่านางพูดเพราะต้องการบอกอะไรกันแน่ เหตุใดนางต้องตายด้วยเล่า เขานึกแปลกใจเสียจริง ๆ“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เหตุใดเป็นเช่นนี้นะ ดื่มแค่จอกเดียวเองจื่อลู่ เร็วเข้าข้าจะอุ้มนางขึ้นไป ปล่อยให้เดินเช่นนี้คงไปได้ไม่ถึงไหนแน่”“พ่ะย่ะค่ะ”เป็นดังที่ท่านอ๋องกล่าวเอาไว้ หยุนเฟยเดินไม่ตรงและยังเดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยอีกสามก้าวจนเขาเริ่มเหนื่อย เมื่อพ้นจากตำหนักจึงตัดสินใจอุ้มนางขึ้นรถม้าเพื่อพากลับไปยังจวนท่านราชครู เมื่อขึ้นบนรถม้าได้ นางก็เริ่มก่ายกอดท่านอ๋อง ขาเริ่มปาดป่ายไปทั่วเพราะความเมา“ร้อน ร้อนจังเลย ถอด….ถอดเสื้อออก”“หยุนเฟย เจ้าอยู่นิ่ง ๆ สิ”“ไม่เอา ถอดออกสิ ท่านไม่ถอดข้าถอดเอง!!”ฟางหยุนเฟยเริ่มถอดชุดของตนเองออกและเริ่มใช้มือลามเลื้อยไปที่ไหล่ของท่านอ๋องจนเขาเริ่มแปลกใจ“หยุนเฟย อย่านะ หากเจ้าทำเช่นนี้ข้าจะ….”ท่านอ๋องเองก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเมื่อถูกนางสัมผัสร่างกายเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าเขาเองก็เริ่มร้อนเหมือนนางและเริ่มมองไปทั่ว ทั้งร่องอกลึกที่นางเริ่มถอด
“พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านจะพูดสิ่งใดก็ต้องไว้พระพักตร์องค์ชายหกบ้าง”“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าไม่คิดงั้นหรือ มานี่เถอะ แต่เจ้าดูเขาสิ วัน ๆ ไม่เอาอะไรเลย การบ้านการเมืองไม่สนเอาแต่ดื่มสุรากับคลุกคลีอยู่กับเหล่าสตรี นี่หากว่าข้าไม่อดทนเพราะตำแหน่งพระชายาข้าคงไปนานแล้ว”“แต่ท่านเป็นถึงพระชายาองค์ชาย สตรีเหล่านั้นจะมาข้ามหน้าท่านได้เช่นไร”“พวกนางไม่กล้า แต่ใช่ว่าองค์ชายจะสนข้านี่ ข้ายังไม่มีทายาท และถึงแม้จะมีก็ไม่ทันแล้วเพราะองค์รัชทายาทและองค์ชายรอง พระชายาของพวกเขาล้วนให้กำเนิดพระโอรส และยิ่งท่านตาทำเรื่องเช่นนี้ ข้าเองก็….”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้แน่”พระชายาหกหันมามองใบหน้าและสายตาที่กร้าวแข็งของน้องสาว สายตาเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางรู้สึกเย็นวาบจนขนลุก แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะว่านางหันมายิ้มให้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ“พี่หญิง ข้ามีเรื่องไหว้วานให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ”“เรื่องใดงั้นหรือ”“ตามข้ามาทางนี้เถิดเจ้าค่ะ”พระชายาพานางเข้าไปด้านในตำหนักเป็นการชั่วคราว แม่ทัพฉินที่รอนางอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นว่านางหายเข้าไปกับพระชายาจึงได้หาที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ท่านอ๋อ
“หยุนเฟย เจ้า…พูดอะไรนะ”“หม่อมฉันบอกว่านางถูกโบยสิบไม้ยังน้อยไปเพคะ กล้าดีเช่นไรมาพูดเช่นนั้น”“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธนางเพียงเรื่องแค่นี้ ทีเรื่องที่นางดูถูกเจ้าก่อนหน้านี้กลับไม่สนใจ”“หม่อมฉันไม่ชอบให้ผู้ใดมาพูดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มิได้เป็นความจริง หม่อมฉันเสียหาย อีกทั้งแม่ทัพฉินก็เสียหาย ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็เสียหายเพราะจะถูกมองว่าหม่อมฉันเป็นพวกหลอกลวง”“ข้าแยกแยะเป็นนะ เรื่องของเจ้ากับเกาหานข้าเคยคุยกับเขาหลายรอบแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้มีเวลาสนใจเจ้าหรอกนะ”“พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ก็เห็นเขาเล่าว่าเขาไปเยี่ยมแม่นางฟ่งผู้นั้นบ่อย ๆ”“แม่นางฟ่งงั้นหรือเพคะ”“ใช่ แม่นางฟ่งผู้นั้นแหละ”“พวกเขา…..”“ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดของเกาหานหรอกนะ แต่เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ จวนของนางบ่อย ๆ ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้นาง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ข้าไหว้วานบางอย่างก็เถอะ”หากเป็นดังที่ท่านอ๋องตรัสจริง ๆ อย่างน้อยเรื่องราวในนิยายก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ต่างจากต้นฉบับ นั่นคือพระรองที่มีใจรักนางเอกและคอยดูแลนางอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนี้ฉินเกาหานก็กำลังเป็นเช่นนั้น“ไม่ถูกสิ หากว่าพระรอง
ฟางหยุนเฟยหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกแปลกใจ นางไม่เห็นหน้าเขามาสองวันแล้วแต่เหตุใดวันนี้เขาจึงมาที่นี่ได้กันนะ“ท่านอ๋อง แต่ว่าเด็ก ๆ เลิกเรียนไปหมดแล้วนะเพคะ”“ข้าถามเจ้าว่าข้าจะเลือกได้หรือไม่”“พระองค์จะเลือกป้ายไหนเพคะ”ท่านอ๋องหันไปมองและพิจารณาดู หยุนเฟยมองเขาด้วยนึกแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อยที่เห็นเขาในวันนี้ เขาชี้ไปยังป้ายรูปหัวใจสีแดงที่ถูกระบายสีเอาไว้ หยุนเฟยหันไปมองคนตรงหน้าที่อ้าแขนทั้งสองข้างให้นางเหมือนกับที่เด็ก ๆ ทำ“ท่านอ๋องเพคะ อย่าทำรุ่มร่ามแถวนี้สิเพคะ”“แต่ข้าเลือกแล้วเจ้าเป็นอาจารย์เจ้าจะทำผิดคำพูดงั้นหรือ”“เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้เล่าเพคะ”“ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”“เพคะ”หยุนเฟยเก็บของและยกออกมาเพื่อจะเดินเอาไปเก็บในห้อง ท่านอ๋องดึงของจากมือนางเอามาถือเอาไว้“เจ้าเดินไปเถอะของพวกนี้ข้าถือไปให้เอง”“ขอบพระทัยเพคะ”เขาเดินยิ้มตามนางไปจนถึงในห้องพัก เมื่อวางของลงได้เขาก็รวบตัวนางเข้ามากอดในทันทีพร้อมกับขโมยหอมแก้มนางไม่ยั้งจนนางบิดกายหนีเป็นพัลวัน“ท่านอ๋องเพคะ เดี๋ยวก่อน”“คิดถึงเจ้ามากที่สุด ข้าเลือกแล้วนี่เจ้าจะไม่ให้ข้ากอดงั้นหรือ”“พ
ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ท่านอ๋องรู้ว่าเขาจงใจทำร้ายบุตรสาวเพื่อที่จะกันนางออกจากวงสนทนา แต่เขากลับไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจร้ายกับสตรีเช่นนี้นี่คงเป็นเพราะเรื่องที่จางเหมยลั่วบังอาจไปยุ่งกับคนของเขาเป็นแน่จึงทำให้ท่านอ๋องไม่ยอมยกโทษให้นางเช่นนี้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”“นั่นเป็นเพราะบิดาเจ้า มิใช่ข้าเสียหน่อยหากว่าเจ้าอยากจะคร่ำครวญก็ไปคุยกับบิดาของเจ้า แต่ธุระที่ข้าจะพูดยังไม่จบเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองจะหาผู้ใดมาทำแผลให้นางหน่อยหรือไม่”“เชิญพระองค์ตรัสมาให้จบเถิดเพคะ”สายตาของจางเหมยลั่วที่มองมายังท่านอ๋องทั้งน้อยใจและโกรธแต่ก็กลัวด้วยเพราะนางเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายถึงเพียงนี้ แม้ว่านางบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการด้วยซ้ำไป“เช่นนั้นข้าจะไม่เสียเวลา ท่านเจ้าเมืองวันนี้ข้าได้รับรายงานความวุ่นวายนอกเมืองจึงได้เร่งตรวจสอบ ตอนนี้เรื่องยังไม่ลุกลามและมีผู้ที่รู้เพียงไม่มากจึงเร่งเดินทางมาหาท่านก่อนเพื่อจะสะสางก่อนที่เรื่องนี้จะถูกนำขึ้นไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทในประชุมราชสำนัก เชื่อว่าท่านที่พึ่งมาประจำการใหม่ ๆ ค
ท่านเจ้าเมืองและพ่อบ้านอิ๋นถึงกับหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเป็นผู้เสด็จมาด้วยพระองค์เองถึงที่จวน“ท่านพ่อ ท่านอ๋องต้องมาหาข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าหุบปาก!! เจ้าภาวนาไว้ในใจขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เถอะ”เมื่อเขาเอ่ยจบ จางเหมยลั่วกำลังจะหันไปเถียงแต่ว่าผู้ที่เอ่ยนามเดินเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังมา สีหน้าเรียบตึงและเขามิได้มาเพียงคนเดียว ท่านเจ้าเมืองเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องและผู้ที่ติดตามมาด้วยเขาของเขาก็แทบจะทรุดแต่ก็ต้องรีบถวายบังคม“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านเจ้าเมืองตามสบายเถอะ มากะทันหันโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออภัย”“หม่อมฉันจางเหมย...…”“ข้าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันท่านเจ้าเมือง”ท่านอ๋องไม่รอให้นางพูดจบและไม่รับการถวายความเคารพจากจางเหมยลั่ว ทำเอาทั้งสองพ่อลูกทำหน้าไม่ถูกแต่ท่านเจ้าเมืองพอจะทราบว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาในเวลานี้และไม่ได้แจ้งก่อนก็พรวดพราดเข้ามาด้วยพระทัยที่ร้อนรนเช่นนี้ ต้องเกี่ยวกับบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน"ท่านอ๋อง เชิญพระองค์ดื่มชาก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน….